ผู้จัดการรายวัน - อสมท สอนมวย "จักรภพ" อย่าทำเกินหน้าที่ ชี้อำนาจ ปลดหัวเรือ อสมท อยู่ที่บอร์ด โวยปากไม่ดีระบุ อสมท ขาดทุนทำผู้ถือหุ้นเสียหาย ตลาดหลักทรัพย์ฯเล็งขอข้อมูลนักลงทุนจี้สอบพฤติกรรม อินไซเดอร์ ด้าน "วสันต์" ยันไม่ถอดใจ เตรียมกางผลประกอบการโชว์ ขณะที่ "จักรภพ" เล็งนั่งแท่นประธานประเมินผล ผอ.อสมทเอง แทบกรี๊ดแตก เมื่อถูกสื่อดักคอเรื่องเสนอชื่อ "เหวง-จรัล" เป็นบอร์ด และเตรียมยึดคลื่นวิทยุ มาทำวิทยุประชาทรรศน์
แหล่งข่าวจากบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกรณีที่ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายที่จะปลดนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ออกจากตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท ว่า ในแง่ของกระบวนการปลด หรือแต่งตั้งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท นั้น อำนาจหน้าที่อยู่ที่คณะกรรมการ หรือบอร์ด อสมท เท่านั้น รัฐมนตรีไม่มีอำนาจใดที่จะสั่งปลดได้ ซึ่งการที่นายจักรภพ กล่าวว่า จะเปลี่ยนแปลงหรือปลดกรรมการผู้อำนวยการ ใหญ่นั้น เสมือนกับเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองที่จะเข้ามาแทรกแซงสื่ออย่างชัดเจน
"จริงๆแล้ว รัฐมนตรีผู้กำกับดูแล ควรจะทำการพูดคุยหรือประชุมกับทางบอร์ด อสมท โดยตรงว่า การทำงานของผู้บริหารเป็นอย่างไร มีตรงไหนผิดหรือไม่ หรือไม่เหมาะสมอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ออกมาพูดอย่างนี้มันไม่เหมาะสม"
ทั้งนี้ บมจ.อสมท เป็นบริษัทฯ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การที่นายจักรภพ ออกมาพูดแบบนี้ มันกระทบ กระเทือนต่อผู้ถือหุ้นด้วย อาจจะได้รับความเสียหาย เพราะจะทำให้ผู้ถือหุ้นเกิดความไม่เชื่อมั่น และหวาดกลัวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีก ในขณะที่ทางบอร์ด อสมท จะต้องรับผิดชอบผู้ถือหุ้นทั้งๆ ที่คนพูดว่าจะเปลี่ยน แปลงคือ นายจักรภพ
อย่างไรก็ตาม การที่ออกมาอ้างว่า อสมท มีผลประกอบการขาดทุนเดือน ม.ค. ปีนี้ 27 ล้านบาท เมื่อแยกรายได้ในส่วนของค่าสัมปทานที่ ทางทรูวิชั่นส์ และช่อง 3 ส่งกลับมาให้ออกไป เป็นเรื่องที่ต้องดูในภาพรวมว่า มีอะไรเกิดขึ้นในตลาด สื่อทีวีในช่วงนั้น โดยเฉพาะเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นเดือนที่ประเทศไทยยังอยู่ในภาวะโศกเศร้า รายการบันเทิงต่างๆ ต้องงดหมด
ส่วนการบริหารงานและการทำงานของนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ นั้น ทางบอร์ด อสมท โดย คณะกรรมการพิจารณาได้ประเมินการทำงานไปแล้ว 2 รอบ ล่าสุดคือเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ผลคือผ่าน และจะประเมินอีกครั้งช่วงกลางปีนี้
หุ้น อสมท ร่วง-ตลาดหุ้นเล็งสอบ
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ. อสมท (MCOT) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (25 มี.ค.) ราคาปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขาย และปรับตัวลดลงไปต่ำสุดที่ 28.25 บาท ก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาบ้างในช่วงบ่าย ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นและปิดที่ราคาสูงสุดที่ 29.00 บาท ลดลงจากวันก่อน 0.25 บาท คิดเป็น 0.85% มูลค่าการซื้อขายรวม 61.24 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีที่นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า ในเดือนมกราคม 51 อสมท ประสบปัญหาขาดทุน กว่า 27 ล้านบาท ขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการสอบถามไปยังฝ่ายกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้ง
ทั้งนี้ หากข้อมูลที่เปิดเผยออกมามีผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสอบถามไปยังบริษัทเพื่อให้มีการ แจ้งข้อมูล ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพิจารณาถึง แหล่งที่มาของข้อมูล โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่มีการสอบถามไปยังบริษัทหากเป็นแค่ข่าวลือ แต่ในกรณีที่มีแหล่งที่มาของข้อมูล ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะให้บริษัทชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าว
"ตามหลักการแล้วการเปิดเผยงบการเงิน จะต้องเป็นผู้บริหารบริษัท ที่จะต้องเปิดเผยตาม ระยะเวลาที่กำหนดไว้ เป็นรายไตรมาส โดยผู้บริหารจะต้องมีการควบคุมในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลภายในให้ดีก่อนที่จะมีการประกาศออกมา"
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ ต่างมอง ว่า การออกมาแสดงความเห็นของนายจักรภพ เพ็ญแข เป็นประเด็นทางการเมืองที่ต้องการปรับเปลี่ยนผู้บริหาร อสมท โดยเฉพาะนายวสันต์ ภัยหลีกลี้
ส่วนเรื่องผลการดำเนินงานในเดือน ม.ค. 51 นั้น แม้ว่า อสมท จะมีผลขาดทุนจำนวน 27 ล้านบาท แต่ในช่วงต้นปีจะเป็นช่วงตกลงของธุรกิจโทรทัศน์ และโฆษณาน้อยอยู่แล้ว ประกอบกับช่วงเดือนม.ค. ได้มีการออกอากาศรายการพิเศษ การแสดงความไว้อาลัย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ อสมท บ้าง
"รัฐบาลต้องการกดดัน และหาเหตุผลมารองรับที่จะปลดนายวสันต์เท่านั้น แต่ก็ส่งผลกระทบทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง หลังจากมีเรื่องดังกล่าวออกมา"
แหล่งข่าวกล่าวว่า โดยหลักการแล้ว นายจักรภพเองก็ไม่ควรนำเรื่องดังกล่าวออกมาเปิดเผย เพราะสร้างความวิตกให้กับนักลงทุน และส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาดหลัก- ทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยรวมด้วย
นักลงทุนรายใหญ่ซึ่งคลุกคลีในตลาดหุ้น มานาน กล่าวว่า พฤติกรรมของนายจักรภพ ตลาดหลักทรัพย์ฯน่าจะเข้ามาดูว่า เข้าข่ายกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลัก- ทรัพย์ ว่า ด้วยการนำข้อมูลภายในมาเปิดเผยก่อนที่จะชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯหรือไม่ รวมไปถึงการแพร่ข่าวอันเป็นเท็จเพื่อให้นักลงทุนหลงเชื่อ หรือ เข้าใจผิด ซึ่งมีผลต่อการซื้อขายหุ้น
"ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องตรวจสอบข้อมูล ในเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดมาตรฐานที่ดี ปกป้องความ เสียหายให้แก่นักลงทุน"
ทั้งนี้ การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังที่นายจักรภพเดินทางเข้าเยี่ยมชมกิจการ อสมท และถือเป็นผู้ที่อยู่ในบทบาทที่จะรับรู้ข้อมูลภายในของ อสมท
"วสันต์" ฮึดสู้ไม่ถอดใจลาออก
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท กล่าวว่า ไม่ท้อใจลาออก จากตำแหน่งอย่างแน่นอน แต่จะตั้งใจทำงานต่อไป เพราะตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อกลางปี 50 ได้นำพาองค์กรไปในทิศทางที่ดี และสร้างผล ประกอบการดีขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งจากการพิจารณาผลประกอบการขององค์การ อสมท นั้น จะต้องพิจารณาในภาพรวม และต้องพิจารณาถึงทิศทาง และแนวโน้มด้วย มิใช่มองเฉพาะจุด ซึ่งจากข้อมูลและข้อเท็จจริง คือ ครึ่งปีหลังในปี 50 อสมท มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น 24% และกำไร สุทธิเพิ่มขึ้น 35% และขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูล ผลประกอบการทั้งหมดของ อสมท รายงานต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้รับทราบในวันที่ 24 เม.ย.นี้ และเชื่อมั่นว่าการทำงานที่ผ่านมาทำงานด้วยความตั้งใจ และทางผู้ถือหุ้นจะเข้าใจเป็นอย่างดี
"ไม่คิดถอดใจลาออก แม้จะมีแรงกดดันใด และที่ผ่านมาทำงานเต็มที่ให้ อสมท จนได้รับผลกำไรดี ไม่ได้ขาดทุน หรือนำองค์กร ลงเหว ซึ่งในตอนนี้ยังตั้งใจทำงานอยู่ และมีน้องๆ เพื่อนๆ ในวงการโทรศัพท์มาให้กำลังใจจำนวนมาก จึงไม่รู้สึกท้อใจ" นายวสันต์กล่าว
"เจ๊เพ็ญ" เล็งนั่งประธานประเมินผล
ด้านนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าว ปลดนายวสันต์พ้นตำแหน่งกรรมการผู้อำนวย- การใหญ่ อสมท ว่า เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ตนได้ให้ สัมภาษณ์ไปว่า เรื่องของ อสมท ตนกำลัง แต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อจะได้ประเมินผลการทำงานของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับทราบข้อมูลขั้นต้นว่ามีผลประกอบการที่ขาดทุนในเดือน ม.ค. 51 โดยหลังจากตัดรายได้ ที่เกิดจากสัมปทานของทรูวิชั่นส์ และช่อง 3 ปรากฏว่า อสมท ขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นสัญญาณในการปรับบอร์ด อสมท หรือไม่ นายจักรภพกล่าวว่า ไม่ได้มุ่งไปที่ตัวบุคคล แต่ว่าขั้นตอนมันจะพาไป สู่จุดนั้นเอง ก็คือ ภายในสัปดาห์หน้าตนจะเสนอ ชื่อบุคคลที่จะเข้ารับหน้าที่เป็นกรรมการบริหารบริษัท อสมท ซึ่งมีที่ว่าง 9 ที่นั่ง จากทั้งหมด 13 ที่นั่ง บอร์ดที่จะเสนอแต่งตั้งเข้าไปนี้จะได้รับการ อนุมัติอีกครั้งโดยที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งจะมีการ ประชุมกันเดือน เม.ย. ขณะนี้กำลังเลือกตัวอยู่ แต่สำหรับตนจะนั่งทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้
เมื่อถูกถามว่าการบริหารน่าสงสัยเป็นอย่างไร นายจักรภพกล่าวว่า เราได้ยินได้ฟังอะไรมา พูดออกไปเลยจะไม่เป็นธรรมตอผู้ที่ถูก วิจารณ์ ขอละไว้ตรงนั้นก่อน อย่างไรก็ตาม ได้ข่าวว่ามีเรื่องของหัวคิวรายการ การสลับย้ายผังรายการจากตรงนี้ไปตรงนั้น แต่ทั้งหมดยังเป็น เพียงเสียงลือเสียงเล่าอ้าง ฉะนั้นจะยังไม่ชี้ชัดลงไปจนกว่าจะมีการประเมินอย่างเป็นระบบ
เจอคำถามจี้ใจแทบกรี๊ดแตก
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าปรากฏชื่อของ นพ.เหวง โตจิราการ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตแกนนำ นปก. เข้ามาเป็นกรรมการ อสมท จะชี้แจงอย่างไร นายจักรภพกล่าวด้วยอาการเริ่มไม่สบอารมณ์ว่า เดี๋ยวไว้ดูหน้าคนก่อนแล้วค่อยว่ากันตอนนั้น ตนไม่ได้เสนอชื่อ 2 ท่านนี้ ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าแล้วมีชื่อหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่าไม่มีครับ เมื่อถามย้ำว่า ยืนยันว่าไม่มีชื่อ และไม่มีโอกาสเป็นใช่ไหม นายจักรภพเริ่มหน้าตาแดงด้วยความไม่พอใจ และกล่าวว่า อาจจะมีได้ แต่ผมไม่ได้เสนอชื่อ 2 ท่านนี้
ส่วนกรณีที่กรมประชาสัมพันธ์ยึดวิทยุ 5 คลื่นคืนมานั้น นายจักรภพกล่าวว่า ไม่ใช่จะยึด แต่ได้นำคลื่นกลับมาแล้ว และขณะนี้ทั้ง 5 คลื่น ตนได้มอบนโยบายในการนำคลื่นคืนมาแล้ว นโยบายก็คือ ขอให้นำคลื่นวิทยุทั้งหมดกลับคืน มาทำเอง ส่วนจะมีการร่วมผลิตกับเอกชนรายใด อย่างไรนั้น จะมีการทำอย่างโปร่งใสและมีการแจ้งต่อสาธารณชนให้ทราบว่าใครเข้ามาร่วมงานเพราะมีความสามารถพิเศษอะไร
เมื่อถามว่าการจัดระบบแบบนี้เป็นการแบ่งเค้ก นายจักรภพปฏิเสธว่าไม่จริง ไม่มีอะไร ที่แสดงให้เห็นถึงข้อสรุปนั้นได้ เมื่อถามถึง กระแสข่าวที่จะทำเป็นวิทยุประชาทรรศน์ได้คิด ถึงความเหมาะสมอะไรหรือไม่ นายจักรภพ แสดง ความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด และตอบว่า "อย่านำประเด็นเลยครับ เอามาจากไหน เรื่องเลอะเทอะ"
หมักไม่รู้เสนอเหวงเป็นบอร์ด อสมท
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ปฏิเสธกระแสข่าวการตั้ง นพ.เหวง โตจิราการ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตแกนนำ นปก.เข้ามาเป็นบอร์ด อสมท ว่า ตนยังไม่รู้เลย จะมาถามได้อย่างไรว่าเหมาะสมหรือไม่ จะวินิจฉัยได้ไง
ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องที่ว่า นายจักรภพไปยึดคลื่นวิทยุ 5 คลื่นคืนมาให้กรมประชาสัมพันธ์ นั้น และจะเหมือนกรณีพนักงานไอทีวีที่ต้องตกงาน จะทำอย่างไร นายสมัครกล่าวว่า เขาก็ต้องมาร้องทุกข์ต่อตน ส่วนอีกเรื่องก็เห็นชื่นชมกับโทรทัศน์สาธารณะกัน ที่ใช้เงินหลวงปีละ 3 พันล้าน อย่างนั้นน่าชื่นชมมั้ย ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเสียหาย เขาต้องมีเหตุผลในการที่เขาจะเอาคลื่นมาปรับปรุงใหม่
"เผชิญ" ยันไม่มีนักการเมืองเข้า NBT
นายเผชิญ ขำโพธิ์ รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวถึงการดำเนินการเปลี่ยนผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ให้เป็นสถานีโทรทัศน์ NBT ว่า ขณะนี้สถานีได้เตรียมดำเนินการพัฒนาสถานีเฟส 2 ในวันที่ 11 ก.ค.นี้ โดยเน้นเรื่องขององค์ความรู้ การให้ข้อมูล ด้านการศึกษาแก่ประชาชน โดยเฟส 2 จะไม่เน้น ภาคบันเทิง ไม่เน้นเรื่องการถ่ายทอดสด เพราะเห็นว่าต่อไปนี้สถานีโทรทัศน์ NBT (National Broadcast Television) ไม่จำเป็นที่จะถ่ายทอด สด เนื่องจากการถ่ายทอดสดน่าจะเป“นหน้าที่ของสถานีโทรทัศน์ TPBS
ทั้งนี้ สถานีโทรทัศน์ NBT จะไม่มีการขอ งบประมาณใหม่เพื่อมาดำเนินการในเฟสแรก เพราะยังใช้งบประมาณเดิม 200-300 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นงบประมาณส่วนหนึ่งของกรมประชาสัมพันธ์ได้รับจากงบประมาณปี 51 จำนวน 1,300 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งต่างจากสถานีโทรทัศน์ TPBS ที่ได้เงินจากภาษีบาปกว่า 1,200 ล้านบาท
นายเผชิญกล่าวว่า ขณะนี้แม้จะมีการเปิดตัวผู้ประกาศข่าว และผู้ดำเนินรายการของ NBT เฟส 1 ไปแล้ว แต่ยังไม่มีการระบุถึงค่าจ้าง หรือเงินเดือนสำหรับผู้ดำเนินรายการที่เคยทำงาน อยู่ในสถานีโทรทัศน์ TITV เดิมว่าจะให้เป็นลูกจ้างหรือพนักงาน เนื่องจากตรงนี้ต้องมีการหารือในส่วนของนโยบาย โดยเบื้องต้นมีคนที่มา จากสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีประมาณ 20 คน
"ศุภชัย" เผ่นหนีนักข่าว
วานนี้ (25 มี.ค.) ทางทรูวิชั่นส์ ได้เปิดตัว แคมเปญ "จานแดงทรูวิชั่นส์ DStv ขายขาด ไม่มีรายเดือน" โดยภายในงานมี นายศุภชัย เจียร-วนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรู วิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) เป็นประธานเปิดงาน และให้ราย-ละเอียดเกี่ยวกับแคมเปญดังกล่าว แต่พอถึงช่วง ตอบคำถามของนักข่าว ปรากฏว่านายศุภชัยได้ขอตัวไปประชุมต่อทันที โดยไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด โดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับการที่นาย จักรภพเข้ามาดูแลสื่อ และได้กล่าวไว้ว่าขอให้ อสมท กับทรูวิชั่นส์ หยุดการเจรจาเรื่องการแก้ไข สัญญาที่จะทำให้ ทรูวิชั่นส์ สามารถมีโฆษณาได้
ขณะที่นายองอาจ ประภากมล รองกรรม-การเจ้าหน้าที่บริหารสายงานคอมเมอร์เชียล บริษัท ทรู วิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวเพียง สั้นๆ ว่า ตนไม่สามารถตอบคำถามดังกล่าวเองได้ ต้องให้ทางผู้ใหญ่เป็นผู้ให้คำตอบมากกว่า พร้อมเลี่ยงที่จะขอตอบเฉพาะรายละเอียด เกี่ยวกับแคมเปญที่จัดขึ้นเท่านั้น
สำหรับแคมเปญใหม่ "จานแดงทรูวิชั่นส์ DStv ขายขาด ไม่มีรายเดือน" ให้ลูกค้าเป็นเจ้าของจานแดงทรูวิชั่นส์ ราคา 3,990 บาทโดยรับชมสารบันเทิงได้ 32 ช่อง แบบไม่ต้องจ่ายรายเดือน มาพร้อมกับซิมทรูมูฟแบบเติมเงินสำหรับเปิดใช้บริการ ขณะเดียวกันเพียงเติมเงิน ทรูมูฟ ยังสามารถรับชมทรูวิชั่นส์อีก 7 ช่อง เช่น True Film Asia และ True Explore โดยบริษัทฯ เตรียมงบประมาณการตลาดกว่า 20 ล้านบาทเพื่อประชาสัมพันธ์แคมเปญดังกล่าว คาดว่า แต่ละเดือนจะสามารถจำหน่ายจานแดงทรูวิชั่นส์ ได้เท่ากับ ทรูไลฟ์ฟรีวิว ที่ขายได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 รายต่อเดือน ซึ่งมั่นใจว่าจะทำให้ภายใน สิ้นปีนี้ทรูวิชั่นส์ จะมีจำนวนสมาชิกถึง 2 ล้านครัวเรือน จาก 9.5 แสนรายในปีที่ผ่านมา
แหล่งข่าวจากบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกรณีที่ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายที่จะปลดนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ออกจากตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท ว่า ในแง่ของกระบวนการปลด หรือแต่งตั้งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท นั้น อำนาจหน้าที่อยู่ที่คณะกรรมการ หรือบอร์ด อสมท เท่านั้น รัฐมนตรีไม่มีอำนาจใดที่จะสั่งปลดได้ ซึ่งการที่นายจักรภพ กล่าวว่า จะเปลี่ยนแปลงหรือปลดกรรมการผู้อำนวยการ ใหญ่นั้น เสมือนกับเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองที่จะเข้ามาแทรกแซงสื่ออย่างชัดเจน
"จริงๆแล้ว รัฐมนตรีผู้กำกับดูแล ควรจะทำการพูดคุยหรือประชุมกับทางบอร์ด อสมท โดยตรงว่า การทำงานของผู้บริหารเป็นอย่างไร มีตรงไหนผิดหรือไม่ หรือไม่เหมาะสมอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ออกมาพูดอย่างนี้มันไม่เหมาะสม"
ทั้งนี้ บมจ.อสมท เป็นบริษัทฯ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การที่นายจักรภพ ออกมาพูดแบบนี้ มันกระทบ กระเทือนต่อผู้ถือหุ้นด้วย อาจจะได้รับความเสียหาย เพราะจะทำให้ผู้ถือหุ้นเกิดความไม่เชื่อมั่น และหวาดกลัวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีก ในขณะที่ทางบอร์ด อสมท จะต้องรับผิดชอบผู้ถือหุ้นทั้งๆ ที่คนพูดว่าจะเปลี่ยน แปลงคือ นายจักรภพ
อย่างไรก็ตาม การที่ออกมาอ้างว่า อสมท มีผลประกอบการขาดทุนเดือน ม.ค. ปีนี้ 27 ล้านบาท เมื่อแยกรายได้ในส่วนของค่าสัมปทานที่ ทางทรูวิชั่นส์ และช่อง 3 ส่งกลับมาให้ออกไป เป็นเรื่องที่ต้องดูในภาพรวมว่า มีอะไรเกิดขึ้นในตลาด สื่อทีวีในช่วงนั้น โดยเฉพาะเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นเดือนที่ประเทศไทยยังอยู่ในภาวะโศกเศร้า รายการบันเทิงต่างๆ ต้องงดหมด
ส่วนการบริหารงานและการทำงานของนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ นั้น ทางบอร์ด อสมท โดย คณะกรรมการพิจารณาได้ประเมินการทำงานไปแล้ว 2 รอบ ล่าสุดคือเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ผลคือผ่าน และจะประเมินอีกครั้งช่วงกลางปีนี้
หุ้น อสมท ร่วง-ตลาดหุ้นเล็งสอบ
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ. อสมท (MCOT) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (25 มี.ค.) ราคาปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขาย และปรับตัวลดลงไปต่ำสุดที่ 28.25 บาท ก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาบ้างในช่วงบ่าย ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นและปิดที่ราคาสูงสุดที่ 29.00 บาท ลดลงจากวันก่อน 0.25 บาท คิดเป็น 0.85% มูลค่าการซื้อขายรวม 61.24 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีที่นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า ในเดือนมกราคม 51 อสมท ประสบปัญหาขาดทุน กว่า 27 ล้านบาท ขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการสอบถามไปยังฝ่ายกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้ง
ทั้งนี้ หากข้อมูลที่เปิดเผยออกมามีผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสอบถามไปยังบริษัทเพื่อให้มีการ แจ้งข้อมูล ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพิจารณาถึง แหล่งที่มาของข้อมูล โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่มีการสอบถามไปยังบริษัทหากเป็นแค่ข่าวลือ แต่ในกรณีที่มีแหล่งที่มาของข้อมูล ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะให้บริษัทชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าว
"ตามหลักการแล้วการเปิดเผยงบการเงิน จะต้องเป็นผู้บริหารบริษัท ที่จะต้องเปิดเผยตาม ระยะเวลาที่กำหนดไว้ เป็นรายไตรมาส โดยผู้บริหารจะต้องมีการควบคุมในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลภายในให้ดีก่อนที่จะมีการประกาศออกมา"
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ ต่างมอง ว่า การออกมาแสดงความเห็นของนายจักรภพ เพ็ญแข เป็นประเด็นทางการเมืองที่ต้องการปรับเปลี่ยนผู้บริหาร อสมท โดยเฉพาะนายวสันต์ ภัยหลีกลี้
ส่วนเรื่องผลการดำเนินงานในเดือน ม.ค. 51 นั้น แม้ว่า อสมท จะมีผลขาดทุนจำนวน 27 ล้านบาท แต่ในช่วงต้นปีจะเป็นช่วงตกลงของธุรกิจโทรทัศน์ และโฆษณาน้อยอยู่แล้ว ประกอบกับช่วงเดือนม.ค. ได้มีการออกอากาศรายการพิเศษ การแสดงความไว้อาลัย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ อสมท บ้าง
"รัฐบาลต้องการกดดัน และหาเหตุผลมารองรับที่จะปลดนายวสันต์เท่านั้น แต่ก็ส่งผลกระทบทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง หลังจากมีเรื่องดังกล่าวออกมา"
แหล่งข่าวกล่าวว่า โดยหลักการแล้ว นายจักรภพเองก็ไม่ควรนำเรื่องดังกล่าวออกมาเปิดเผย เพราะสร้างความวิตกให้กับนักลงทุน และส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาดหลัก- ทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยรวมด้วย
นักลงทุนรายใหญ่ซึ่งคลุกคลีในตลาดหุ้น มานาน กล่าวว่า พฤติกรรมของนายจักรภพ ตลาดหลักทรัพย์ฯน่าจะเข้ามาดูว่า เข้าข่ายกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลัก- ทรัพย์ ว่า ด้วยการนำข้อมูลภายในมาเปิดเผยก่อนที่จะชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯหรือไม่ รวมไปถึงการแพร่ข่าวอันเป็นเท็จเพื่อให้นักลงทุนหลงเชื่อ หรือ เข้าใจผิด ซึ่งมีผลต่อการซื้อขายหุ้น
"ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องตรวจสอบข้อมูล ในเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดมาตรฐานที่ดี ปกป้องความ เสียหายให้แก่นักลงทุน"
ทั้งนี้ การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังที่นายจักรภพเดินทางเข้าเยี่ยมชมกิจการ อสมท และถือเป็นผู้ที่อยู่ในบทบาทที่จะรับรู้ข้อมูลภายในของ อสมท
"วสันต์" ฮึดสู้ไม่ถอดใจลาออก
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท กล่าวว่า ไม่ท้อใจลาออก จากตำแหน่งอย่างแน่นอน แต่จะตั้งใจทำงานต่อไป เพราะตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อกลางปี 50 ได้นำพาองค์กรไปในทิศทางที่ดี และสร้างผล ประกอบการดีขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งจากการพิจารณาผลประกอบการขององค์การ อสมท นั้น จะต้องพิจารณาในภาพรวม และต้องพิจารณาถึงทิศทาง และแนวโน้มด้วย มิใช่มองเฉพาะจุด ซึ่งจากข้อมูลและข้อเท็จจริง คือ ครึ่งปีหลังในปี 50 อสมท มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น 24% และกำไร สุทธิเพิ่มขึ้น 35% และขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูล ผลประกอบการทั้งหมดของ อสมท รายงานต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้รับทราบในวันที่ 24 เม.ย.นี้ และเชื่อมั่นว่าการทำงานที่ผ่านมาทำงานด้วยความตั้งใจ และทางผู้ถือหุ้นจะเข้าใจเป็นอย่างดี
"ไม่คิดถอดใจลาออก แม้จะมีแรงกดดันใด และที่ผ่านมาทำงานเต็มที่ให้ อสมท จนได้รับผลกำไรดี ไม่ได้ขาดทุน หรือนำองค์กร ลงเหว ซึ่งในตอนนี้ยังตั้งใจทำงานอยู่ และมีน้องๆ เพื่อนๆ ในวงการโทรศัพท์มาให้กำลังใจจำนวนมาก จึงไม่รู้สึกท้อใจ" นายวสันต์กล่าว
"เจ๊เพ็ญ" เล็งนั่งประธานประเมินผล
ด้านนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าว ปลดนายวสันต์พ้นตำแหน่งกรรมการผู้อำนวย- การใหญ่ อสมท ว่า เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ตนได้ให้ สัมภาษณ์ไปว่า เรื่องของ อสมท ตนกำลัง แต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อจะได้ประเมินผลการทำงานของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับทราบข้อมูลขั้นต้นว่ามีผลประกอบการที่ขาดทุนในเดือน ม.ค. 51 โดยหลังจากตัดรายได้ ที่เกิดจากสัมปทานของทรูวิชั่นส์ และช่อง 3 ปรากฏว่า อสมท ขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นสัญญาณในการปรับบอร์ด อสมท หรือไม่ นายจักรภพกล่าวว่า ไม่ได้มุ่งไปที่ตัวบุคคล แต่ว่าขั้นตอนมันจะพาไป สู่จุดนั้นเอง ก็คือ ภายในสัปดาห์หน้าตนจะเสนอ ชื่อบุคคลที่จะเข้ารับหน้าที่เป็นกรรมการบริหารบริษัท อสมท ซึ่งมีที่ว่าง 9 ที่นั่ง จากทั้งหมด 13 ที่นั่ง บอร์ดที่จะเสนอแต่งตั้งเข้าไปนี้จะได้รับการ อนุมัติอีกครั้งโดยที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งจะมีการ ประชุมกันเดือน เม.ย. ขณะนี้กำลังเลือกตัวอยู่ แต่สำหรับตนจะนั่งทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้
เมื่อถูกถามว่าการบริหารน่าสงสัยเป็นอย่างไร นายจักรภพกล่าวว่า เราได้ยินได้ฟังอะไรมา พูดออกไปเลยจะไม่เป็นธรรมตอผู้ที่ถูก วิจารณ์ ขอละไว้ตรงนั้นก่อน อย่างไรก็ตาม ได้ข่าวว่ามีเรื่องของหัวคิวรายการ การสลับย้ายผังรายการจากตรงนี้ไปตรงนั้น แต่ทั้งหมดยังเป็น เพียงเสียงลือเสียงเล่าอ้าง ฉะนั้นจะยังไม่ชี้ชัดลงไปจนกว่าจะมีการประเมินอย่างเป็นระบบ
เจอคำถามจี้ใจแทบกรี๊ดแตก
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าปรากฏชื่อของ นพ.เหวง โตจิราการ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตแกนนำ นปก. เข้ามาเป็นกรรมการ อสมท จะชี้แจงอย่างไร นายจักรภพกล่าวด้วยอาการเริ่มไม่สบอารมณ์ว่า เดี๋ยวไว้ดูหน้าคนก่อนแล้วค่อยว่ากันตอนนั้น ตนไม่ได้เสนอชื่อ 2 ท่านนี้ ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าแล้วมีชื่อหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่าไม่มีครับ เมื่อถามย้ำว่า ยืนยันว่าไม่มีชื่อ และไม่มีโอกาสเป็นใช่ไหม นายจักรภพเริ่มหน้าตาแดงด้วยความไม่พอใจ และกล่าวว่า อาจจะมีได้ แต่ผมไม่ได้เสนอชื่อ 2 ท่านนี้
ส่วนกรณีที่กรมประชาสัมพันธ์ยึดวิทยุ 5 คลื่นคืนมานั้น นายจักรภพกล่าวว่า ไม่ใช่จะยึด แต่ได้นำคลื่นกลับมาแล้ว และขณะนี้ทั้ง 5 คลื่น ตนได้มอบนโยบายในการนำคลื่นคืนมาแล้ว นโยบายก็คือ ขอให้นำคลื่นวิทยุทั้งหมดกลับคืน มาทำเอง ส่วนจะมีการร่วมผลิตกับเอกชนรายใด อย่างไรนั้น จะมีการทำอย่างโปร่งใสและมีการแจ้งต่อสาธารณชนให้ทราบว่าใครเข้ามาร่วมงานเพราะมีความสามารถพิเศษอะไร
เมื่อถามว่าการจัดระบบแบบนี้เป็นการแบ่งเค้ก นายจักรภพปฏิเสธว่าไม่จริง ไม่มีอะไร ที่แสดงให้เห็นถึงข้อสรุปนั้นได้ เมื่อถามถึง กระแสข่าวที่จะทำเป็นวิทยุประชาทรรศน์ได้คิด ถึงความเหมาะสมอะไรหรือไม่ นายจักรภพ แสดง ความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด และตอบว่า "อย่านำประเด็นเลยครับ เอามาจากไหน เรื่องเลอะเทอะ"
หมักไม่รู้เสนอเหวงเป็นบอร์ด อสมท
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ปฏิเสธกระแสข่าวการตั้ง นพ.เหวง โตจิราการ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตแกนนำ นปก.เข้ามาเป็นบอร์ด อสมท ว่า ตนยังไม่รู้เลย จะมาถามได้อย่างไรว่าเหมาะสมหรือไม่ จะวินิจฉัยได้ไง
ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องที่ว่า นายจักรภพไปยึดคลื่นวิทยุ 5 คลื่นคืนมาให้กรมประชาสัมพันธ์ นั้น และจะเหมือนกรณีพนักงานไอทีวีที่ต้องตกงาน จะทำอย่างไร นายสมัครกล่าวว่า เขาก็ต้องมาร้องทุกข์ต่อตน ส่วนอีกเรื่องก็เห็นชื่นชมกับโทรทัศน์สาธารณะกัน ที่ใช้เงินหลวงปีละ 3 พันล้าน อย่างนั้นน่าชื่นชมมั้ย ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเสียหาย เขาต้องมีเหตุผลในการที่เขาจะเอาคลื่นมาปรับปรุงใหม่
"เผชิญ" ยันไม่มีนักการเมืองเข้า NBT
นายเผชิญ ขำโพธิ์ รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวถึงการดำเนินการเปลี่ยนผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ให้เป็นสถานีโทรทัศน์ NBT ว่า ขณะนี้สถานีได้เตรียมดำเนินการพัฒนาสถานีเฟส 2 ในวันที่ 11 ก.ค.นี้ โดยเน้นเรื่องขององค์ความรู้ การให้ข้อมูล ด้านการศึกษาแก่ประชาชน โดยเฟส 2 จะไม่เน้น ภาคบันเทิง ไม่เน้นเรื่องการถ่ายทอดสด เพราะเห็นว่าต่อไปนี้สถานีโทรทัศน์ NBT (National Broadcast Television) ไม่จำเป็นที่จะถ่ายทอด สด เนื่องจากการถ่ายทอดสดน่าจะเป“นหน้าที่ของสถานีโทรทัศน์ TPBS
ทั้งนี้ สถานีโทรทัศน์ NBT จะไม่มีการขอ งบประมาณใหม่เพื่อมาดำเนินการในเฟสแรก เพราะยังใช้งบประมาณเดิม 200-300 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นงบประมาณส่วนหนึ่งของกรมประชาสัมพันธ์ได้รับจากงบประมาณปี 51 จำนวน 1,300 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งต่างจากสถานีโทรทัศน์ TPBS ที่ได้เงินจากภาษีบาปกว่า 1,200 ล้านบาท
นายเผชิญกล่าวว่า ขณะนี้แม้จะมีการเปิดตัวผู้ประกาศข่าว และผู้ดำเนินรายการของ NBT เฟส 1 ไปแล้ว แต่ยังไม่มีการระบุถึงค่าจ้าง หรือเงินเดือนสำหรับผู้ดำเนินรายการที่เคยทำงาน อยู่ในสถานีโทรทัศน์ TITV เดิมว่าจะให้เป็นลูกจ้างหรือพนักงาน เนื่องจากตรงนี้ต้องมีการหารือในส่วนของนโยบาย โดยเบื้องต้นมีคนที่มา จากสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีประมาณ 20 คน
"ศุภชัย" เผ่นหนีนักข่าว
วานนี้ (25 มี.ค.) ทางทรูวิชั่นส์ ได้เปิดตัว แคมเปญ "จานแดงทรูวิชั่นส์ DStv ขายขาด ไม่มีรายเดือน" โดยภายในงานมี นายศุภชัย เจียร-วนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรู วิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) เป็นประธานเปิดงาน และให้ราย-ละเอียดเกี่ยวกับแคมเปญดังกล่าว แต่พอถึงช่วง ตอบคำถามของนักข่าว ปรากฏว่านายศุภชัยได้ขอตัวไปประชุมต่อทันที โดยไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด โดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับการที่นาย จักรภพเข้ามาดูแลสื่อ และได้กล่าวไว้ว่าขอให้ อสมท กับทรูวิชั่นส์ หยุดการเจรจาเรื่องการแก้ไข สัญญาที่จะทำให้ ทรูวิชั่นส์ สามารถมีโฆษณาได้
ขณะที่นายองอาจ ประภากมล รองกรรม-การเจ้าหน้าที่บริหารสายงานคอมเมอร์เชียล บริษัท ทรู วิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวเพียง สั้นๆ ว่า ตนไม่สามารถตอบคำถามดังกล่าวเองได้ ต้องให้ทางผู้ใหญ่เป็นผู้ให้คำตอบมากกว่า พร้อมเลี่ยงที่จะขอตอบเฉพาะรายละเอียด เกี่ยวกับแคมเปญที่จัดขึ้นเท่านั้น
สำหรับแคมเปญใหม่ "จานแดงทรูวิชั่นส์ DStv ขายขาด ไม่มีรายเดือน" ให้ลูกค้าเป็นเจ้าของจานแดงทรูวิชั่นส์ ราคา 3,990 บาทโดยรับชมสารบันเทิงได้ 32 ช่อง แบบไม่ต้องจ่ายรายเดือน มาพร้อมกับซิมทรูมูฟแบบเติมเงินสำหรับเปิดใช้บริการ ขณะเดียวกันเพียงเติมเงิน ทรูมูฟ ยังสามารถรับชมทรูวิชั่นส์อีก 7 ช่อง เช่น True Film Asia และ True Explore โดยบริษัทฯ เตรียมงบประมาณการตลาดกว่า 20 ล้านบาทเพื่อประชาสัมพันธ์แคมเปญดังกล่าว คาดว่า แต่ละเดือนจะสามารถจำหน่ายจานแดงทรูวิชั่นส์ ได้เท่ากับ ทรูไลฟ์ฟรีวิว ที่ขายได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 รายต่อเดือน ซึ่งมั่นใจว่าจะทำให้ภายใน สิ้นปีนี้ทรูวิชั่นส์ จะมีจำนวนสมาชิกถึง 2 ล้านครัวเรือน จาก 9.5 แสนรายในปีที่ผ่านมา