** เอาเป็นว่านับจากวันนี้ไปอีกไม่กี่เพลา ถือได้ว่าเป็นวันระทึกใจ ถึงขั้นเหงื่อตกกีบของบรรดาพลพรรคชาติไทยกับพรรคมัชฌิมาธิปไตย โดยเฉพาะระดับกรรมการบริหารพรรคหรือ “เจ้าของ” พรรคตัวจริง ว่าจะออกหัวออกก้อย ยุบหรือไม่ยุบ เพราะถ้าพิจารณาทุกถ้อยคำและไปพลิกข้อกฎหมายตามคำพูดของ “สุเมธ อุปนิสากร” หนึ่งในกกต.ที่สรุปแบบรวบรัดตัดความก็คือ ทั้งสองพรรคดังกล่าวข้างต้น “รอดยาก”
** เวลานี้รอเพียงแค่ส่งให้ที่ปรึกษากฎหมายยืนยันอีกครั้ง แต่ที่สำคัญก็คือ ถ้าฟังจากปากของ สุเมธ แล้วมันก็ยิ่งขนหัวลุกเข้าไปใหญ่ก็คือ กกต.ทั้ง 5 คน “มีความเห็นตรงกันหมด” เป็นครั้งแรก ดังนั้นถ้าเป็นแบบนี้ก็คงต้องรอเวลานับถอยหลังคอยไปแก้ตัวในตุลาการรัฐธรรมนูญเท่านั้นเอง
** อย่างไรก็ดี ถ้าผลจากความผิดกรณีของ ชาติไทย-มัชฌิมาฯ ออกมาอย่างที่ว่าจริง มันก็ย่อมส่งผล “เสียว” มาถึง “พลังแม้ว” อย่างช่วยไม่ได้ เพราะถ้าเทียบกันต่อความผิด คนต่อคนแล้วมันก็จะเชื่อมโยงแบบเดียวกันกับ “พี่ยุทธ” ที่ถูกกกต.ชูใบแดงไล่ออกจากสนามการเมืองไปก่อนหน้า
** ดังนั้น กรณีมาตรา 103(2) ของกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งที่ “ให้ถือว่า” ความผิดของกรรมการบริหารย่อมหมายร่วมถึงคณะกรรมการบริหารทุกคนด้วย เพราะถ้าทำสำเร็จก็ได้ประโยชน์กันทั้งพรรค แล้วทีนี้ถ้า “ยุทธ” เป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 แล้วจะไปเหลืออะไร
** เมื่อมีประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้น ทำให้ข้อถกเถียงในเรื่อง “นอมินี” หมดความหมายไปทันที เพราะถือว่าไม่จำเป็นแล้วว่า จะมีบัญญัติเป็นความผิดหรือไม่ก็ตาม เพราะถึงแม้จะหลุดพ้นมาได้ มันก็ยังมาเจอกับเรื่อง มาตรา 103(2) เรื่อง “ให้ถือว่า” นี่แหละมัดคอจนดิ้นไม่หลุด ยุ่งจริง(วุ้ย)
** อีกเรื่องที่ถือว่า “เสียรังวัด” โดยไม่จำเป็น ทั้งที่หลีกเลี่ยงหรือไม่ต้องพ่นน้ำลายก็ได้ แต่ทำไปทำมากลายเป็นว่า “ไฟใต้” ทำท่าจะลุกลามไหม้รัฐบาล “นอมินี” ให้วอดวายเร็วกว่ากำหนดยิ่งขึ้นไปอีก ล่าสุดมาสะดุดกับคำพูดของ “เหลิม” มท.1 ที่ออกอาการแหยงไม่กล้าลงพื้นที่ชายแดนใต้ แถมบอกอย่างเปิดอกว่า “หมดปัญญา” เยียวยา ทำเอาหลายคนใจแป้ว
** เพราะถ้าลองคนระดับ มท.1 ออกปากพูดอย่างนี้ มันก็ย่อมเข้าใจทันทีว่าสถานการณ์มันย่ำแย่จริงๆ แต่ไม่ทันข้ามวัน พอโดนบังคับจากนายกฯ ก็ต้องจำใจลงไปดูเหตุการณ์ในวันรุ่งขึ้น แต่อีกมุมหนึ่งลักษณะไปฟังบรรยายสรุปแค่ในค่ายทหาร หรือนอนอยู่แต่ในเมืองหาดใหญ่ ไม่ยอมย่างกรายไปดูร่องรอยความเสียหายหรือไปพบปะ รับรู้ทุกข์สุขของชาวบ้าน ภาพจึงออกมาไม่น่าดู
** ที่สำคัญ ในทางการเมืองมันมีแต่ผลลบ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ที่ถือว่ามีความตื่นตัวสูง การออกอาการแบบบินโฉบไปโฉบมา ไปไหนทีมีแต่ตำรวจทหารล้อมหน้าล้อมหลังเป็นร้อยเป็นพัน มีรถนำขบวนกันจนเวียนหัว ชาวบ้านเขาจะด่าใส่หน้าเอาได้
** และยิ่งทำปากดี “โชว์กึ๋น” ไม่ดูตาม้าตาเรือ บอกทำนองจะตั้งศูนย์บัญชาการรับรู้สั่งการตลอด 24 ชั่วโมง ฟังตอนแรกดูดี เหมือนตั้งใจเอาจริงเอาจังกับปัญหามากขึ้น แต่มาสะดุดเอาตรงที่ศูนย์ฯดังกล่าวตั้งอยู่ในมหาดไทยที่คลองหลอดนี่เอง นึกว่าจะเลือกพื้นที่ในจังหวัดชายแดนใต้สักแห่งใช้เป็น “บก.ส่วนหน้า” เกาะติดสถานการณ์ให้ดูขึงขังเสียอีก
** เมื่อรูปการณ์เป็นแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกฝ่ายค้านปรามาสเสียๆหายๆ ทำนอง “ขี้ขลาด” หรือ กลัวตาย หรือท่าดีทีเหลว อะไรประมาณนี้แหละ แต่เมื่อพิจารณารอบด้านแล้ว สังคมก็ชักคล้อยตามเสียด้วยซี !!
** เวลานี้รอเพียงแค่ส่งให้ที่ปรึกษากฎหมายยืนยันอีกครั้ง แต่ที่สำคัญก็คือ ถ้าฟังจากปากของ สุเมธ แล้วมันก็ยิ่งขนหัวลุกเข้าไปใหญ่ก็คือ กกต.ทั้ง 5 คน “มีความเห็นตรงกันหมด” เป็นครั้งแรก ดังนั้นถ้าเป็นแบบนี้ก็คงต้องรอเวลานับถอยหลังคอยไปแก้ตัวในตุลาการรัฐธรรมนูญเท่านั้นเอง
** อย่างไรก็ดี ถ้าผลจากความผิดกรณีของ ชาติไทย-มัชฌิมาฯ ออกมาอย่างที่ว่าจริง มันก็ย่อมส่งผล “เสียว” มาถึง “พลังแม้ว” อย่างช่วยไม่ได้ เพราะถ้าเทียบกันต่อความผิด คนต่อคนแล้วมันก็จะเชื่อมโยงแบบเดียวกันกับ “พี่ยุทธ” ที่ถูกกกต.ชูใบแดงไล่ออกจากสนามการเมืองไปก่อนหน้า
** ดังนั้น กรณีมาตรา 103(2) ของกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งที่ “ให้ถือว่า” ความผิดของกรรมการบริหารย่อมหมายร่วมถึงคณะกรรมการบริหารทุกคนด้วย เพราะถ้าทำสำเร็จก็ได้ประโยชน์กันทั้งพรรค แล้วทีนี้ถ้า “ยุทธ” เป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 แล้วจะไปเหลืออะไร
** เมื่อมีประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้น ทำให้ข้อถกเถียงในเรื่อง “นอมินี” หมดความหมายไปทันที เพราะถือว่าไม่จำเป็นแล้วว่า จะมีบัญญัติเป็นความผิดหรือไม่ก็ตาม เพราะถึงแม้จะหลุดพ้นมาได้ มันก็ยังมาเจอกับเรื่อง มาตรา 103(2) เรื่อง “ให้ถือว่า” นี่แหละมัดคอจนดิ้นไม่หลุด ยุ่งจริง(วุ้ย)
** อีกเรื่องที่ถือว่า “เสียรังวัด” โดยไม่จำเป็น ทั้งที่หลีกเลี่ยงหรือไม่ต้องพ่นน้ำลายก็ได้ แต่ทำไปทำมากลายเป็นว่า “ไฟใต้” ทำท่าจะลุกลามไหม้รัฐบาล “นอมินี” ให้วอดวายเร็วกว่ากำหนดยิ่งขึ้นไปอีก ล่าสุดมาสะดุดกับคำพูดของ “เหลิม” มท.1 ที่ออกอาการแหยงไม่กล้าลงพื้นที่ชายแดนใต้ แถมบอกอย่างเปิดอกว่า “หมดปัญญา” เยียวยา ทำเอาหลายคนใจแป้ว
** เพราะถ้าลองคนระดับ มท.1 ออกปากพูดอย่างนี้ มันก็ย่อมเข้าใจทันทีว่าสถานการณ์มันย่ำแย่จริงๆ แต่ไม่ทันข้ามวัน พอโดนบังคับจากนายกฯ ก็ต้องจำใจลงไปดูเหตุการณ์ในวันรุ่งขึ้น แต่อีกมุมหนึ่งลักษณะไปฟังบรรยายสรุปแค่ในค่ายทหาร หรือนอนอยู่แต่ในเมืองหาดใหญ่ ไม่ยอมย่างกรายไปดูร่องรอยความเสียหายหรือไปพบปะ รับรู้ทุกข์สุขของชาวบ้าน ภาพจึงออกมาไม่น่าดู
** ที่สำคัญ ในทางการเมืองมันมีแต่ผลลบ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ที่ถือว่ามีความตื่นตัวสูง การออกอาการแบบบินโฉบไปโฉบมา ไปไหนทีมีแต่ตำรวจทหารล้อมหน้าล้อมหลังเป็นร้อยเป็นพัน มีรถนำขบวนกันจนเวียนหัว ชาวบ้านเขาจะด่าใส่หน้าเอาได้
** และยิ่งทำปากดี “โชว์กึ๋น” ไม่ดูตาม้าตาเรือ บอกทำนองจะตั้งศูนย์บัญชาการรับรู้สั่งการตลอด 24 ชั่วโมง ฟังตอนแรกดูดี เหมือนตั้งใจเอาจริงเอาจังกับปัญหามากขึ้น แต่มาสะดุดเอาตรงที่ศูนย์ฯดังกล่าวตั้งอยู่ในมหาดไทยที่คลองหลอดนี่เอง นึกว่าจะเลือกพื้นที่ในจังหวัดชายแดนใต้สักแห่งใช้เป็น “บก.ส่วนหน้า” เกาะติดสถานการณ์ให้ดูขึงขังเสียอีก
** เมื่อรูปการณ์เป็นแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกฝ่ายค้านปรามาสเสียๆหายๆ ทำนอง “ขี้ขลาด” หรือ กลัวตาย หรือท่าดีทีเหลว อะไรประมาณนี้แหละ แต่เมื่อพิจารณารอบด้านแล้ว สังคมก็ชักคล้อยตามเสียด้วยซี !!
