ศูนย์ข่าวศรีราชา - ผู้ว่าฯชลบุรี ย้ำปัญหาน้ำดิบและระบบลอจิสติกส์ มีผลกระทบต่อการลงทุนในจังหวัดชลบุรี พร้อมเสนอหน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งวางแผนแก้ไขในระยะยาว
นายประชา เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวถึง การลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดชลบุรี ว่า มีความสมบูรณ์ในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าพื้นที่จังหวัดอื่นๆ เป็นอย่างมาก ข้อมูลจากสถิติการลงทุนพบว่า มีการลงทุนอย่างมหาศาล แต่ก็มีปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของจังหวัดชลบุรีไม่เติบโตเท่าที่ควร
ปัญหาดังกล่าว มี 2 ประการ คือ ปัญหาเรื่องน้ำต้นทุนหรือน้ำดิบ เนื่องจากจังหวัดชลบุรี มีความต้องการใช้น้ำในปริมาณที่สูงมาก แหล่งน้ำที่ใหญ่ที่สุด คือ อ่างเก็บน้ำบางพระ มีปริมาณการจัดเก็บได้ 90 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่การใช้น้ำของจังหวัดชลบุรี มีการใช้น้ำวันละประมาณ 500,000 ลูกบาศก์เมตร หรือมากกว่านั้น ซึ่งในปีหนึ่งๆจะต้องใช้น้ำรวมแล้วกว่า 200 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเห็นได้ว่าไม่เพียงพออย่างแน่นอน
นายประชา กล่าวต่อไปว่า การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา กรมชลประทานได้ต่อท่อน้ำดิบ จากแม่น้ำบางปะกง เพื่อผันน้ำมาเก็บไว้ที่อ่างเก็บน้ำบางพระ เพื่อแก้ไขผลกระทบที่จะเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้ เนื่องจากการผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกง สามารถผันน้ำได้ในช่วงหน้าฝนเท่านั้น ซึ่งในช่วงภาวะเช่นนั้นอ่างเก็บนำบางพระก็มีปริมาณเพียงพอ และขาดแคลนในช่วงหน้าแล้ง โดยในช่วงดังกล่าวก็ไม่สามารถผันน้ำมาได้ เพราะน้ำในแม่น้ำบางปะกงเริ่มเค็มแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถแก้ไขได้อย่างแน่นอน
“ปัญหานี้ หน่วยงานที่รับผิดชอบ ควรจะต้องรีบวางแนวทางในการแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยอาจจะต้องผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จากจังหวัดลพบุรี มาเสริมในพื้นที่จังหวัดชลบุรีในอนาคตก็เป็นได้ เพราะน้ำเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการลงทุนรูปแบบต่างๆ ให้แก่ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พักต่างๆ ซึ่งต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมาก”
ที่ผ่านมา มีโครงการจะก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองหลวง ในพื้นที่อำเภอพนัสนิคม เมื่อปี 2527 ที่ผ่านมา เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำในอนาคต ซึ่งระยะเวลาผ่านมากว่า 20 ปีแล้ว ปัจจุบันยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากได้รับการคัดค้านจากกลุ่มอนุรักษ์ต่าง ๆ จนขณะนี้หากจะลงทุนโครงการดังกล่าวจะต้องใช้งบประมาณเกือบ 5,000 ล้านบาท ทำให้โครงการไม่เกิดขึ้นในขณะนี้
นอกจากปัญหาเรื่องน้ำแล้ว ปัญหาเรื่องระบบการขนส่งหรือ ลอจิสติกส์ ก็เริ่มมีปัญหาแล้วเช่นกัน เนื่องจากการขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ มีการขนส่งโดยทางรถยนต์เป็นจำนวนมาก โดยจะต้องหันไปใช้ระบบรางรถไฟหรือทางน้ำเพิ่มขึ้น เพื่อลดความแออัดบนท้องถนน ให้เหลือเพียง 30 % และให้หันไปใช้ระบบรางและทางน้ำ 70 % ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ในอนาคต
นายประชา กล่าวต่อไปว่า ในการแก้ไขปัญหาระยะยาว ตนได้เสนอรัฐบาลหรือหน่วยงาน ที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออก คือ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ซึ่งเป็นโซนท่องเที่ยวในหลากหลายรูปแบบ โดยควรจะต้องมีรถไฟความเร็วสูง ในความเร็วประมาณ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว โดยไม่ต้องมีความเร็วเหมือนต่างประเทศ เริ่มจากสนามบินสุวรรณภูมิถึงชายแดนด้านจังหวัดตราด ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร เท่านั้น ก็จะทำให้การเดินทางหรือท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
อนึ่ง โครงการวางท่อจากแม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ไปอ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรีได้รับอนุมัติ จากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร เมื่อ ปี 2548 โดยกำหนด ให้ว่างท่อกว้างขนาด 1,400 มิลลิเมตร ระยะท่อมีความยาว 45 กิโลเมตร พร้อมทั้งติดตั้งปั๊มน้ำ เพื่อเพิ่มแรงดันและปริมาณน้ำ โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 2,570 ล้านบาท ซึ่งสามารถผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกง มาที่อ่างเก็บน้ำบางพระปีละ 50 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามแผนงานโครงการจะแล้วเสร็จตั้งแต่เดือนเมษายน 2549 โดยอีสท์วอเตอร์ เป็นผู้ดำเนินการวางท่อทั้งหมด
