ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – ยางพารามีราคาเพิ่มขึ้นไม่หยุด ทำให้ราคาสวนยางใต้พุ่งกระฉูดตามไปด้วยไร่ละกว่าแสนบาทรับยางแพง ชาวสวนหน้าบานเล็งการณ์ไกลไม่นิยมขายแต่เก็บไว้กรีดเอง ส่วนสวนที่หมดอายุกรีดโค่นต้นยางขายเพื่อเตรียมปลูกใหม่ก็ยังได้ราคาดีตกไร่ละ 90,000 – 150,000 บาท ซึ่งแพงกว่าภาคตะวันออกและอีสานที่อยู่ประมาณไร่ละ 80,000 บาท
นายประวิทย์ เรืองประดับ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางพาราจังหวัดพัทลุง (สกย.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันราคาสวนยางพาราได้ขยายตัวสูงมากและราคาขยับขึ้นทุกปี มีการซื้อขายกันราคาตั้งแต่ไร่ละ 100,000 บาท แต่ทั้งนี้ราคาจะขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ด้วย และเชื่อว่ายางพารายังเป็นสินค้าเกษตรที่มีอนาคตดี เจ้าของสวนยางไม่ควรรีบขายสวน เพราะสวนยางพาราให้ผลผลิตตลอดทั้งปี สร้างรายได้ต่อเนื่อง อีกทั้งสามารถปลูกพืช ผลไม้เข้าแซมได้ด้วย
เมื่อสวนยางพาราถึงกำหนดโค่นก็สามารถขายไม้ยางพารา โดยต้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 นิ้ว เฉลี่ยแล้วประมาณ 100,000 บาท/ไร่ ส่วนนี้ถือว่าเป็นโบนัสเจ้าของสวนยางพารา หากต้องการทำสวนยางต่อไปก็สามารถขอทุนทำสงเคราะห์กับ สกย.ได้ ซึ่งจะสนับสนุนเงินทุนและปุ๋ยให้เกษตรกรจนกว่าจะอายุครบกำหนดกรีด
ด้านนายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ยางพาราในภาคตะวันออกและภาคอีสาน ถือว่าเกษตรกรมีความพอใจกับรายได้ โดยยางแผ่นดิบมีราคากิโลกรัมละกว่า 80 บาท แต่เกษตรกรยังมีรายได้เสริมจากการปลูกพืชแซมในสวนยางอีกด้วย ซึ่งเกษตรกรภาคตะวันออกนิยมปลูกสับปะรด ราคา 6 บาท/กิโลกรัม(กก.) ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมปลูกข้าวโพด ราคา 8 บาท/กก.
นายอุทัย กล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนทำสวนยางในภาคตะวันออกและภาคอีสานตกประมาณไร่ละ 12,000-15,000 บาท/ไร่ แล้วแต่ว่าเป็นเนินเขาหรือพื้นที่ราบ และใช้ เวลาประมาณ 7 ปี เกษตรกรจึงสามารถกรีดยางได้ และในระดับราคายางปัจจุบันแล้วภายในเวลา 5 ปี ก็สามารถสร้างรายได้ถึงจุดคุ้มทุนได้ สวนยางที่กรีดยางจนถึงกำหนดปลูกใหม่นั้น แม้ว่าราคาจะยังไม่พุ่งสูงเท่าภาคใต้ก็ตาม โดยต้นยางขนาด 6 นิ้วขึ้นไปมีราคาประมาณไร่ละ 70,000 – 80,000 บาท ทำให้มีผู้นิยมทำสวนยางมากขึ้นทดแทนการปลูกข้าว
“ตอนนี้สวนยางพาราได้ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งภาคตะวันออก อีสาน และภาคเหนือ ถือเป็นป่าเศรษฐกิจที่สร้างรายได้หลายทาง ทั้งการกรีดเอาน้ำยาง ปลูกพืชแซมใช้สอยในครัวเรือนและจำหน่าย พื้นที่เป็นป่ามีร่มเงาระบบนิเวศดีขึ้น คนก็มีงานทำ และไม้ยางยังขายได้อีกด้วย ชาวนาที่ปลูกข้าวยังหันมาปลูกยางหลายราย เพราะเห็นชัดว่ามีรายได้ดีกว่าเยอะ เพราะราคาน้ำมันไม่มีวันถูกลง ราคายางก็มีแต่พุ่งขึ้นด้วยเช่นกัน” นายอุทัยกล่าว
นายสม ดำหนก เจ้าของสวนยางพาราหมู่ 3 บ้านด่านโลด อ.ตะโหมด จ.พัทลุง เปิดเผยว่า เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาสวนยางพาราที่กรีดได้ และมีเอกสารสิทธิโฉนดมีราคายังไม่สูงมากนัก คือประมาณ 35,000 – 40,000 บาท / ไร่ แต่ในปัจจุบันหลังราคายางพาราในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสวนยางสูงขึ้นประมาณ 150,000 บาท/ไร่ ส่วนที่ดิน ส.ป.ก. ก็ราคาสูงไม่แพ้กันตั้งแต่ 90,000 – 100,000 บาท/ไร่
ขณะที่ยางแก่ซึ่งผ่านการกรีดน้ำยางจนให้ผลผลิตน้อยแล้ว ยังสามารถตัดไม้ยางจำหน่ายได้ราคาดีอีกด้วย โดยราคาไม้ยางขึ้นอยู่กับขนาดลำต้น หากมีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 6 นิ้วขึ้นไป ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 90,000 – 150,000 บาท/ไร่ ทำให้เกษตรกรที่เป็นเจ้าของสวนยางพารามีรายได้มากขึ้น แม้ว่าสินค้าจะมีราคาแพงก็ตาม
นายประวิทย์ เรืองประดับ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางพาราจังหวัดพัทลุง (สกย.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันราคาสวนยางพาราได้ขยายตัวสูงมากและราคาขยับขึ้นทุกปี มีการซื้อขายกันราคาตั้งแต่ไร่ละ 100,000 บาท แต่ทั้งนี้ราคาจะขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ด้วย และเชื่อว่ายางพารายังเป็นสินค้าเกษตรที่มีอนาคตดี เจ้าของสวนยางไม่ควรรีบขายสวน เพราะสวนยางพาราให้ผลผลิตตลอดทั้งปี สร้างรายได้ต่อเนื่อง อีกทั้งสามารถปลูกพืช ผลไม้เข้าแซมได้ด้วย
เมื่อสวนยางพาราถึงกำหนดโค่นก็สามารถขายไม้ยางพารา โดยต้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 นิ้ว เฉลี่ยแล้วประมาณ 100,000 บาท/ไร่ ส่วนนี้ถือว่าเป็นโบนัสเจ้าของสวนยางพารา หากต้องการทำสวนยางต่อไปก็สามารถขอทุนทำสงเคราะห์กับ สกย.ได้ ซึ่งจะสนับสนุนเงินทุนและปุ๋ยให้เกษตรกรจนกว่าจะอายุครบกำหนดกรีด
ด้านนายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ยางพาราในภาคตะวันออกและภาคอีสาน ถือว่าเกษตรกรมีความพอใจกับรายได้ โดยยางแผ่นดิบมีราคากิโลกรัมละกว่า 80 บาท แต่เกษตรกรยังมีรายได้เสริมจากการปลูกพืชแซมในสวนยางอีกด้วย ซึ่งเกษตรกรภาคตะวันออกนิยมปลูกสับปะรด ราคา 6 บาท/กิโลกรัม(กก.) ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมปลูกข้าวโพด ราคา 8 บาท/กก.
นายอุทัย กล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนทำสวนยางในภาคตะวันออกและภาคอีสานตกประมาณไร่ละ 12,000-15,000 บาท/ไร่ แล้วแต่ว่าเป็นเนินเขาหรือพื้นที่ราบ และใช้ เวลาประมาณ 7 ปี เกษตรกรจึงสามารถกรีดยางได้ และในระดับราคายางปัจจุบันแล้วภายในเวลา 5 ปี ก็สามารถสร้างรายได้ถึงจุดคุ้มทุนได้ สวนยางที่กรีดยางจนถึงกำหนดปลูกใหม่นั้น แม้ว่าราคาจะยังไม่พุ่งสูงเท่าภาคใต้ก็ตาม โดยต้นยางขนาด 6 นิ้วขึ้นไปมีราคาประมาณไร่ละ 70,000 – 80,000 บาท ทำให้มีผู้นิยมทำสวนยางมากขึ้นทดแทนการปลูกข้าว
“ตอนนี้สวนยางพาราได้ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งภาคตะวันออก อีสาน และภาคเหนือ ถือเป็นป่าเศรษฐกิจที่สร้างรายได้หลายทาง ทั้งการกรีดเอาน้ำยาง ปลูกพืชแซมใช้สอยในครัวเรือนและจำหน่าย พื้นที่เป็นป่ามีร่มเงาระบบนิเวศดีขึ้น คนก็มีงานทำ และไม้ยางยังขายได้อีกด้วย ชาวนาที่ปลูกข้าวยังหันมาปลูกยางหลายราย เพราะเห็นชัดว่ามีรายได้ดีกว่าเยอะ เพราะราคาน้ำมันไม่มีวันถูกลง ราคายางก็มีแต่พุ่งขึ้นด้วยเช่นกัน” นายอุทัยกล่าว
นายสม ดำหนก เจ้าของสวนยางพาราหมู่ 3 บ้านด่านโลด อ.ตะโหมด จ.พัทลุง เปิดเผยว่า เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาสวนยางพาราที่กรีดได้ และมีเอกสารสิทธิโฉนดมีราคายังไม่สูงมากนัก คือประมาณ 35,000 – 40,000 บาท / ไร่ แต่ในปัจจุบันหลังราคายางพาราในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสวนยางสูงขึ้นประมาณ 150,000 บาท/ไร่ ส่วนที่ดิน ส.ป.ก. ก็ราคาสูงไม่แพ้กันตั้งแต่ 90,000 – 100,000 บาท/ไร่
ขณะที่ยางแก่ซึ่งผ่านการกรีดน้ำยางจนให้ผลผลิตน้อยแล้ว ยังสามารถตัดไม้ยางจำหน่ายได้ราคาดีอีกด้วย โดยราคาไม้ยางขึ้นอยู่กับขนาดลำต้น หากมีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 6 นิ้วขึ้นไป ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 90,000 – 150,000 บาท/ไร่ ทำให้เกษตรกรที่เป็นเจ้าของสวนยางพารามีรายได้มากขึ้น แม้ว่าสินค้าจะมีราคาแพงก็ตาม