ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางฯ มีมติชะลอการจำหน่ายยางสู่ตลาดทั่วประเทศ พร้อมเป็นหัวแรงเร่งเครื่องจี้รัฐบาลเลิกทะเลาะกันเอง หันหน้าเข้าแก้ปัญหาราคายางตกต่ำทั้งระบบ โดยยื่นแนวทางแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เสนอฟื้นฟูจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติโดยทันที เพื่อเป็นเจ้าภาพในการติดตามปัญหา พร้อมหนุนแนวทางเพิ่มการใช้ยางภายในประเทศให้สถาบันการเงินของรัฐ ปล่อยซอฟต์โลน 3 ฝ่ายให้ผู้ประกอบการหมุนซื้อยางพารามาทำ Packing Stock, กลุ่มอุตสาหกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและการใช้ยางภายในประเทศ และให้สหกรณ์ โรงรมยาง 675 แห่ง แปรรูปยางเพื่อรอการขายในช่วงราคาปกติ และจัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคายาง โดยเก็บเงิน Cess ในอัตราก้าวหน้า เพื่อเป็นกองทุนพึ่งพาตนเองในอนาคต
จากวิกฤตราคายางพารา ที่มีราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรป ส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะเกษตรกรชาวสวนยาง ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เนื่องจากปัจจุบันราคายางลดลงอย่างฮวบฮาบ โดยในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยางแผ่นอยู่ที่ราคา 49-50 บาท น้ำยางสด ราคา 50-55 บาท เศษยางราคา 18-20 บาท และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สหกรณ์และจุดรับชื้อน้ำยางในหลายจังหวัด เตรียมประกาศหยุดชื้อเพื่อรอดูท่าทีของราคา และเพื่อเป็นการแก้ไขวิกฤตราคายางพาราตกต่ำ
ล่าสุด สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ณ กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งมีทั้งนายกสมาคมชาวสวนยางจากจังหวัดภาคใต้ และจังหวัดอื่น ๆ เช่น บุรีรัมย์ หนองคาย นครพนม เลย ชลบุรี เป็นต้น รวมทั้ง ผู้แทนสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อหาทางออกของปัญหาราคายางตกต่ำ
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาการยางแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า วิกฤตสถาบันการเงินของสหรัฐอเมริกาทำให้ชะลอการสั่งซื้อ ประกอบกับตลาดหุ้นมีความปั่นป่วนทำให้ราคาซื้อขายยาง ซึ่งมีการซื้อขายในตลาดล่วงหน้าร่วงต่ำลงด้วย และการระดมความคิดในครั้งนี้ที่ประชุมได้สรุปข้อเสนอที่เรียกร้องให้รัฐบาลรับไปพิจารณา โดยหลังจากที่ได้ร่วมลงนามร่วมกันก็ยื่นต่อรัฐบาล และตนจะคอยติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด
เบื้องต้นได้ประชาสัมพันธ์ให้สมาคม กลุ่มสหกรณ์ และเกษตรกรรายใหญ่ที่มีกำลังร่วมมือกันเก็บยาง เพื่อชะลอการขาย เนื่องจากเล็งเห็นว่าหากยางขาดตลาดราคาจะปรับขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากขณะนี้สต๊อกของโรงงานในภาคอุตสาหกรรมหมดแล้ว และจะต้องมีการสั่งซื้อยางเข้าโรงงานด้วยกระบวนการผลิตไม่สามารถหยุดได้ โดยในระหว่างนี้รัฐบาลควรหาแนวทางเกษตรกรรายย่อยเพื่อความอยู่รอด และอีกไม่ช้าชาวสวนจะเข้าสู่ฤดูฝนและฤดูผลัดใบแล้ว ทำให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการอย่างแน่นอน
“ตอนนี้สินค้าเกษตรมีราคาผันผวนมาก นักการเมืองจึงไม่ควรมาทะเลาะมาก จนไม่ลงมาช่วยเหลือ ถ้าเกษตรกรล้มละลายแล้วจะอยู่กันอย่างไร รัฐบาลมีแขนมีขาที่จะทำงานต้องออกมาช่วยเหลือ แม้ว่าจะไม่มากเหมือนพืชชนิดอื่นก็ไม่เป็นไร แต่ควรมีการตอบสนองโดยไม่ปล่อยให้ชาวสวนยางร้องอยู่ฝ่ายเดียว” นายอุทัยกล่าวและว่า
ข้อเสนอที่เรียกร้องให้รัฐเร่งพิจารณาเพื่อแก้ปัญหาในระยะสั้น ต้องรีบฟื้นฟูจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติโดยทันที เพื่อเป็นเจ้าภาพในการติดตามปัญหา และเสนอแนะนโยบายด้านยางพาราอย่างเป็นระบบและครอบคลุม และควรจัดตั้งโฆษกแถลงข่าวเพื่อให้เป็นข้อมูลเดียวกันทั้งประเทศ เพื่อให้ข้อมูลจากแต่ละหน่วยงานตรงกัน
คิดต้นทุนการผลิตให้แน่นอนในปัจจุบัน พร้อมลดต้นทุนการผลิต เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าหญ้า น้ำกรด ถ้วยยาง ลวด ลิ้นยาง ซึ่งขึ้นราคาแล้ว 80-120% โดยอ้างปัจจัยต้นทุนน้ำมันสูง แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันได้ลดลงเหลือ 68 ดอลลาร์สหรัฐ กระทรวงพาณิชย์จึงต้องเข้ามาดูแลให้ความเป็นธรรม ขณะเดียวกันควรสนับสนุนให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ชีวภาพ เพื่อลดต้นทุนอย่างจริงจัง และให้ สกย.จ่ายเงินค่าปุ๋ยโดยมิต้องคำนึงว่าจะเป็นปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์
นายอุทัย ยังกล่าวต่อด้วยว่า การหามาตรการรักษาเสถียรภาพราคายางไม่ให้ผันผวนมากนัก ก็เป็นเรื่องที่ต้องรีบกระทำ พร้อมทั้งควบคุมราคาขายตามความเหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการ โดยให้กรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นพนักงานตาม พ.ร.บ.เข้ามาดูแลราคายางทุกชนิดที่เสนอขายต่างประเทศในฐานราคาที่ไม่ควรต่ำเกินไป โดยคำนวณจากราคาต้นทุนของเกษตร ณ ปัจจุบัน บวกด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ จัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคายาง โดยเก็บเงิน Cessในอัตราก้าวหน้า เพื่อเป็นกองทุนพึ่งพาตนเองในอนาคต และให้บริษัทร่วมทุน 3 ประเทศ (IRCo) รีบดำเนินการผลักดันมาตรการเพื่อรองรับสถานการณ์ให้ชัดเจน เช่น การเข้าไปซื้อยางในตลาดล่วงหน้าเป็นการด่วน
นอกจากนี้ ยังเสนอใช้สถาบันการเงินของรัฐเป็นผู้สนับสนุนให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนหมุนเวียนมาซื้อยางพารามาทำ Packing Stock ตั้งแต่บัดนี้-มกราคม 2552 ซึ่งจำเป็นต้องซื้อขายในราคาที่ตลาดกำหนดอยู่เหนือต้นทุนของเกษตรกร และเมื่อยางไม่ได้ขายออกจะทำให้ตลาดโดยทั่วไปกระเตื้องขึ้นทันที การยกเลิกสัญญาราคาสูงๆ จะลดลง
“รัฐบาลต้องเร่งโค่นยางในเขตป่าเสื่อมโทรม เขตพิเศษว่าด้วยการจัดการแก้ไขปัญหาความยากจนเกษตรกรในเขตชายแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอใน จ.สงขลา โดยให้สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) เร่งดำเนินการตามมติ ครม. และให้ สกย.ออกประชาสัมพันธ์เพื่อเร่งการปลูกยางทดแทนจากเดิม 2.5 แสนไร่ เป็น 4.0 แสนไร่ ” นายอุทัยกล่าวต่อและว่า
ส่วนมาตรการเพื่อสนับสนุนให้ยางธรรมชาติภายในประเทศ สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทยเสนอให้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อเพิ่มการใช้ยางภายในประเทศ และแข่งขันได้ในตลาด โดยให้รัฐสนับสนุนผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางในประเทศไทย เช่น ล้อรถ ยางรถยนต์ เขื่อนยาง เป็นต้น โดยขอความร่วมมือให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่อุตสาหกรรมเพื่อปรับปรุงเครื่องจักรให้ทันสมัยเพื่อแข่งขันกับต่างประเทศได้ และเป็นเงินหมุนเวียนเพื่อซื้อวัตถุดิบ
ขณะเดียวกันเห็นว่ารัฐเพิ่มภาษีการสั่งยางสังเคราะห์เข้าประเทศจากเดิมเก็บ 1% เป็น 20% เพื่อสนับสนุนให้ใช้ยางธรรมชาติในประเทศมากขึ้น พร้อมทั้งนำร่องการใช้ยางภายในประเทศโดยสนับสนุนผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางพาราเพื่อเพิ่มมูลค่ายาง เช่นแผ่นยางปูสระน้ำใช้ในงานเกษตร แผ่นยางปูพื้นคอกปศุสัตว์ ซึ่งได้วิจัยสิ้นสุด และให้กรมทางหลวงตลอดจนกระทรวงคมนาคมนำน้ำยางข้นเป็นส่วนประกอบของถนนลาดยาง 5-10% ตามหลักวิชาการที่มีผลงานวิจัยและผลการทดลองที่องค์การสวนยางมาใช้ทันที
นอกจากนี้แล้ว รัฐควรหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเป็นเงินหมุนเวียนให้สหกรณ์ โรงรมยาง 675 แห่ง เพื่อจัดการรมควันและใช้โรงอัดยางก้อนซึ่งมีอยู่ 142 โรงให้เป็นประโยชน์ และให้องค์กรของรัฐบาล เช่น ธ.ก.ส.รับจำนำยาง เพื่อให้ยางหายไปจากตลาด และให้โรงงานต้นแบบของ สกย. 4 แห่ง อบรมเกษตรกรทำผลิตภัณฑ์ยาง เช่น ขาโต๊ะ ขาเก้าอี้ พื้นปูรถยนต์ ซีลต่างๆ ล้อยางตัน พื้นรองเท้า ฯลฯ
“ข้อเสนอเหล่านี้เพื่อลดความรุนแรงของราคายางให้อยู่ในระดับที่กำหนดได้ และสร้างความมั่นใจแก่ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกถึงความเอาใจใส่ของภาครัฐ ที่ไม่ปล่อยให้ผู้ประกอบการต้องดำเนินการกันเองตามลำพัง โดยมีคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติเป็นเจ้าภาพติดตามและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในทิศทางที่ควรจะเป็น และเมื่อบริษัทร่วมทุน 3 ประเทศได้เข้ามาร่วมมือด้วย ก็จะทำให้สมาชิกผู้ผลิตและใช้ยางมีแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องในทิศทางเดียวกัน เชื่อว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แม้ว่าจะยังมีปัญหาเศรษฐกิจโลกอยู่ แต่หากข้อเสนอแนะและเรียกร้องทั้งหมดยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็อยากให้รัฐพิจารณาการแทรกแซงตลาดยางพารามาพิจารณาในลำดับต่อไป” ประธานสภาการยางแห่งประเทศไทยกล่าวต่อและว่า
มาตรการแก้ไขปัญหาระยะยาว อยากให้มีการระดมความคิดเห็นไว้ด้วย โดยอาศัยข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เช่นการเพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศในรูปแบบต่างๆ การจัดโซนปลูกยาง ตลอดจนผลักดันให้เกิด พ.ร.บ.สภาการยาง เพื่อให้มีบทบาทสมบูรณ์ เอื้อต่อวงการยางพาราไทยทั้งระบบ และจัดตั้งกองทุนออก พ.ร.บ.กองทุนประกันราคายางพาราเพื่อแก้ปัญหาเมื่อราคายางตกต่ำ โดยให้เกษตรกร พ่อค้า และรัฐบาลมีส่วนร่วมในการสมทบเงินเข้ากองทุนดังกล่าว เป็นต้น