xs
xsm
sm
md
lg

ปัจจัยลบรุมเร้าทำ “พลังแม้ว” ว้าวุ่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จะว่าไปแล้วแม้ว่าโดยความเป็นจริงแล้วสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นส่วนสำคัญมาจากปัจจัยภายนอกที่ไม่อาจควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังเข้าสู่ในยุคถดถอยตามวงรอบของมันที่มีขึ้นก็ย่อมมีลง ปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นไม่หยุดหย่อน วิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพ(ซับไพรม์) ในประเทศพี่เบิ้มอย่างสหรัฐฯกำลังลุกลามและกำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลก

ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยของเราที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของมหาอำนาจประเทศนี้เป็นหลัก ทำให้ช่วยไม่ได้ที่ได้รับผลพวงกระแทกเข้าไปเต็มๆ

แต่ที่สำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยคือ การละเลยแนวทาง ความเป็นตัวของตัวเองในสิ่งที่เหมาะสมกับชีวิตคนไทยคือ แนวทางพระราชดำริ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” แต่รัฐบาลชุดนี้กลับไปมุ่งเน้นแนวทาง “ประชานิยม”

โหมกระพือ “ภาวะการบริโภค” ส่งเสริมการใช้จ่ายกันทุกระดับ เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งภาวะดังกล่าวเชื่อว่าหากไม่มีมาตรการควบคุม หรือไม่มีมาตรการตรวจสอบที่ “โปร่งใส” ที่ดีพออาจส่งผลให้เปิดปัญหาบานปลายจนไม่อาจเยียวยาก็เป็นได้

เพราะมีเสียงเตือนมาดังๆจากบรรดา “กูรู” หลายคนแล้ว ล้วนออกมาในโทนเดียวกันคือ “ถ้าพังเที่ยวนี้จะพังกันตั้งแต่รากหญ้าไปถึงยอด” กันเลยทีเดียว

อาจเลวร้ายยิ่งกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 เสียอีก อย่าทำเป็นเล่นไป

นั่นเป็นเรื่องเศรษฐกิจทั้งภายในภายนอก มีทั้งควบคุมได้ หรือควบคุมไม่ได้ และรวมทั้งควบคุมได้แต่ไม่ยอมควบคุมก็มี

แต่ประเด็นสำคัญต่อไปนี้เป็นปัจจัยภายในล้วนๆ แถมยังสามารถบรรเทาวิกฤติที่กำลังก่อตัวขึ้นได้ไม่ยาก หากคิดจะตัดไฟแต่ต้นลม นั่นคือปัญหาการเมืองภายในประเทศ ที่เริ่มกลายเป็นปัญหาบั่นทอนเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของรัฐบาลชุดนี้เร็วกว่ากำหนด เกินความคาดหมาย

ถ้าโฟกัสให้เห็นภาพชัดเจนจะเห็นได้ว่าปฏิกิริยาเร่งให้เกิดภาพลบของรัฐบาล “นอมินี” ชุดนี้นั่นแหละได้เริ่มขึ้นหลังจากได้รับชัยชนะเหนือเผด็จการคมช. อย่างเหนือความคาดหมาย

สามารถกลับเข้ามายึดอำนาจรัฐอีกครั้ง หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคมปีที่แล้ว จากจุดนี้นำไปสู่ความฮึกเหิมอีกครั้ง เนื่องจากมั่นใจยังกุมเสียงสนับสนุนจากชาวบ้าน โดยเฉพาะระดับรากหญ้าทั้งในเมืองและชนบทได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

ประกอบกับด้วยสถานการณ์อันบังคับ อาจจะด้วยสาเหตุจากเรื่องคดีทุจริตหลายคดีของ “นายใหญ่” ที่กำลังเร่งรัดเข้ามา กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มทุกขณะ

คดีทุจริตที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก คดีที่อยู่ในมือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ที่กำลังทยอยสรุปจนต้องมีการโยกย้าย นายสุนัย มโนมัยอุดม พ้นจากอธิบดีคนดูต้นทางคดีก่อนเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล

ส่อเจตนา “ตัดตอน” ชัดเจน

หรือกรณีการโยกย้ายข้าราชการคนสำคัญอื่นๆ ไล่เรียงตั้งแต่หัวแถว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส แล้วมีการเตรียมตั้งแท่นปูพรมรอ “พี่เมีย” เดินกลับเข้ามาใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ย้ายผู้บังคับการจังหวัดเชียงราย เท่านั้นยังไม่พอก่อนหน้านี้ยังเด้งผู้กำกับสภอ.แม่จัน จ.เชียงราย บ้านของ “ยุทธ ตู้เย็น” ตัวละครเอกที่ถูกกกต.ใช้เสียงข้างมากชูใบแดงไล่ออกจากสนามโทษฐานโกงการเลือกตั้ง

โยกรองผู้กำกับการตำรวจภูธรบุรีรัมย์คนคุมคดีทุจริตเลือกตั้ง ทุจริตคดีออกโฉนดที่ดินรุกที่รถไฟ กรมธนารักษ์ ทุกคดีล้วนเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับอนาคตตระกูล “ยี้ห้อย” นักการเมืองใหญ่ในพื้นที่ทั้งสิ้น

หรือแม้แต่ตำแหน่งที่ไม่เกี่ยวกับชะตากรรมบรรดา “ขาใหญ่” ทั้งหลายก็มีการโยกย้ายแบบเอาคืน แถมยังหวังตีกระทบชิ่งข่มขู่ให้ข้าราการเกิดความเกรงกลัว ไม่กล้าหือรือ เช่น กรณีเชือดอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เลขาธิการ อย.ฯลฯ

เป็นรายการสำแดงศักยภาพโชว์บทบาทเหี้ยมให้เข้าตา “นายใหญ่” ช่วงเหยียบแผ่นดิน

นอกจากนี้หากว่าไปแล้วการแสดงความเหิมเกริมส่อไปทางลุแก่อำนาจ ยังไม่นับกรณีการแต่งตั้งรัฐมนตรี-เลขาฯ ยี้ๆทั้งหลายเข้ามาเต็มพรึบ

ไม่เกรงใจหน้าไหนทั้งสิ้น

ด้วยสภาพความเป็นจริงดังกล่าวที่มั่นใจเต็มร้อยว่า เมื่อได้ชัยชนะจากการเลือกตั้ง คิดว่าเมื่อมีอำนาจทุกอย่างอยู่ในมือ ยังใช้วิธีการเก่าๆในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย สร้างอาณาจักรแห่งความกลัว

แต่ในเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน สังคมรู้ทันมากขึ้น แทนที่จะสำเหนียก หรือสรุปบทเรียนเก่าๆ กลับใช้วิธีประเภท “เดินหน้าฆ่ามัน” มันก็มีแต่พังกับพังเท่านั้น เพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

เพราะถ้าสังเกตให้ดีบทบาทของแต่ละคน ไล่เรียงกันไปตั้งแต่ ตัวนายกฯ “นอมินี” สมัคร สุนทรเวช ไม่ได้ลดราวาศอกกับฝ่ายตรงข้าม ใช้วาจาท่าทีตอบโต้อย่างแข็งกร้าวทุกเม็ด

หรือตัวละครเอกตัวใหม่อย่าง เฉลิม อยู่บำรุง ที่ได้ดิบดีเป็น มท.1 ก็ทำหน้าที่รับอาสาแสดงบทบาทอย่างแข็งกร้าว เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาได้อย่างดีอีกทางหนึ่ง ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากบทบาทในอดีตสมัยยุคปฏิวัติเมษาฮาวาย และสมัย รสช. จนต้องหนีหัวซุกหัวซุน ลี้ภัยไปต่างแดน ยังแสดงบทบาททางการเมืองประเภทไดโนเสาร์ ไม่เคยเปลี่ยน

หรือระดับลิ่วล้อปลายแถวหลายคนต่างก็ออกมาปั่นราคาหน้าจอกันรายวัน

ความเคลื่อนไหวทั้งหลายทั้งปวงที่เห็นมาดังกล่าว ล้วนกลายเป็นตัวเร่ง เป็นปัจจัยลบทำให้รัฐบาลหุ่นเชิดชุดนี้พังเร็วขึ้น เนื่องจากถ้าพิจารณาอย่างตรงไปตรงมาแล้วองคพยพล้วนก่อเกิดมาจากภาพลักษณ์ที่เป็น “ยี้”

แต่แทนที่จะใช้โอกาสในช่วงที่อยู่ในตำแหน่งก้มหน้าก้มตาทำงานสร้างผลงาน เพื่อลบข้อกล่าวหา หรือคำปรามาส ตรงกันข้ามกลับเสียเวลาอยู่กับการใช้คารมตอบโต้ ข่มขู่คุกคามฝ่ายที่เห็นแตกต่างอย่างดุเดือดไม่เว้นแต่ละวัน

ใช้อำนาจรัฐทุ่มเทแก้ปัญหาให้กับคนๆเดียวหรือครอบครัวเดียวเท่านั้น

ขณะเดียวกันละเลยปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ ที่กำลังคุกคามประชาชนจากปัญหาวิกฤตพลังงานที่กำลังรุมเร้า มาตรการการแก้ปัญหาที่ออกมาในช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบีบลดราคาเขียงหมู

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลัง หรือแม้แต่การเร่งโหมโรงเดินหน้าก่อสร้างรถไฟฟ้าหากพิจารณาให้ละเอียดก็จะพบว่า เป็นแค่การหยิบยกเอาเส้นทางที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำเสร็จเอาไว้แล้วมาปัดฝุ่นต่อเท่านั้น

แถมบางเส้นทางยังพยายามฮุบเอาโครงการของกรุงเทพมหานครมาดำเนินการเองเสียอีก โดยเฉพาะในโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายแทบทั้งหมด

ทุกอย่างแทบไม่มีอะไรใหม่ ไม่สามารถเรียกเสียงฮือฮา ซี้ดซ้าด จากนักลงทุนได้มากเท่าที่ควร มันก็เริ่มเครียด

ล่าสุดยังมาเจอเรื่อง “สิปิริตเปรียบเทียบ” จากกรณี “หล่อเล็ก” อภิรักษ์ โกษะโยธิน ชิงประกาศยุติบทบาทในเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. เป็นการชั่วคราว ทันที่ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ชี้มูลความผิดในคดีทุจริตรถและเรือดับเพลิงเสียอีก

มันก็ยิ่งสร้างแรงกดดันตั้งแต่ หัวหน้านอมินี ยัน 3 รัฐมนตรีลูกน้อง เพราะเพิ่งแก้ตัวเสร็จกันไปไม่ทันข้ามวัน อ้างเหตุผลสารพัด ศาลยังไม่รับฟ้อง แต่พอมาเจอดอกนี้เข้าไปก็แทบกระอักเลือด ยิงแก้ตัวก็ยิ่งเข้าเนื้อ

ดังนั้นถ้าให้สรุปนาทีนี้เมื่อปัจจัยลบต่างๆดังกล่าวรุมเร้าเข้ามาไม่หยุดหย่อน มันก็ยิ่งทำให้เกิดความเครียด เมื่อเครียด มันก็ยิ่งว้า

วุ่น และนำไปสู่การนับถอยหลังเร็วก่อนกำหนด !!
กำลังโหลดความคิดเห็น