การเลือกตัวแทนพรรคเดโมแครตครั้งนี้ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์สำหรับสหรัฐอเมริกา เพราะว่าประเทศนี้ถ้าไม่มีผู้แทนจากพรรคเข้าชิงเป็นคนผิวดำ ก็เป็นผู้หญิง
และหากได้เป็นประธานาธิบดีก็จะเป็นครั้งแรก พลิกโฉมหน้าใหม่ของประเทศ
ดังนั้นยิ่งใกล้การชิงตัวแทนพรรคเข้ามาเท่าไร
ทั้งฮิลลารีและบารัคต่างก็วางกลยุทธ์ในเชิงรุกลุยด้วยกันทั้งสองคนครับ
ถ้าประเมินจากสื่อมวลชนแล้ว กระแสจากสื่อล้วนโน้มเอียงไปหาโอบามาเสียมากกว่า ดูได้จาก 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมาก็จะทราบว่า จะเห็นได้ว่าฮิลลารีรู้ว่าสื่อลำเอียง เลยหันมาโจมตีคู่แข่งอย่างชนิดสาดเสียเทเสีย
แม้แต่อดีตประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน ยังทนไม่ไหว ออกมาโต้นายโอบามาโดยบอกว่าที่เขาไปกล่าวหาว่าตัวคลินตันไม่เชื่อว่าโอบามาต่อต้านสงครามในอิรักนั้น คลินตันมีข้อมูลจริงๆ และโอบามาแค่เล่า “นิทานเด็กๆ” ให้ประชาชนฟังเท่านั้น
วิธีการตอบโต้จากบิลล์ คลินตันนี้ นักวิเคราะห์ชี้ว่าเขาเองเท่ากับไปเหยียดคนผิวดำอเมริกันกลายๆ โดยเฉพาะคนผิวดำที่มีความหวังตั้งไว้สูงสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้านี้
และยังมีเรื่องของมาร์ติน ลูเธอร์คิง และลินดอน จอห์นสัน ซึ่งนางฮิลลารี คลินตัน วิจารณ์ (อย่างถูกต้อง) ว่าทำให้อดีตประธานาธิบดีจอห์นสันถูกกดดันจากลูเธอร์คิงให้ต้องผ่านกฎหมายสิทธิมนุษยชนออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่มาร์ติน ลูเธอร์คิงสู้มาตลอดชีวิตของเขา
แน่ละครับ วิธีการสู้แบบนี้ อาจทำให้หลายคนไม่พอใจ
ในรายการ “60 นาที” ออกอากาศไปสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง นางคลินตันไปให้สัมภาษณ์โดยไปแนะหรือไปชี้อย่างกำกวมว่า นายโอบามานั้นจริงๆ แล้วเป็นคนมุสลิม
นี่คือปัญหามันเท่ากับเป็นการโยนบาปแท้ๆ เลย
ตลอดรายการ 60 นาทีนั้นมีการแลกเปลี่ยนระหว่างพิธีกรกับฮิลลารีเกี่ยวกับเรื่องมุสลิม แม้ฮิลลารีจะปฏิเสธโดยอ้างว่าเป็นแค่ข่าวลือบอกต่อกันมา
คำพูด 5 คำที่ดังมากคือ “เท่าที่ดิฉันรู้นะ” หมายความถึงการปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องมุสลิม โดยไม่ให้พัวพันตัวเธอ
แต่เธอก็ทำให้คนดูเริ่มตั้งข้อสงสัยแล้วว่าโอบามานั้นถืออิสลามและเป็นมุสลิมหรือไม่
นี่ถือว่า “สกปรก” คือใช้การปฏิเสธมาสร้างความกำกวม และให้ “ความกำกวม” ไปนำพาความสงสัยไม่แน่ใจในตัวคู่แข่ง
เธอจะฉลาดแกมโกงอย่างไร คนอเมริกันที่รู้เท่าทันก็มองออกว่าฮิลลารีเข้าตาจนเลยใช้วิธีสกปรกโสโครกทางการเมือง
โอบามานั้นเลยใช้โอกาสนี้วิพากษ์กลับไปบ้าง แต่ชี้ว่าเขาไม่น้ำเน่า แต่จะนำการเมืองใหม่มาสู่คนอเมริกัน
และเขาโกรธที่นางคลินตันไปพูดว่าเขาอาจมาเป็นรองประธานาธิบดี โดยตัวเธอเป็นประธานาธิบดีเสียเอง
คนใกล้ชิดและผู้ให้คำปรึกษาโอบามาเห็นว่าคณะของโอบามารู้จักสังคมอเมริกัน และคนอเมริกันดีพอ ไม่งั้นในรัฐเมน ซึ่งเป็นคนขาวทั้งหมด เขาคงไม่ชนะนางฮิลลารีแบบขาดลอยแน่
ในฐานะภรรยามิเชล โอบารัค กล่าวที่วิสคอนซินว่า เธอภูมิใจในอเมริกาและความเป็นคนอเมริกัน ทำให้ได้รับเสียงตอบรับดังสนั่นหวั่นไหว ตามมาด้วยเสียงปรบมือดังกึกก้อง
ทางโอบามามีพรสวรรค์ในการจูงใจผู้ฟัง และเธอมีข้อคิดที่ลงรากลึกในการมองสังคมอเมริกัน โดยเธอจะมองเห็นเหมือนผู้หญิงอเมริกันโดยทั่วไปเห็นเหมือนๆ กัน
นี่คือข้อได้เปรียบที่เธอมี
เช่นเธอว่าสังคมอเมริกานั้นค่อนข้างจะเอาเปรียบกันและถูกผลักดันด้วยความหวาดกลัว และกล่าวถึงสังคมอเมริกันที่สนใจแต่ผลประโยชน์ด้านความมั่นคง โดยกล่าวถึงการที่คนชอบเปลี่ยนเรื่องสนทนาถ้าไม่เกี่ยวกับความมั่นคงในชีวิตของตัวเอง
และการปกป้องประเทศจากผู้ก่อการร้ายก็เป็นประเด็นที่เธออ้างถึงและว่าสามีเธอจะดูเรื่องการป้องกันประเทศด้วยตัวเอง
หนังสือนิวยอร์กโปรไฟล์ตีพิมพ์สัปดาห์ที่แล้วอ้างถึงคำพูดจากนางโอบามาที่เคยพูดตั้งแต่ยังเล็กว่า ชีวิตคนอเมริกันได้ถดถอยลงตั้งแต่เธอยังเล็กๆ อยู่
“ดังนั้น ถ้าอยากแกล้งคิดว่าใน 20-30 ปีที่ผ่านมาชีวิตคุณดีอยู่แล้ว ดิฉันก็อยากพบคุณด้วยตัวเอง”
กล่าวโดยสรุปแล้ว นี่คือข้อเท็จจริงว่าสังคมอเมริกันได้เปลี่ยนไปจากการถดถอย และเราคงไม่ต้องหลอกตัวเอง
เธอถึงกล่าวว่า “จิตวิญญาณเราแตกสลายไปแล้ว”
นี่แหละวิสัยทัศน์ที่ทำให้คนอเมริกันตกอยู่ในโลกแห่งการมองทุกอย่างในแง่ลบ
และคนอเมริกันจะมองโลกในแง่บวก และมีศักดิ์ศรีก็ต้องมีผู้นำที่มองโลกใหม่ด้วยการเมืองใหม่ที่เป็นบวกด้วย
เราคงได้ฟังภรรยาของบารัค โอบามา มีคำคมใหม่ๆ อีกแน่
และถ้าเธอเป็นสตรีหมายเลขหนึ่ง และอยู่ในทำเนียบขาว เธอก็จะมีบทบาทไม่เหมือนใคร
นักวิเคราะห์เชื่อว่าเธอจะรับมือกับนักข่าวจากทั่วโลกได้สบายมือ
แน่นอนนักข่าวต่างประเทศอาจต้องการให้เธอขยายความว่า เธอหมายความว่าอย่างไร เรื่องจิตวิญญาณของคนอเมริกันที่แตกสลายนั้นเป็นอย่างไร
และเธอคิดว่าจะซ่อมแซมได้อย่างไร
เราคงอยากรู้ว่าเธอจะตอบอย่างไรเหมือนกันนะครับ
และหากได้เป็นประธานาธิบดีก็จะเป็นครั้งแรก พลิกโฉมหน้าใหม่ของประเทศ
ดังนั้นยิ่งใกล้การชิงตัวแทนพรรคเข้ามาเท่าไร
ทั้งฮิลลารีและบารัคต่างก็วางกลยุทธ์ในเชิงรุกลุยด้วยกันทั้งสองคนครับ
ถ้าประเมินจากสื่อมวลชนแล้ว กระแสจากสื่อล้วนโน้มเอียงไปหาโอบามาเสียมากกว่า ดูได้จาก 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมาก็จะทราบว่า จะเห็นได้ว่าฮิลลารีรู้ว่าสื่อลำเอียง เลยหันมาโจมตีคู่แข่งอย่างชนิดสาดเสียเทเสีย
แม้แต่อดีตประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน ยังทนไม่ไหว ออกมาโต้นายโอบามาโดยบอกว่าที่เขาไปกล่าวหาว่าตัวคลินตันไม่เชื่อว่าโอบามาต่อต้านสงครามในอิรักนั้น คลินตันมีข้อมูลจริงๆ และโอบามาแค่เล่า “นิทานเด็กๆ” ให้ประชาชนฟังเท่านั้น
วิธีการตอบโต้จากบิลล์ คลินตันนี้ นักวิเคราะห์ชี้ว่าเขาเองเท่ากับไปเหยียดคนผิวดำอเมริกันกลายๆ โดยเฉพาะคนผิวดำที่มีความหวังตั้งไว้สูงสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้านี้
และยังมีเรื่องของมาร์ติน ลูเธอร์คิง และลินดอน จอห์นสัน ซึ่งนางฮิลลารี คลินตัน วิจารณ์ (อย่างถูกต้อง) ว่าทำให้อดีตประธานาธิบดีจอห์นสันถูกกดดันจากลูเธอร์คิงให้ต้องผ่านกฎหมายสิทธิมนุษยชนออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่มาร์ติน ลูเธอร์คิงสู้มาตลอดชีวิตของเขา
แน่ละครับ วิธีการสู้แบบนี้ อาจทำให้หลายคนไม่พอใจ
ในรายการ “60 นาที” ออกอากาศไปสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง นางคลินตันไปให้สัมภาษณ์โดยไปแนะหรือไปชี้อย่างกำกวมว่า นายโอบามานั้นจริงๆ แล้วเป็นคนมุสลิม
นี่คือปัญหามันเท่ากับเป็นการโยนบาปแท้ๆ เลย
ตลอดรายการ 60 นาทีนั้นมีการแลกเปลี่ยนระหว่างพิธีกรกับฮิลลารีเกี่ยวกับเรื่องมุสลิม แม้ฮิลลารีจะปฏิเสธโดยอ้างว่าเป็นแค่ข่าวลือบอกต่อกันมา
คำพูด 5 คำที่ดังมากคือ “เท่าที่ดิฉันรู้นะ” หมายความถึงการปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องมุสลิม โดยไม่ให้พัวพันตัวเธอ
แต่เธอก็ทำให้คนดูเริ่มตั้งข้อสงสัยแล้วว่าโอบามานั้นถืออิสลามและเป็นมุสลิมหรือไม่
นี่ถือว่า “สกปรก” คือใช้การปฏิเสธมาสร้างความกำกวม และให้ “ความกำกวม” ไปนำพาความสงสัยไม่แน่ใจในตัวคู่แข่ง
เธอจะฉลาดแกมโกงอย่างไร คนอเมริกันที่รู้เท่าทันก็มองออกว่าฮิลลารีเข้าตาจนเลยใช้วิธีสกปรกโสโครกทางการเมือง
โอบามานั้นเลยใช้โอกาสนี้วิพากษ์กลับไปบ้าง แต่ชี้ว่าเขาไม่น้ำเน่า แต่จะนำการเมืองใหม่มาสู่คนอเมริกัน
และเขาโกรธที่นางคลินตันไปพูดว่าเขาอาจมาเป็นรองประธานาธิบดี โดยตัวเธอเป็นประธานาธิบดีเสียเอง
คนใกล้ชิดและผู้ให้คำปรึกษาโอบามาเห็นว่าคณะของโอบามารู้จักสังคมอเมริกัน และคนอเมริกันดีพอ ไม่งั้นในรัฐเมน ซึ่งเป็นคนขาวทั้งหมด เขาคงไม่ชนะนางฮิลลารีแบบขาดลอยแน่
ในฐานะภรรยามิเชล โอบารัค กล่าวที่วิสคอนซินว่า เธอภูมิใจในอเมริกาและความเป็นคนอเมริกัน ทำให้ได้รับเสียงตอบรับดังสนั่นหวั่นไหว ตามมาด้วยเสียงปรบมือดังกึกก้อง
ทางโอบามามีพรสวรรค์ในการจูงใจผู้ฟัง และเธอมีข้อคิดที่ลงรากลึกในการมองสังคมอเมริกัน โดยเธอจะมองเห็นเหมือนผู้หญิงอเมริกันโดยทั่วไปเห็นเหมือนๆ กัน
นี่คือข้อได้เปรียบที่เธอมี
เช่นเธอว่าสังคมอเมริกานั้นค่อนข้างจะเอาเปรียบกันและถูกผลักดันด้วยความหวาดกลัว และกล่าวถึงสังคมอเมริกันที่สนใจแต่ผลประโยชน์ด้านความมั่นคง โดยกล่าวถึงการที่คนชอบเปลี่ยนเรื่องสนทนาถ้าไม่เกี่ยวกับความมั่นคงในชีวิตของตัวเอง
และการปกป้องประเทศจากผู้ก่อการร้ายก็เป็นประเด็นที่เธออ้างถึงและว่าสามีเธอจะดูเรื่องการป้องกันประเทศด้วยตัวเอง
หนังสือนิวยอร์กโปรไฟล์ตีพิมพ์สัปดาห์ที่แล้วอ้างถึงคำพูดจากนางโอบามาที่เคยพูดตั้งแต่ยังเล็กว่า ชีวิตคนอเมริกันได้ถดถอยลงตั้งแต่เธอยังเล็กๆ อยู่
“ดังนั้น ถ้าอยากแกล้งคิดว่าใน 20-30 ปีที่ผ่านมาชีวิตคุณดีอยู่แล้ว ดิฉันก็อยากพบคุณด้วยตัวเอง”
กล่าวโดยสรุปแล้ว นี่คือข้อเท็จจริงว่าสังคมอเมริกันได้เปลี่ยนไปจากการถดถอย และเราคงไม่ต้องหลอกตัวเอง
เธอถึงกล่าวว่า “จิตวิญญาณเราแตกสลายไปแล้ว”
นี่แหละวิสัยทัศน์ที่ทำให้คนอเมริกันตกอยู่ในโลกแห่งการมองทุกอย่างในแง่ลบ
และคนอเมริกันจะมองโลกในแง่บวก และมีศักดิ์ศรีก็ต้องมีผู้นำที่มองโลกใหม่ด้วยการเมืองใหม่ที่เป็นบวกด้วย
เราคงได้ฟังภรรยาของบารัค โอบามา มีคำคมใหม่ๆ อีกแน่
และถ้าเธอเป็นสตรีหมายเลขหนึ่ง และอยู่ในทำเนียบขาว เธอก็จะมีบทบาทไม่เหมือนใคร
นักวิเคราะห์เชื่อว่าเธอจะรับมือกับนักข่าวจากทั่วโลกได้สบายมือ
แน่นอนนักข่าวต่างประเทศอาจต้องการให้เธอขยายความว่า เธอหมายความว่าอย่างไร เรื่องจิตวิญญาณของคนอเมริกันที่แตกสลายนั้นเป็นอย่างไร
และเธอคิดว่าจะซ่อมแซมได้อย่างไร
เราคงอยากรู้ว่าเธอจะตอบอย่างไรเหมือนกันนะครับ