“หมัก” ตะแบง ไม่มีกฎหมายให้นายกฯ แสดงสปิริตลาออก ลั่น!!! ไม่อยากดัดจริตตามใคร ขึงขัง!! ขู่ ขรก. มีย้ายอีก ปากดีท้ากกต.ยุบพลังประชาชน ฟุ้งเซ็นโยกย้ายทหารกลางปีแล้ว ทหารพอใจ ประกาศเป็นกระบอกเสียงให้ต่างชาติเข้าใจพม่า “เหลิม” ทำแสบไม่อนุมัติ “อภิรักษ์” ลากิจ อ้าง คตส.ยังไม่สรุปว่าผิดจริง ขู่หากไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ต่อเท่ากับละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เหน็บซ้ำหากจะแสดงสปิริตควรลาออกดีกว่า เพื่อจะได้เลือกผู้ว่า ฯ กทม.คนใหม่ ด้าน“อภิรักษ์” ยืนยันลากิจ 30 วันเป็นการใช้สิทธิ์อันชอบธรรม
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวระหว่างจัดรายการสนทนาตามประสาสมัครถึงกรณีไม่แสดงสปิริตร่วมกับ 3 รัฐมนตรี หลังถูก คตส.แจ้งข้อกล่าวหา การทุจริตโครงการรถและเรือดับเพลิงของ กทม.เหมือนนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.ว่า ตนไม่ต้องถอยหรือลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะพ้นหน้าที่ผู้ว่าฯกทม.มาแล้ว รวมทั้ง 3 รัฐมนตรีโดยเฉพาะน.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและ รมว.คลัง ก็ไม่จำเป็นต้องลาออกเพราะถือว่าพ้นหน้าที่ รมว.ไอ ซีทีสมัยรัฐบาลที่แล้วเช่นกัน
“ถามว่า หากผมออก จะเกิดอะไรขึ้น หัวหน้ารัฐบาลหยุดพักงาน คณะรัฐมนตรีก็หยุดหมด เปลี่ยนใหม่หมด แล้วจะทำอย่างไรกัน ไม่ปั่นป่วนวุ่นวายกันหมดหรือ เดินหน้ามาอย่างนี้ ประเทศชาติล้มลุกคลุกคลานมา 16 เดือน ตั้งตัวได้กว่าจะเอาชนะเลือกตั้งกันมาได้ สู้กันได้ ทั้งระบบทั้งระเบียบ เสร็จแล้วไป ๆ มา ๆ 2-3 วันผมอาจจะถูก กกต. ฆ่าตายก็ได้ บอกว่า เป็นนอมินี ลงมติเลย ยุบพรรคพลังประชาชนหมด 37 คนผู้บริหาร เลิกกันเลย ก็ให้มันปั่นป่วนกันใหม่”นายสมัครกล่าว
นายสมัคร กล่าวอีกว่า ถูกตามเล่นงานตั้งแต่ปฏิวัติ แจ้งข้อหากับดีเอสไอว่าทุจริต ถ้าเป็นอย่างนั้นจะเอาบัตรประชาชนไปคืน ลาออกจากตำแหน่งชั่วคราว เมื่อตนไปรายงานตัวแล้วทำไมจึงรับรายงานตัว ปล่อยให้ทำจนเป็นหัวหน้ารัฐบาล ปีครึ่งเกือบสองปีชี้ความผิดแค่ 5 คน ถามหน่อย คนที่ 6 ทำไมไม่ชี้ ปัจจุบันคนมีตำแหน่งบริหารใหญ่ 3 ท่านทำไมไม่จัดการ ตนเป็นหัวหน้ารัฐบาลกฎหมายเขียนไว้ชัด อย่าง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ถูกชี้ความผิดตั้งแต่ตำแหน่ง รมว.ไอซีที แต่วันนี้เป็น รมว.คลังแล้ว
**จวกสื่อจ้องทำลาย
นายสมัคร กล่าวว่า ขณะที่ตนทำงานใหญ่โตขนาดนี้ แต่สื่อมวลชนบางฉบับในเมืองไทยมันแปลก อย่างเช่นไทยโพสต์ พาดหัวข่าว อภิรักษ์กดดันหมัก เป็นมาอย่างนี้ 3 วันแล้ว แถมทุก คอลัมนิสต์ ต่างยกย่องพากันสรรเสริญนายอภิรักษ์กันยกใหญ่ มีแต่ไอ้หน้าโง่อย่างพวกตนที่ไปเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านแต่กลับถูกโขกสับ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เหมือนบ่วงผูกคอ จงเกลียดจงชังนายกฯคนเก่า ก็เขียนใส่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จ้องจะยุบพรรคพลังประชาชนให้ได้ ตนไม่ใช่หัวหน้านักการเมืองเลวอย่างที่หนังสือพิมพ์รุมโขกกัน
“พอคนนี้บอกสปิริต นายสมัครไม่มีสปิริต ท่านที่เขียนคอลัมน์ ท่านคิดสิครับ ผมไม่ใช่เป็นคน มาจากที่อื่น ผมเรียนกฎหมายจากม.ธรรมศาสตร์ ก็ได้ปริญญาเหมือนกับท่านทั้งหลายที่ออกความ เห็น ก็รู้กฎหมาย มาเป็นนายกรัฐมนตรีผมรับผิดชอบ ในสิ่งที่ผมทำ ก็กำลังบริหารบ้านเมืองกันดีๆ ถ้าผม ขอประทานโทษครับ ขออภัย ถ้าผมจะดัดจริตไปเต้นตามนี้”
**เดินหน้าย้ายข้าราชการอีก
นายสมัคร กล่าวตอบคำถามว่าจะมีการย้ายข้าราชการอีกหรือไม่ว่า จะตอบตรงนี้ เลยว่าจะ ต้องย้ายอีก คำอธิบายคือที่แล้วมามีการเปลี่ยนแปลง การปกครองบ้านเมือง มีการยึดอำนาจเข้ามาได้ มีการโยกย้ายแต่ไม่มีใครพูดอะไร ถามว่า 16 เดือนที่ผ่านมา ดีไหม ทนทุกข์ทรมานไหม เสียหายไหม เสร็จเรียบร้อยแล้ว มีเลือกตั้งได้รัฐบาลใหม่แล้วตนจะต้องนั่งงอมืองอเท้าอยู่ตรงนั้นหรือ จะให้เป็นอย่างนั้นหรือ
ทั้งนี้ ตนเองรู้ตัวดีว่าต้นต่ำทุน ใครคิดจะล้มล้างรัฐบาลนี้ ให้คิดถึงชาติบ้านเมือง หากรัฐบาลนี้ยังบริหารต่อไปจะต้องมีการโยกย้ายข้าราชการ ต่อไป เพราะเมื่อ 16
เดือนที่แล้วย้ายกันทั้งแผงไม่เห็นมีใครโวยวาย ดังนั้นรัฐบาลนี้จะงอมืองอเท้าไม่ได้ จะต้องโยกย้ายกันให้เข้าที่เข้าทาง
นายสมัคร ยกตัวอย่างการเข้าไปตอบกระทู้ฝ่ายค้าน เรื่องนายกรัฐมนตรีไม่มี คุณธรรมในการย้ายรองผู้บังคับการ จ.บุรีรัมย์ว่า ตามที่พรรคฝ่ายค้านอ้างว่า นายตำรวจคนนี้เก่งกาจที่สามารถจับผู้สมัครเลือกตั้งจนได้ใบแดงจาก กกต. ถ้าเก่งอย่างนั้นตน จะไม่ให้ย้ายไปยัง จ.ศรีสะเกษ ซึ่งมีตำแหน่งว่าง แต่จะให้ย้ายไป จ.เพชรบูรณ์ ที่จับเงินซื้อเสียงถึง 1.3 ล้านบาท แต่ผู้สมัครกลับได้แค่ใบเหลือง
**เผยเซ็นย้ายทหารกลางปีแล้ว
นายสมัคร อ้างว่าได้สั่งให้ระงับการจัดงานโอทอป (OTOP) ในวันที่ 29 มี.ค.นี้ หลังจากมีมีหนังสือเชิญให้ไปเปิดงาน โดยเห็นว่าการใช้เงินในการจ้างออแกไนเซอร์จัดงานถึง 85 ล้านบาทจัดงานเป็นเงินที่มีจำนวนมาก ดังนั้นจึงยังไม่เปิดงาน เพราะจะต้องตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อน และประชาชนทั้งประเทศยังไม่รู้เลยว่าโอทอปอย่างไร
ส่วนเรื่องทหารนั้น ขณะนี้ได้ลงนามแต่งตั้งบัญชีรายชื่อโยกย้าย ข้าราชการทหารกลางปี เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 3 กองทัพพอใจ
นายสมัคร กล่าวด้วยว่า ในการเข้า พบของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง นายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกฯ และนายธีระพล นพรัมภา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่บ้าน เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ว่า น.พ.สุรพงษ์ มาหารือเกี่ยวกับการใช้เงิน 15,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในโครงการเอสเอ็มแอล เพื่อให้เงินกระจายในระดับรากหญ้า ให้ประชาชนทุกหมู่บ้านได้รับงบประมาณอย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ ยืนยันว่าโครงการนี้ไม่ใช่ประชานิยม เงินนี้ไม่ได้ไปแจก ไม่ได้เอาไปกู้ แต่ไปไว้ในโครงการพัฒนาหมู่ บ้าน ประชาชนในหมู่บ้านอยากทำโครงการอะไร ก็ตัดสินใจร่วมกัน โดยคาดว่าจะส่งไปในพื้นที่ 8 หมื่นหมู่บ้านก่อน หมู่บ้านละ 200,000 บาท ส่วนโครงการผันแม่น้ำโขงมายังภาคอีสานว่า จะประชุมเรื่องนี้ในเร็วๆ นี้
สำหรับรถไฟรางคู่จากมักกะสัน-หัวหมากยืนยันจะดำเนินการก่อสร้างในรัฐบาลนี้แน่นอน และขณะนี้ได้ลงมือก่อสร้างจาก จ.ฉะเชิงเทรา โดยเริ่มต้นเข้ามาตั้งแต่ด่านทับช้าง หัวหมาก ขนานคู่กันมาโดยบางพื้นที่จะเป็นการยกระดับ ขณะที่ตัวหัวจักรรถไฟ จะเป็นรถไฟที่สั่งเข้ามาเพื่อเป็นรถโดยสารชานเมือง โดยกำหนดบนราง 1 เมตร และจะมาต่อเชื่อมกับสถานี 1.435 ที่สามารถก่อสร้างได้ทันทีเช่นกัน โดยคาดว่า จะเสร็จภายใน 42 เดือนนี้
**ประกาศเป็นกระบอกเสียงให้พม่า
นายสมัครถึงการเดินทางไปเยือนประเทศพม่าเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ตนได้ทำในสิ่งที่นายกรัฐมนตรีคนไทยคนอื่นไม่เคยทำ ในก็คือสนทนากับผู้นำพม่าทุกคนตั้งแต่ระดับเบอร์ 1 เบอร์ 2 เบอร์ 3 แม้พม่าจะให้เวลาหารือเพียง 1 ชั่วโมง แต่กลับได้รับความไว้วางใจที่จะหารือนานเกือบ 2 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ในการหารือตนรับปากจะเป็นตัวกลางที่จะไปคุยกับคนที่ไม่เข้าใจพม่าให้เข้าใจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนต่าง ประเทศ ซึ่งตนมีสิทธิที่จะนำเรื่องของพม่าไปบอกกับนานาประเทศ เพราะตนได้รับสิทธิจากผู้นำพม่าแล้ว ซึ่งตนขอย้ำว่า ความมั่นคงของ 3 ประเทศเพื่อนบ้านทั้งพม่า ลาวและกัมพูชา เปรียบเสมือนความมั่นคงของเรา ที่ต่อไปนี้ต้องไปเจรจาความ กันการค้าในเรื่องการค้า การลงทุน และการแลกเปลี่ยนทรัพยากร
นายสมัครยังได้ระบุถึงแนวคิดดำเนินการโครงการลงทุนขนาดใหญ่ใน ประเทศพม่าว่า รัฐบาลไทยสนใจที่จะทำโครงการเขื่อนขนาดใหญ่กั้นแม่น้ำระหว่าง ชายแดนร่วมกับพม่า ซึ่งรัฐบาลพม่าก็สนใจที่จะเปิดโอกาสให้คนมาลงทุน โดยจะมีการแลกเปลี่ยนกับพลังงานไฟฟ้าร่วมกัน ขณะที่การเจรจาโครงการลงทุนแหล่งแก๊สธรรมชาติ (แหล่ง M 9) แห่งใหม่ในพม่า ได้มีการเจรจาเพื่อขอให้มีการเซ็นสัญญาตกลงระหว่าง 2 ประเทศ โดยทั้ง 2 ฝ่ายก็ไม่ขัดข้อง ซึ่งพม่าต้องการให้ไทยเข้ามาลงทุนโดยการต่อท่อก๊าซขึ้นไปใช้ โดยให้บริษัทไทยที่เข้าไปลงทุนคิดหักค่าแก๊สหากดำเนินโครงการได้จริง
ส่วนโครงการสะพานเศรษฐกิจ (แลนบริดจ์) เพื่อพัฒนาเส้นทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศนั้น รัฐบาลพม่าได้เสนอ เมืองทวาย ซึ่งอยู่ห่างชายแดนไทย ประมาณ 130 กิโลเมตร ซึ่งหากมีการสำรวจ ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกตรงเมืองทวาย เพื่อทำการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์กับสินค้าอย่างเดียว จะสอดคล้องกับที่รัฐบาลไทยกำลังจะมีโครงการตัดถนนไป จ.กาญจนบุรี เส้นทางออกจากปลายถนนรัตนาธิเบศร์ตรงระหว่างอ.บางใหญ่กับอ.บางบัวทอง ระยะทาง 80 กิโลเมตร ถึง จ.กาญจนบุรี
**ป้อง “ไชยา” สุดลิ่ม
นายสมัคร กล่าวถึงกรณีแพทย์ถูกประชาชนฟ้องว่า กระทรวงสาธารณสุข เตรียมนำร่างพ.ร.บ.เกี่ยวกับ การคุ้มครองแพทย์เฉพาะทาง เข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเร็วๆ นี้ เพราะขณะนี้หมอเขามีความทุกข์ โดยเฉพาะหมอถูกลงโทษทางอาญาจำคุก 3 ปี ซึ่งถือว่ากระทบกระเทือนไปหมด เมื่อเปรียบกับประเทศอื่นๆ ในโลกนี้เขาไม่มีการฟ้องคดีอาญากับหมอ จะมีบ้างคือ ฟ้องคดีแพ่ง เพราะเขาคิดว่าหมอมีจิตใจที่จะมาช่วยรักษาคนไข้ การที่เกิดอะไรไปก็ย่อมเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันมีรายงานมายังตนว่า ผู้ที่สอบเข้าเรียนแพทย์ได้ 100 คน มีผู้สละสิทธิ์ถึง 25 คน
นายสมัครยังเปิดเผยข้อมูลโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศกว่า 720 แห่งว่า ขณะนี้มีวิสัญญีแพทย์เพียงแห่งเดียวอยู่ที่จ.อุดรธานี จากปัญหาที่โรงพยาบาลชุมชนไม่มีใครกล้าผ่าตัด จะจัดส่งผู้ป่วยเข้าไปโรงพยาบาลใหญ่ จากสถิติผู้ป่วย 200 รายต้องส่งไปโรงพยาบาลใหญ่ทั้งหมด เพราะมีหมอเชี่ยวชาญอยู่ที่นั่น
ส่วนการยื่นถอดถอนนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข นายสมัครกล่าวว่า ขณะนี้นายไชยากำลังทนทุกข์ทรมานที่โดนด่าฟรีไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการทำซีแอลยา ที่รัฐบาลที่แล้วทำค้างคากันไว้ เขาเพียงบอกว่าจะขอดูว่าอย่างไรต่อได้ แต่นายไชยากลับโดนสับโดนโขกโดนชี้ เดินหน้าเข้าชื่อจะไล่ออกเสียแล้ว
**ชูศักดิ์หนุนหมักไม่ให้ออก
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายสมัครทำถูกแล้วไม่จำเป็นต้องลาออกตามนายอภิรักษ์ เพราะกรณีข้อกล่าวหานายสมัครไม่เกี่ยวกับการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี เพราะไปตีความตามกฎหมายเป็นเรื่องที่ผ่าน มาแล้ว และเป็นคนละประเด็นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมองในแง่จริยธรรม หากนายสมัครไม่ลาออกอาจมองได้ว่า รัฐบาลชุดนี้มาตรฐานด้านจริยธรรมต่ำ เพราะเป็นคนละประเด็นกับกฎหมาย นายชูศักดิ์ กล่าวว่า หากมองจริยธรรมก็มองได้หลายมุม เพราะจริยธรรมมีหลายมุม ตรงนี้ต้องว่ากันตามกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับการทำหน้าที่นายกฯ ซึ่งรวมถึงกรณี หวยบนดินที่เกี่ยวกับ 3 รมต. ที่ไม่จำเป็นต้องลาออก เพราะทั้ง 3 คนยืนยันว่า ได้ชี้แจงแล้วว่าไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย เป็นเรื่องของมติครม.
**ปชป. โต้ยุทธตู้เย็นหยุดงานไม่เห็นวิจารณ์
นาย องอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการประกาศยุติ การปฏิบัติ หน้าที่ของนาย อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. ว่า กรณีดังกล่าวเป็นการตัดสินใจของนายอภิรักษ์เอง และพรรคก็เห็นด้วยกับการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งกรณีนี้ไม่ใช่การตัดสินใจเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่เป็นการตัดสินใจในพื้นฐานของนักบริหารมืออาชีพอย่างที่นายอภิรักษ์เป็นมาตลอด
แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงพยายามที่จะโจมตี เยาะเย้ยถากถาง ในประเด็นดังกล่าว ทั้งที่การตัดสินใจในลักษณะนี้ควรจะได้รับการยกย่องชื่นชมมากกว่า แต่กลับมีรัฐมนตรีบางคนพยายามจุดประเด็นว่าอาจจะเป็นปัญหาในเรื่องการ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งฝ่ายกฎหมายของพรรคเองก็ยืนยันว่ากรณีนี้ไม่มีปัญหาทางกฎหมายอย่างแน่นอน
นายองอาจ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ประกาศขอยุติการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานสภาฯ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่เคยติเตียน แต่กลับชื่นชมด้วยซ้ำ พรรคจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนในลักษณะเดียวกันด้วย
ผู้สื่อข่าวถามถึง ข้อสังเกตในการยุติการปฏิบัติหน้าที่ของนายอภิรักษ์จะส่งผล ให้รองผู้ว่าฯกทม.ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยนั้น นายองอาจ กล่าวว่า คงไม่ใช่เช่นนั้น ในกรณีนี้เทียบเคียงได้กับกรณีที่ผู้ว่าฯกทม.ไปต่างประเทศ หรือป่วย ก็ต้องมีคนมาทำ หน้าที่ให้ กิจการงานของกทม.ดำเนินการไปได้ ส่วนที่ได้ยื่นเรื่องให้กฤษฎีกาพิจารณานั้นก็เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา เพียงแต่กรณีนี้เป็นเรื่องใหม่ และข้าราชการประจำต้องรอบคอบในการดำเนินการในกรณีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
**ครป.ชมอภิรักษ์มีสปิริต
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการครป. แถลงกรณีการประกาศยุติบทบาท ผู้ว่าฯกทม. ของนายอภิรักษ์ว่า ครป.ขอชื่นชม สปิริตทางการเมืองของนายอภิรักษ์ไม่ว่าจะมีเจตนาอะไรและถูกตีความจากรัฐบาลว่าเป็นการสร้างภาพ ทางการเมืองก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของผู้ว่า กทม. ได้สร้างมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองให้กับสังคมการเมืองไทย ส่วนที่พรรคพลังประชาชนจะแจ้งข้อกล่าวหาว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่นั้น คงเป็นเพียงการแก้เกี้ยวไม่มีผลอะไร เพราะเมื่อเทียบเคียงกับกรณีที่ พตท.ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็สามารถทำได้ และกรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ลาออกจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่ กกต.ยังไม่ส่งสำนวนสอบสวนไปยังศาลฎีกาแผนกคดี เลือกตั้งก็ไม่มีใครกล่าวหาว่านายยงยุทธ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
**”เหลิม”ไม่อนุมัติ “อภิรักษ์” ลากิจ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงกรณีที่นายอภิรักษ์ได้ส่งหนังสือขอลากิจเป็นเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม ว่า ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว แต่เหตุผลในจดหมายลากิจบอกว่า ต้องการไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัว ซึ่งไม่ตรงกับเหตุผลที่นายอภิรักษ์แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ต้องการขอยุติการปฏิบัติหน้าที่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง และตามกฎหมายต้องถือว่า คตส.ยังไม่ได้สรุปว่า นายอภิรักษ์ ผิด หากสรุปว่าผิดจริง นายอภิรักษ์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติอยู่แล้ว จึงไม่อนุมัติให้ลากิจ และการจะลากิจได้ ต้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอนุมัติ ไม่ใช่อยู่ ๆ มาหยุดปฏิบัติหน้าที่ และบอกว่าลากิจ ดังนั้น ขอฝากบอกไปยังนายอภิรักษ์ ว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนการหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่หากต้องการจะแสดงสปิริต ก็ควรจะลาออกไป เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยแทนที่จะเลือกตั้งในเดือนสิงหาคม ก็เร็วขึ้น
“ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อมสปิริตสูง ก็ขอให้ลาออก แต่ถ้าถามผม ผมต้องบอกว่า อยากให้อยู่ ปฏิบัติหน้าที่ไปเถอะ อภิรักษ น้องรัก มาช่วยกันทำงาน เว้นแต่ว่า คตส.มีมติว่าผิด ทุจริตแล้วค่อยยุติการปฏิบัติหน้าที่ตามข้อกฎหมาย จะไปมอบอำนาจให้ใครทำหน้าที่แทนไม่ได้ ต้องไปทั้งชุด”
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า วันนี้ (17 มี.ค.) จะแทงหนังสือกลับไป และให้นายอภิรักษ์ กลับมาทำหน้าที่ตามปกติ ถ้าไม่มาปฏิบัติหน้าที่จะถือว่าเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ขอยืนยันว่า กรณีที่เกิดขึ้นไม่ใช่การกลั่นแกล้ง แต่จะต้องเป็นไปตามกฎหมาย เพราะตนกลัวติดคุกเหมือนกัน เนื่องจากการที่ผู้ว่า ฯ กทม.ไม่มาปฏิบัติหน้าที่ ก็จะมีปัญหา และเสียหายได้ เพราะจะต้องมีการอนุมัติเรื่องต่าง ๆ และตอนนี้ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ไม่เช่นนั้นปลัดกรุงเทพมหานคร คงไม่ทำหนังสือมาสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกา
**“อภิรักษ์” ยืนยันลา30 วันชอบธรรม
นายสุทธิสรรค์ ศิวพิทักษ์ ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า นายอภิรักษ์ ได้รับทราบข่าวเรื่อง ร.ต.อ.เฉลิม จะไม่ให้ลากิจแล้ว แต่นายอภิรักษ์ ยังยืนยันว่า จะใช้สิทธิ์ลากิจ 30 วันตามเดิม เพื่อนำเวลาดังกล่าวไปรวบรวมข้อมูลและเอกสารชี้แจงต่อ คตส.ที่ชี้มูลความผิดเรื่องทุจริตรถ และเรือดับเพลิง โดยไม่ต้องการเบียดเบียนเวลาราชการ ซึ่งการลาพักดังกล่าวถือเป็นเรื่องอันชอบธรรมที่สามารถทำได้ โดยปกติการลาตามระเบียบมี 3 อย่าง คือ ลากิจ ลาป่วย และลาพักร้อน ซึ่งนายอภิรักษ์ เลือกจะลากิจ โดยเขียนใบลาถูกต้องตามระเบียบทุกประการ
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวระหว่างจัดรายการสนทนาตามประสาสมัครถึงกรณีไม่แสดงสปิริตร่วมกับ 3 รัฐมนตรี หลังถูก คตส.แจ้งข้อกล่าวหา การทุจริตโครงการรถและเรือดับเพลิงของ กทม.เหมือนนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.ว่า ตนไม่ต้องถอยหรือลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะพ้นหน้าที่ผู้ว่าฯกทม.มาแล้ว รวมทั้ง 3 รัฐมนตรีโดยเฉพาะน.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและ รมว.คลัง ก็ไม่จำเป็นต้องลาออกเพราะถือว่าพ้นหน้าที่ รมว.ไอ ซีทีสมัยรัฐบาลที่แล้วเช่นกัน
“ถามว่า หากผมออก จะเกิดอะไรขึ้น หัวหน้ารัฐบาลหยุดพักงาน คณะรัฐมนตรีก็หยุดหมด เปลี่ยนใหม่หมด แล้วจะทำอย่างไรกัน ไม่ปั่นป่วนวุ่นวายกันหมดหรือ เดินหน้ามาอย่างนี้ ประเทศชาติล้มลุกคลุกคลานมา 16 เดือน ตั้งตัวได้กว่าจะเอาชนะเลือกตั้งกันมาได้ สู้กันได้ ทั้งระบบทั้งระเบียบ เสร็จแล้วไป ๆ มา ๆ 2-3 วันผมอาจจะถูก กกต. ฆ่าตายก็ได้ บอกว่า เป็นนอมินี ลงมติเลย ยุบพรรคพลังประชาชนหมด 37 คนผู้บริหาร เลิกกันเลย ก็ให้มันปั่นป่วนกันใหม่”นายสมัครกล่าว
นายสมัคร กล่าวอีกว่า ถูกตามเล่นงานตั้งแต่ปฏิวัติ แจ้งข้อหากับดีเอสไอว่าทุจริต ถ้าเป็นอย่างนั้นจะเอาบัตรประชาชนไปคืน ลาออกจากตำแหน่งชั่วคราว เมื่อตนไปรายงานตัวแล้วทำไมจึงรับรายงานตัว ปล่อยให้ทำจนเป็นหัวหน้ารัฐบาล ปีครึ่งเกือบสองปีชี้ความผิดแค่ 5 คน ถามหน่อย คนที่ 6 ทำไมไม่ชี้ ปัจจุบันคนมีตำแหน่งบริหารใหญ่ 3 ท่านทำไมไม่จัดการ ตนเป็นหัวหน้ารัฐบาลกฎหมายเขียนไว้ชัด อย่าง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ถูกชี้ความผิดตั้งแต่ตำแหน่ง รมว.ไอซีที แต่วันนี้เป็น รมว.คลังแล้ว
**จวกสื่อจ้องทำลาย
นายสมัคร กล่าวว่า ขณะที่ตนทำงานใหญ่โตขนาดนี้ แต่สื่อมวลชนบางฉบับในเมืองไทยมันแปลก อย่างเช่นไทยโพสต์ พาดหัวข่าว อภิรักษ์กดดันหมัก เป็นมาอย่างนี้ 3 วันแล้ว แถมทุก คอลัมนิสต์ ต่างยกย่องพากันสรรเสริญนายอภิรักษ์กันยกใหญ่ มีแต่ไอ้หน้าโง่อย่างพวกตนที่ไปเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านแต่กลับถูกโขกสับ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เหมือนบ่วงผูกคอ จงเกลียดจงชังนายกฯคนเก่า ก็เขียนใส่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จ้องจะยุบพรรคพลังประชาชนให้ได้ ตนไม่ใช่หัวหน้านักการเมืองเลวอย่างที่หนังสือพิมพ์รุมโขกกัน
“พอคนนี้บอกสปิริต นายสมัครไม่มีสปิริต ท่านที่เขียนคอลัมน์ ท่านคิดสิครับ ผมไม่ใช่เป็นคน มาจากที่อื่น ผมเรียนกฎหมายจากม.ธรรมศาสตร์ ก็ได้ปริญญาเหมือนกับท่านทั้งหลายที่ออกความ เห็น ก็รู้กฎหมาย มาเป็นนายกรัฐมนตรีผมรับผิดชอบ ในสิ่งที่ผมทำ ก็กำลังบริหารบ้านเมืองกันดีๆ ถ้าผม ขอประทานโทษครับ ขออภัย ถ้าผมจะดัดจริตไปเต้นตามนี้”
**เดินหน้าย้ายข้าราชการอีก
นายสมัคร กล่าวตอบคำถามว่าจะมีการย้ายข้าราชการอีกหรือไม่ว่า จะตอบตรงนี้ เลยว่าจะ ต้องย้ายอีก คำอธิบายคือที่แล้วมามีการเปลี่ยนแปลง การปกครองบ้านเมือง มีการยึดอำนาจเข้ามาได้ มีการโยกย้ายแต่ไม่มีใครพูดอะไร ถามว่า 16 เดือนที่ผ่านมา ดีไหม ทนทุกข์ทรมานไหม เสียหายไหม เสร็จเรียบร้อยแล้ว มีเลือกตั้งได้รัฐบาลใหม่แล้วตนจะต้องนั่งงอมืองอเท้าอยู่ตรงนั้นหรือ จะให้เป็นอย่างนั้นหรือ
ทั้งนี้ ตนเองรู้ตัวดีว่าต้นต่ำทุน ใครคิดจะล้มล้างรัฐบาลนี้ ให้คิดถึงชาติบ้านเมือง หากรัฐบาลนี้ยังบริหารต่อไปจะต้องมีการโยกย้ายข้าราชการ ต่อไป เพราะเมื่อ 16
เดือนที่แล้วย้ายกันทั้งแผงไม่เห็นมีใครโวยวาย ดังนั้นรัฐบาลนี้จะงอมืองอเท้าไม่ได้ จะต้องโยกย้ายกันให้เข้าที่เข้าทาง
นายสมัคร ยกตัวอย่างการเข้าไปตอบกระทู้ฝ่ายค้าน เรื่องนายกรัฐมนตรีไม่มี คุณธรรมในการย้ายรองผู้บังคับการ จ.บุรีรัมย์ว่า ตามที่พรรคฝ่ายค้านอ้างว่า นายตำรวจคนนี้เก่งกาจที่สามารถจับผู้สมัครเลือกตั้งจนได้ใบแดงจาก กกต. ถ้าเก่งอย่างนั้นตน จะไม่ให้ย้ายไปยัง จ.ศรีสะเกษ ซึ่งมีตำแหน่งว่าง แต่จะให้ย้ายไป จ.เพชรบูรณ์ ที่จับเงินซื้อเสียงถึง 1.3 ล้านบาท แต่ผู้สมัครกลับได้แค่ใบเหลือง
**เผยเซ็นย้ายทหารกลางปีแล้ว
นายสมัคร อ้างว่าได้สั่งให้ระงับการจัดงานโอทอป (OTOP) ในวันที่ 29 มี.ค.นี้ หลังจากมีมีหนังสือเชิญให้ไปเปิดงาน โดยเห็นว่าการใช้เงินในการจ้างออแกไนเซอร์จัดงานถึง 85 ล้านบาทจัดงานเป็นเงินที่มีจำนวนมาก ดังนั้นจึงยังไม่เปิดงาน เพราะจะต้องตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อน และประชาชนทั้งประเทศยังไม่รู้เลยว่าโอทอปอย่างไร
ส่วนเรื่องทหารนั้น ขณะนี้ได้ลงนามแต่งตั้งบัญชีรายชื่อโยกย้าย ข้าราชการทหารกลางปี เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 3 กองทัพพอใจ
นายสมัคร กล่าวด้วยว่า ในการเข้า พบของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง นายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกฯ และนายธีระพล นพรัมภา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่บ้าน เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ว่า น.พ.สุรพงษ์ มาหารือเกี่ยวกับการใช้เงิน 15,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในโครงการเอสเอ็มแอล เพื่อให้เงินกระจายในระดับรากหญ้า ให้ประชาชนทุกหมู่บ้านได้รับงบประมาณอย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ ยืนยันว่าโครงการนี้ไม่ใช่ประชานิยม เงินนี้ไม่ได้ไปแจก ไม่ได้เอาไปกู้ แต่ไปไว้ในโครงการพัฒนาหมู่ บ้าน ประชาชนในหมู่บ้านอยากทำโครงการอะไร ก็ตัดสินใจร่วมกัน โดยคาดว่าจะส่งไปในพื้นที่ 8 หมื่นหมู่บ้านก่อน หมู่บ้านละ 200,000 บาท ส่วนโครงการผันแม่น้ำโขงมายังภาคอีสานว่า จะประชุมเรื่องนี้ในเร็วๆ นี้
สำหรับรถไฟรางคู่จากมักกะสัน-หัวหมากยืนยันจะดำเนินการก่อสร้างในรัฐบาลนี้แน่นอน และขณะนี้ได้ลงมือก่อสร้างจาก จ.ฉะเชิงเทรา โดยเริ่มต้นเข้ามาตั้งแต่ด่านทับช้าง หัวหมาก ขนานคู่กันมาโดยบางพื้นที่จะเป็นการยกระดับ ขณะที่ตัวหัวจักรรถไฟ จะเป็นรถไฟที่สั่งเข้ามาเพื่อเป็นรถโดยสารชานเมือง โดยกำหนดบนราง 1 เมตร และจะมาต่อเชื่อมกับสถานี 1.435 ที่สามารถก่อสร้างได้ทันทีเช่นกัน โดยคาดว่า จะเสร็จภายใน 42 เดือนนี้
**ประกาศเป็นกระบอกเสียงให้พม่า
นายสมัครถึงการเดินทางไปเยือนประเทศพม่าเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ตนได้ทำในสิ่งที่นายกรัฐมนตรีคนไทยคนอื่นไม่เคยทำ ในก็คือสนทนากับผู้นำพม่าทุกคนตั้งแต่ระดับเบอร์ 1 เบอร์ 2 เบอร์ 3 แม้พม่าจะให้เวลาหารือเพียง 1 ชั่วโมง แต่กลับได้รับความไว้วางใจที่จะหารือนานเกือบ 2 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ในการหารือตนรับปากจะเป็นตัวกลางที่จะไปคุยกับคนที่ไม่เข้าใจพม่าให้เข้าใจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนต่าง ประเทศ ซึ่งตนมีสิทธิที่จะนำเรื่องของพม่าไปบอกกับนานาประเทศ เพราะตนได้รับสิทธิจากผู้นำพม่าแล้ว ซึ่งตนขอย้ำว่า ความมั่นคงของ 3 ประเทศเพื่อนบ้านทั้งพม่า ลาวและกัมพูชา เปรียบเสมือนความมั่นคงของเรา ที่ต่อไปนี้ต้องไปเจรจาความ กันการค้าในเรื่องการค้า การลงทุน และการแลกเปลี่ยนทรัพยากร
นายสมัครยังได้ระบุถึงแนวคิดดำเนินการโครงการลงทุนขนาดใหญ่ใน ประเทศพม่าว่า รัฐบาลไทยสนใจที่จะทำโครงการเขื่อนขนาดใหญ่กั้นแม่น้ำระหว่าง ชายแดนร่วมกับพม่า ซึ่งรัฐบาลพม่าก็สนใจที่จะเปิดโอกาสให้คนมาลงทุน โดยจะมีการแลกเปลี่ยนกับพลังงานไฟฟ้าร่วมกัน ขณะที่การเจรจาโครงการลงทุนแหล่งแก๊สธรรมชาติ (แหล่ง M 9) แห่งใหม่ในพม่า ได้มีการเจรจาเพื่อขอให้มีการเซ็นสัญญาตกลงระหว่าง 2 ประเทศ โดยทั้ง 2 ฝ่ายก็ไม่ขัดข้อง ซึ่งพม่าต้องการให้ไทยเข้ามาลงทุนโดยการต่อท่อก๊าซขึ้นไปใช้ โดยให้บริษัทไทยที่เข้าไปลงทุนคิดหักค่าแก๊สหากดำเนินโครงการได้จริง
ส่วนโครงการสะพานเศรษฐกิจ (แลนบริดจ์) เพื่อพัฒนาเส้นทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศนั้น รัฐบาลพม่าได้เสนอ เมืองทวาย ซึ่งอยู่ห่างชายแดนไทย ประมาณ 130 กิโลเมตร ซึ่งหากมีการสำรวจ ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกตรงเมืองทวาย เพื่อทำการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์กับสินค้าอย่างเดียว จะสอดคล้องกับที่รัฐบาลไทยกำลังจะมีโครงการตัดถนนไป จ.กาญจนบุรี เส้นทางออกจากปลายถนนรัตนาธิเบศร์ตรงระหว่างอ.บางใหญ่กับอ.บางบัวทอง ระยะทาง 80 กิโลเมตร ถึง จ.กาญจนบุรี
**ป้อง “ไชยา” สุดลิ่ม
นายสมัคร กล่าวถึงกรณีแพทย์ถูกประชาชนฟ้องว่า กระทรวงสาธารณสุข เตรียมนำร่างพ.ร.บ.เกี่ยวกับ การคุ้มครองแพทย์เฉพาะทาง เข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเร็วๆ นี้ เพราะขณะนี้หมอเขามีความทุกข์ โดยเฉพาะหมอถูกลงโทษทางอาญาจำคุก 3 ปี ซึ่งถือว่ากระทบกระเทือนไปหมด เมื่อเปรียบกับประเทศอื่นๆ ในโลกนี้เขาไม่มีการฟ้องคดีอาญากับหมอ จะมีบ้างคือ ฟ้องคดีแพ่ง เพราะเขาคิดว่าหมอมีจิตใจที่จะมาช่วยรักษาคนไข้ การที่เกิดอะไรไปก็ย่อมเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันมีรายงานมายังตนว่า ผู้ที่สอบเข้าเรียนแพทย์ได้ 100 คน มีผู้สละสิทธิ์ถึง 25 คน
นายสมัครยังเปิดเผยข้อมูลโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศกว่า 720 แห่งว่า ขณะนี้มีวิสัญญีแพทย์เพียงแห่งเดียวอยู่ที่จ.อุดรธานี จากปัญหาที่โรงพยาบาลชุมชนไม่มีใครกล้าผ่าตัด จะจัดส่งผู้ป่วยเข้าไปโรงพยาบาลใหญ่ จากสถิติผู้ป่วย 200 รายต้องส่งไปโรงพยาบาลใหญ่ทั้งหมด เพราะมีหมอเชี่ยวชาญอยู่ที่นั่น
ส่วนการยื่นถอดถอนนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข นายสมัครกล่าวว่า ขณะนี้นายไชยากำลังทนทุกข์ทรมานที่โดนด่าฟรีไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการทำซีแอลยา ที่รัฐบาลที่แล้วทำค้างคากันไว้ เขาเพียงบอกว่าจะขอดูว่าอย่างไรต่อได้ แต่นายไชยากลับโดนสับโดนโขกโดนชี้ เดินหน้าเข้าชื่อจะไล่ออกเสียแล้ว
**ชูศักดิ์หนุนหมักไม่ให้ออก
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายสมัครทำถูกแล้วไม่จำเป็นต้องลาออกตามนายอภิรักษ์ เพราะกรณีข้อกล่าวหานายสมัครไม่เกี่ยวกับการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี เพราะไปตีความตามกฎหมายเป็นเรื่องที่ผ่าน มาแล้ว และเป็นคนละประเด็นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมองในแง่จริยธรรม หากนายสมัครไม่ลาออกอาจมองได้ว่า รัฐบาลชุดนี้มาตรฐานด้านจริยธรรมต่ำ เพราะเป็นคนละประเด็นกับกฎหมาย นายชูศักดิ์ กล่าวว่า หากมองจริยธรรมก็มองได้หลายมุม เพราะจริยธรรมมีหลายมุม ตรงนี้ต้องว่ากันตามกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับการทำหน้าที่นายกฯ ซึ่งรวมถึงกรณี หวยบนดินที่เกี่ยวกับ 3 รมต. ที่ไม่จำเป็นต้องลาออก เพราะทั้ง 3 คนยืนยันว่า ได้ชี้แจงแล้วว่าไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย เป็นเรื่องของมติครม.
**ปชป. โต้ยุทธตู้เย็นหยุดงานไม่เห็นวิจารณ์
นาย องอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการประกาศยุติ การปฏิบัติ หน้าที่ของนาย อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. ว่า กรณีดังกล่าวเป็นการตัดสินใจของนายอภิรักษ์เอง และพรรคก็เห็นด้วยกับการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งกรณีนี้ไม่ใช่การตัดสินใจเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่เป็นการตัดสินใจในพื้นฐานของนักบริหารมืออาชีพอย่างที่นายอภิรักษ์เป็นมาตลอด
แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงพยายามที่จะโจมตี เยาะเย้ยถากถาง ในประเด็นดังกล่าว ทั้งที่การตัดสินใจในลักษณะนี้ควรจะได้รับการยกย่องชื่นชมมากกว่า แต่กลับมีรัฐมนตรีบางคนพยายามจุดประเด็นว่าอาจจะเป็นปัญหาในเรื่องการ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งฝ่ายกฎหมายของพรรคเองก็ยืนยันว่ากรณีนี้ไม่มีปัญหาทางกฎหมายอย่างแน่นอน
นายองอาจ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ประกาศขอยุติการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานสภาฯ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่เคยติเตียน แต่กลับชื่นชมด้วยซ้ำ พรรคจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนในลักษณะเดียวกันด้วย
ผู้สื่อข่าวถามถึง ข้อสังเกตในการยุติการปฏิบัติหน้าที่ของนายอภิรักษ์จะส่งผล ให้รองผู้ว่าฯกทม.ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยนั้น นายองอาจ กล่าวว่า คงไม่ใช่เช่นนั้น ในกรณีนี้เทียบเคียงได้กับกรณีที่ผู้ว่าฯกทม.ไปต่างประเทศ หรือป่วย ก็ต้องมีคนมาทำ หน้าที่ให้ กิจการงานของกทม.ดำเนินการไปได้ ส่วนที่ได้ยื่นเรื่องให้กฤษฎีกาพิจารณานั้นก็เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา เพียงแต่กรณีนี้เป็นเรื่องใหม่ และข้าราชการประจำต้องรอบคอบในการดำเนินการในกรณีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
**ครป.ชมอภิรักษ์มีสปิริต
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการครป. แถลงกรณีการประกาศยุติบทบาท ผู้ว่าฯกทม. ของนายอภิรักษ์ว่า ครป.ขอชื่นชม สปิริตทางการเมืองของนายอภิรักษ์ไม่ว่าจะมีเจตนาอะไรและถูกตีความจากรัฐบาลว่าเป็นการสร้างภาพ ทางการเมืองก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของผู้ว่า กทม. ได้สร้างมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองให้กับสังคมการเมืองไทย ส่วนที่พรรคพลังประชาชนจะแจ้งข้อกล่าวหาว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่นั้น คงเป็นเพียงการแก้เกี้ยวไม่มีผลอะไร เพราะเมื่อเทียบเคียงกับกรณีที่ พตท.ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็สามารถทำได้ และกรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ลาออกจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่ กกต.ยังไม่ส่งสำนวนสอบสวนไปยังศาลฎีกาแผนกคดี เลือกตั้งก็ไม่มีใครกล่าวหาว่านายยงยุทธ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
**”เหลิม”ไม่อนุมัติ “อภิรักษ์” ลากิจ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงกรณีที่นายอภิรักษ์ได้ส่งหนังสือขอลากิจเป็นเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม ว่า ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว แต่เหตุผลในจดหมายลากิจบอกว่า ต้องการไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัว ซึ่งไม่ตรงกับเหตุผลที่นายอภิรักษ์แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ต้องการขอยุติการปฏิบัติหน้าที่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง และตามกฎหมายต้องถือว่า คตส.ยังไม่ได้สรุปว่า นายอภิรักษ์ ผิด หากสรุปว่าผิดจริง นายอภิรักษ์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติอยู่แล้ว จึงไม่อนุมัติให้ลากิจ และการจะลากิจได้ ต้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอนุมัติ ไม่ใช่อยู่ ๆ มาหยุดปฏิบัติหน้าที่ และบอกว่าลากิจ ดังนั้น ขอฝากบอกไปยังนายอภิรักษ์ ว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนการหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่หากต้องการจะแสดงสปิริต ก็ควรจะลาออกไป เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยแทนที่จะเลือกตั้งในเดือนสิงหาคม ก็เร็วขึ้น
“ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อมสปิริตสูง ก็ขอให้ลาออก แต่ถ้าถามผม ผมต้องบอกว่า อยากให้อยู่ ปฏิบัติหน้าที่ไปเถอะ อภิรักษ น้องรัก มาช่วยกันทำงาน เว้นแต่ว่า คตส.มีมติว่าผิด ทุจริตแล้วค่อยยุติการปฏิบัติหน้าที่ตามข้อกฎหมาย จะไปมอบอำนาจให้ใครทำหน้าที่แทนไม่ได้ ต้องไปทั้งชุด”
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า วันนี้ (17 มี.ค.) จะแทงหนังสือกลับไป และให้นายอภิรักษ์ กลับมาทำหน้าที่ตามปกติ ถ้าไม่มาปฏิบัติหน้าที่จะถือว่าเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ขอยืนยันว่า กรณีที่เกิดขึ้นไม่ใช่การกลั่นแกล้ง แต่จะต้องเป็นไปตามกฎหมาย เพราะตนกลัวติดคุกเหมือนกัน เนื่องจากการที่ผู้ว่า ฯ กทม.ไม่มาปฏิบัติหน้าที่ ก็จะมีปัญหา และเสียหายได้ เพราะจะต้องมีการอนุมัติเรื่องต่าง ๆ และตอนนี้ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ไม่เช่นนั้นปลัดกรุงเทพมหานคร คงไม่ทำหนังสือมาสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกา
**“อภิรักษ์” ยืนยันลา30 วันชอบธรรม
นายสุทธิสรรค์ ศิวพิทักษ์ ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า นายอภิรักษ์ ได้รับทราบข่าวเรื่อง ร.ต.อ.เฉลิม จะไม่ให้ลากิจแล้ว แต่นายอภิรักษ์ ยังยืนยันว่า จะใช้สิทธิ์ลากิจ 30 วันตามเดิม เพื่อนำเวลาดังกล่าวไปรวบรวมข้อมูลและเอกสารชี้แจงต่อ คตส.ที่ชี้มูลความผิดเรื่องทุจริตรถ และเรือดับเพลิง โดยไม่ต้องการเบียดเบียนเวลาราชการ ซึ่งการลาพักดังกล่าวถือเป็นเรื่องอันชอบธรรมที่สามารถทำได้ โดยปกติการลาตามระเบียบมี 3 อย่าง คือ ลากิจ ลาป่วย และลาพักร้อน ซึ่งนายอภิรักษ์ เลือกจะลากิจ โดยเขียนใบลาถูกต้องตามระเบียบทุกประการ