ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – “ประธานสภาการยางแห่งประเทศไทย” จี้รัฐบาลสนใจและสนับสนุนพืชเศรษฐกิจ เช่น ยาง ให้เติบโตอย่างยั่งยืนและให้เป็นอุตสาหกรรมการผลิตครบวงจรได้แล้ว แทนที่จะปล่อยตามยถากรรม หนุนทำ FTA กับอินเดีย เพื่อปลดล็อกกำแพงภาษีนำเข้ายางที่สูงถึง 30% และผลักดันให้มีความแข็งแกร่งในการรวมกลุ่มประเทศผู้ผลิตยางทั้งระบบ เตือนโอกาสจะเป็นวิกฤตของผู้ผลิตที่ไร้พลังกำหนดราคาเอง
แม้ว่ายางพาราจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่เป็นสัญลักษณ์ของภาคใต้กว่า 100 ปี นับตั้งแต่ครั้งพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ได้นำต้นยางมาทดลองปลูกที่ จ.ตรัง แต่ชาวสวนเพิ่งจะมีโอกาสลืมตาอ้าปากเมื่อก้าวสู่ยุคน้ำมันแพง ทำให้ยางพาราเข้าสู่ยุคทองที่มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นสินค้าเกษตรหลักที่เป็นตัวชูโรงเศรษฐกิจให้แก่ภาคใต้ ก่อนขยายไปสู่ภาคอื่นๆ ของประเทศ
สำหรับยางพาราได้ถูกทำให้เป็นหนึ่งในสินค้าเกษตร ที่มีการซื้อขายเก็งกำไรล่วงหน้าแล้ว โดยมีแรงบวกจากปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย ทำให้มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติในอุตสาหกรรมรถยนต์สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งกลไกของตลาดที่ขับเคลื่อนนี้ไม่ได้เกิดจากผลงานของรัฐบาลแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ด้วยแรงจูงใจด้านราคาและโอกาสทองที่รออยู่รำไร ทำให้เกษตรกรในภาคอื่นๆ หันมาริเริ่มทำสวนยางด้วยความหวัง ทั้งภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก แม้ว่าจะเคยผ่านประสบการณ์อันชอกช้ำยางตาสอย ที่รัฐบาลเคยคอร์รัปชั่นและสร้างความอัปยศต่อวงการยางมาแล้วก็ตาม และปัจจุบันยิ่งมีความเป็นห่วงว่า หากรัฐบาลยังนิ่งนอนใจไม่ใช้เข้ามาดูแลยางพาราเลยโอกาสที่มาถึงแล้วก็จะกลายเป็นวิกฤตได้ในอนาคต
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผย ว่า ราคายางพาราแผ่นดิบที่ทะยานขึ้น 80-100 บาท/กิโลกรัม (กก.) เป็นโอกาสทองของเกษตรที่จะขายสินค้าได้ราคาดี โดยประเทศไทยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีการส่งออกอันดับ 1 ของโลก 90% ส่งออกในรูปยางดิบ ส่วนอีก 10% มีการแปรรูปทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น จึงควรใช้โอกาสนี้ผลักดันให้ยางเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งยั่งยืน
ทั้งนี้ นอกจากไทยจะเป็นผู้ผลิตแล้ว เรายังต้องเป็นผู้กำหนดราคาเองได้ด้วย เหมือนดังเช่นกลุ่มโอเปกที่มีอำนาจต่อรองด้านน้ำมันดิบซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีวันหมด ขณะที่ยางพารามีโอกาสผลิตใหม่ได้ตลอดทั้งปี แต่หากทุกฝ่ายนิ่งนอนใจและปล่อยปละละเลย นับเป็นการทิ้งโอกาสทองให้สูญเปล่าอย่างน่าเสียดาย
“ยางพาราก็มีปัญหาเช่นเดียวกับสินค้าเกษตรอื่นๆ เพราะมีการสั่นคลอนจากราคาที่ผันผวน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ไม่สามารถรวมตัวกลุ่มผู้ปลูกยางทั้งระบบในไทยเพื่อนบ้านคุยกันเหมือนโอเปก ที่จะต่อรองราคาน้ำมันดิบ ถ้าทำได้จริงก็จะเกิดประโยชน์ต่อวงการยางอีกยาวนาน เพราะความต้องการของตลาดโลกเพิ่มเรื่อยๆ ไม่มีทางลดลง จากสถิติแล้วทุกๆ 10 ปีราคายางจะพุ่งขึ้นเท่าตัว” นายอุทัย กล่าวต่อและว่า
นอกจากนี้แล้ว ยังเห็นได้ว่ารัฐบาลไม่ให้ความสำคัญต่อยางเหมือนสินค้าอื่นๆ ซึ่งไม่เคยมีการนำไปเจรจาทำข้อตกลง FTA กับประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ ทั้งจีนกับอินเดียเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง แต่กลับปล่อยให้ประเทศอินเดียเก็บภาษีนำเข้าสูงสุด 30% เลยทีเดียว ซึ่งเป็นกำแพงภาษีในอัตราที่สูง และไม่เคยแม้แต่หยิบยกขึ้นมาถกเถียงเพื่อแก้ไขเอื้อต่อการส่งออกยางพาราไทย ไม่รวมถึงการเมินเฉยต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยางให้มีการต่อยอดมากขึ้น แม้จะผลิตได้มากแต่ก็ส่งออกเกือบทั้งหมด เปิดโอกาสให้เพื่อนบ้านนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าสูงกว่าอย่างน่าเสียดาย
นายอุทัย กล่าวต่อด้วยว่า ที่สำคัญคือ แม้ยางพาราจะมีหน่วยงานเกษตรดูแลซึ่งมีความรู้และเชี่ยวชาญเรื่องยาง แต่พบว่าการวิจัยเรื่องพันธุ์ยางกลับกระจัดกระจาย และไม่ก้าวทันต่อการเติบโตของการขยายสวนยาง ทำให้พันธุ์ยางที่ปลูกในประเทศไทยยังเป็น อาร์เอ็ม 600 ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่อาจจะระบาดทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้างได้ และไม่มีพันธุ์ใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ด้วยต้นกำเนิดพันธุ์ยางรับมาจากภาคใต้ ซึ่งสามารถปรับตัวได้กับสภาพในท้องถิ่นนั้นๆ ขณะที่ปัจจุบันขยายไปสู่ภาคอื่นๆ ของประเทศไทยแล้ว
“มุมมองเกษตรกร ยังเชื่อมั่นว่าสวนยางพาราจะเป็นอาชีพที่สร้างความมั่นคงได้ เมื่อมองแนวโน้มต่างๆ แล้ว ทำให้เกษตรกรตื่นตัวหันมาทำสวนยางกันมาก โดยเฉพาะภาคอีสาน เพราะมีรายได้ตลอดปี และเก็บผลผลิตได้หลายสิบปี ช่วยให้ระบบนิเวศดีขึ้น ลดโลกร้อน ดีกว่าชะล่าใจไม่พัฒนาตัวเอง ปล่อยให้เพื่อนบ้านทั้งพม่า ลาว เวียดนาม แซงขึ้นมาผลิตยางแทนไทยในที่สุด” นายอุทัย กล่าวในที่สุด