“อภิสิทธิ์” หวั่นโยกย้ายไม่เป็นธรรม ทำลายระบอบข้าราชการ-การเมือง เชื่อการใช้อำนาจอย่างไม่ธรรมจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในสังคม และปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรงจะตามมา
วันนี้ (19 มี.ค.) ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่มีการโยกย้าย พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รอง ผบช.ส.ไปช่วยราชการที่จังหวัดยะลา ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอีกกรณีหนึ่งที่สามารถยืนยันสิ่งที่หลายฝ่ายกังวล และรัฐบาลยังกังวลกับการโยกย้ายเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง เชื่อว่า จะยิ่งเป็นการเสริมความขัดแย้งในสังคม และปฏิกิริยาจะรุนแรงมากขึ้น
ดังนั้น ควรจะต้องมานั่งคิดกันว่าจะหาวิธีทำอย่างไรให้รัฐบาลเลิกท่าทีเช่นนี้ และเชื่อว่า การโยกย้ายดังกล่าวจะเหมือนกับการโยกย้ายที่ดีเอสไอ หรือ กระทรวงต่างๆ ซึ่งมีความเคลื่อนไหวของข้าราชการที่จะลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตนเอง
ซึ่งตนก็เห็นด้วยกับช่องทางนี้ที่จะสื่อสารกับรัฐบาลได้โดยตรง ตนไม่สนับสนุนความขัดแย้งในเชิงสถาบัน ซึ่งอยากให้ผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองต้องคำนึงถึงหลักคุณธรรม และหากระบวนการนี้ยังดำเนินต่อไป ระบบราชการก็จะกลายเป็นการเลือกข้าง และไปคาดคะเนกันว่าจะมีการเลือกข้างต่อไปซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการบริหารประเทศ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เราเตือนรัฐบาลมาหลายครั้งแล้ว น่าจะเก็บเกี่ยววิกฤตการเมืองที่ผ่านมา อยากให้หลีกเลี่ยงการใช้อำนาจที่มีปัญหา ซึ่งคนติดตามเรื่องราวที่ผ่านมาก็คงจะดูออกคนที่ถูกสงสัยว่าจะเป็นเป้า เพราะเหตุทางการเมืองก็ออกมาตามนั้นเกือบหมด รัฐบาลจะชี้แจงไปก็ไม่มีใครเชื่อแล้ว แต่หากปล่อยไปเรื่อยๆ ระบบราชการและการเมืองจะเสียหายต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคฝ่ายค้านจะเสนอญัตติการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่า รัฐบาลจะไม่ขัดข้องหากจะมีการพูดถึงปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้ ส่วนตนไม่มีปัญหา เพราะทราบว่าวิปทั้งสองฝ่ายได้หารือและเห็นตรงกันแล้ว พอจบเรื่องของแพงก็คงจะได้คุยกันเรื่องนี้ ปัญหาที่ยังเกิดอยู่นี้เป็นเพราะส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลยังไม่ได้แสดงท่าที่ทีชัดเจนในเรื่องนโยบายและครั้งที่รัฐมนตรีมหาดไทยมาพบตน พูดได้คำเดียวว่า ปัญหาดังกล่าวแก้ด้วยกำลังไม่ได้และนายกฯก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้มากนัก แต่เริ่มจะพาดพิงไปต่างประเทศมากขึ้น เราก็อยากจะทราบจุดยืนของรัฐบาลจะแก้เรื่องนี้อย่างไรในส่วนกฎหมายกลไก ส่งสัญญาณไปให้ผู้ปฏิบัติตามนโยบายให้ขวัญ กำลังใจเจ้าหน้าที่และประชาชน เป็นโอกาสดีของรัฐบาลที่สามารถใช้เวทีสภาให้เป็นประโยชน์ ส่วนกรณีที่รมว.มหาดไทยระบุว่าการแก้ปัญหาใต้ไม่สามารถแก้ได้เพียงหน่วยงานเดียวนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีส่วนจริงที่เกินกำลังของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราเสนอเรื่องกฎหมายไป ท่านก็รับไป และเราก็อยากให้เร่งผลักดัน จะได้มีกลไกประสานทุกหน่วยงานจะได้เดินหน้าไปด้วยกัน ส่วนที่ระบุว่าจะให้กองทัพมาดูแลนั้น คงจะอยู่ที่กองทัพหน่วยงานเดียวไม่ได้ เพราะท่านพูดเองว่าการแก้ปัญหาต้องแก้ด้วยวิธีอื่นมาใช่การใช้กำลังและมาตรการด้านความมั่นคงอย่างเดียว
ดังนั้น ตนอยากให้ผลักดันกฎหมายที่เราเสนอไป ขอให้รีบนำเข้ามาโดยเร็ว เพราะสภาชุดนี้ยังไม่ได้พิจารณากฎหมายแม้แต่ฉบับเดียว จะได้ทำให้เสร็จและจะได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย
“ที่บอกว่า ปัญหาใต้เป็นปัญหาเฉพาะพื้นที่ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง จริงๆ แล้วเป็นปัญหาของทุกคนในชาติขณะนี้ และต้องการการแก้ปัญหาและความเข้าใจของคนทั้งชาติ และคนที่เสียชีวิตที่สามจังหวัดชายแดนใต้โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่มาจากทุกภาค ดังนั้น การแก้ปัญหาควรจะมาจากความเห็นของคนทุกภาค” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับ ร.ต.อ.เฉลิม หากลงไปพื้นที่จะมีส่วนช่วยปัญหาได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การที่ท่านไปทำความเข้าใจถึงทิศทางนโยบาย และให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องที่ดีเสนอชื่อตุลาการศาล รธน.ต่อ ส.ว.สัปดาห์หน้า นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงประธาน ส.ว.และรองประธาน ส.ว.ด้วยว่า ขอให้วุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการให้ความเห็นชอบบุคลากรต่างๆ และให้ความเป็นกลางทางการเมือง
สำหรับการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นหนึ่งในกรรมการสรรหาจะทำงานให้เสร็จภายในสัปดาห์หน้า และส่งให้ ส.ว.แต่เที่ยวนี้จะไม่เหมือนเมื่อก่อน ซึ่งจะได้เสนอเกินจำนวนให้ส.ว.พิจารณา แต่จากนี้กรรมการสรรหาจะเสนอให้ ส.ว.เห็นชอบเท่านั้น ดังนั้น ภาระหนักอกจะมาอยู่ที่กรรมการสรรหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคพลังประชาชนเสนอให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ ส.ว.สรรหา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องคุณสมบัติไม่จำเป็นจะต้องมีใครทำเรื่องนี้เป็นพิเศษ ใครที่ขาดคุณสมบัติและมีการปรากฏขึ้นมา ก็สามารถดำเนินการตามรัฐธรรมนูญได้อยู่แล้ว สามารถเข้าชื่อร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้