วันนี้คงได้เห็นโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายใต้การนำของ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทยกันไปแล้ว แม้ว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา จะมีรายชื่อคนนั้นเข้า คนนี้ออกดูสับสนวุ่นวายจนน่าเวียนหัวไปบ้าง
ทั้งที่โดยความเป็นจริงแล้วนั่นเป็นเพียงแค่การเล่นละครการเมืองฉากหนึ่งเพื่อสร้างภาพให้สาธารณะได้เห็นว่าการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี ต้องมีการพิจารณาอย่างหลากหลาย มีการต่อรองให้ดูมีราคา
เพราะถ้าโฟกัสกันเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงหลักทั้งหมด อาทิ กลาโหม คลัง ยุติธรรม มหาดไทย พาณิชย์ คมนาคม ศึกษาธิการ สาธารณสุข และ ต่างประเทศ ล้วนแล้วตกอยู่ในกำมือของบรรดาคนใกล้ชิด ที่เรียกว่า “เด็กในบ้าน” ระดับเกรดเอทั้งนั้น
อาจจะมียกเว้นบางกระทรวง เช่น มท.1 หากโผออกที่ “เหลิม ดาวเทียม” เพราะนี่เป็นกรณีพิเศษ แม้ว่าจะไม่ใช่ลักษณะคนเคยเข้านอกออกใน ในทางตรงกันข้ามในอดีตหากมองย้อนไปคนที่เป็นลูกน้องในวันนี้ เคยเป็นลูกพี่มาก่อนตั้งแต่สมัยยุคอนุมัติสัมปทานธุรกิจเคเบิ้ลทีวี วิทยุติดตามตัวมาก่อนในสมัยที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
ถือว่ากรณีนี้อาจเข้าข่ายเป็นลักษณะเป็นพันธะสัญญาสำหรับภารกิจพิเศษเฉพาะกิจ ซึ่งต้องมองกันไปอีกระยะหนึ่ง
แต่ที่เหลือนอกนั้นทุกคนที่เห็นหน้าเห็นตาอยู่ในเวลานี้ล้วนแล้วแต่เป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” ของจริง
ประเภท “นายใหญ่-นายหญิง” ไว้ใจได้ หลังจากผ่านการทดสอบกันมาอย่างเข้มข้น หมดข้อกังขาสำหรับภารกิจสำคัญยิ่งยวด
กุมหัวใจสำคัญ ชี้อนาคตของ “คนหน้าเหลี่ยม” ในฮ่องกง ว่าจะกลับมาทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เสียไปกลับคืนมาได้คุ้มค่าหรือไม่
อยู่ที่คนเหล่านี้เท่านั้น !!
นาทีนี้จึงต้องโฟกัสไปเฉพาะ “นอมินี” กำลังหลักบางคนระดับหัวกะทิที่คัดสรรกันมา แม้ว่าสังคมได้รับรู้กันไปแล้ว แต่ก็อยากให้แปะชื่อเอาไว้ข้างฝาก่อน
เริ่มตั้งแต่ “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ว่ากันว่า นี่แหละคือ “นายกฯซ้อนนายก” ของจริง ระดับเซียนการเมืองมั่นใจว่า คำสั่งชักใยประเภท “ชี้เป็นชี้ตาย” น่าจะมา “พัก” ที่คนๆนี้ ก่อนจะส่งผ่านต่อไปยังนายกฯนอมินี เป็นลำดับถัดไป
คนถัดมาไม่ต้องเดาก็รู้กันแล้วคือ “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เด็กในบ้านที่ว่านอนสอนง่าย ก็ย่อมถูกผลักดันเข้ากุมถุงเงินชนิดที่ “หักดิบ” นักการเงินการคลังทั้งวงการ
รายการแบบนี้ถ้าไม่ใช้ท้าทาย ก็ย่อมหมายถึงความมั่นใจเต็มร้อย โดยเฉพาะจาก “พี่เลี้ยงหน้าเหลี่ยม” ที่คอยสั่งการอยู่หลังม่านนั่นแหละ
สำหรับเก้าอี้สำคัญอีกตัวหนึ่งในนาทีนี้ที่ไม่อาจกระพริบตาไปได้เลย นั่นคือ รัฐมนตรีกลาโหม ที่ต้องส่องกล้องกันไปพร้อมกันกับเก้าอี้นายกฯ
เพราะโผล่าสุดยังออกมาให้ “หมัก” นั่งควบรัฐมนตรีอันสำคัญ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า นอกจากมั่นใจว่าสามารถกุมสถานการณ์ใหญ่ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ยังเป็นการสื่อสัญญาณท้าทายไปถึง “อีแอบ” บางคนให้เจ็บใจ จนอาจถึงขั้น “กระอักเลือด” กันเลยทีเดียว
แม้จะรู้ว่าเกมนี้มันเสี่ยง และเดิมพันสูง แต่เมื่อประเมินสถานการณ์ใน “รั้วสีเขียว” แล้วมันเคลียร์ถึง 80-90 เปอร์เซ็นต์แล้ว ทางโล่ง
ไม่มีใครกล้าหือ !!
อย่างมากก็แค่แสดงอาการฮึดฮัด ไม่มีอะไรให้กังวล
ขณะเดียวกันหากพิจารณาอีกมุมหนึ่งในลักษณะจุดเด่นของตัวบุคคล เริ่มจาก สมัคร สุนทรเวช ที่หากย้อนดูแบ็กกราวด์แล้ว ถือว่าแนบแน่นกับคนในกองทัพมานานหลายสิบปี
ถ้ายังจำกันได้เขตเลือกตั้งของเขาในอดีตคือ เขตดุสิต เป็นเขต “ทหารห้ามเข้า” แต่คนๆ นี้กลับเดินผ่านได้ฉลุย เลือกตั้งทุกครั้งคะแนนมาถล่มทลาย ใครที่ว่าแน่ต่างต้องพ่ายแพ้เสียผู้เสียคน ไม่เว้นกระทั่ง “หม่อมราชวงศ์คึกฤทธ์ ปราโมช” ปรมาจารย์ทางการเมืองในอดีต
หรือแม้แต่ “ไข่มุก (แม้ว) ดำ” วีระ มุกสิกพงศ์ ก็เถอะ ร่วงไม่เป็นท่ามาแล้วทั้งนั้น
ประกอบกับเครือข่ายในทุกกองทัพผ่านทางนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 นับได้ว่าไม่ธรรมดา
แม้ว่าตลอด 16 เดือนที่ผ่านมา แทบทุกคนต่างกบดานเงียบ ไม่ยอมเคลื่อนไหวโฉ่งฉ่างให้ตกเป็นเป้าสายตาของสังคม แต่รับรองว่านาทีนี้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน คนเหล่านี้ก็พร้อมจะกลับมา อีกรอบ ไม่เชื่อให้รอจับตาดูการโยกย้ายกลางปี ในเดือนเมษายน
ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นรายการโยกย้ายใหญ่ ล้างบางก็เป็นได้ !!
ถามว่าเมื่อท้าทายกันแบบนี้แล้วจะไม่กลัวรายการ “เอ็กเซอร์ไซส์” ซ้ำรอย 19 กันยา 49 ดอกหรือ
ก็ขอตอบแบบไม่เกรงใจ ชี้ให้เห็นกันชัดๆว่าในอนาคตจะมีหรือไม่ ไม่รู้
แต่รับรองว่าในอนาคตอันใกล้ฟันธงได้เลยว่า “ไม่มี” และไม่มีใครกล้า
เพราะนอกเหนือจากการที่ “บังสนธิ” ทำรัฐประหารสร้างผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แถมในตอนจบยังต่อสายเกี้ยเซียะกันไปแล้ว
ขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบผลงานอัน “โหล่ยโท่ย” ในยุครัฐบาล “ขิงแก่” จนเกิดแนวร่วมมุมกลับทำให้พรรค “พลังแม้ว” ชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย ยิ่งไปกันใหญ่
สร้างกระแสความนิยมในหมู่ประชาชนกันจนอึ้งกันไปทั่ว ทำให้หลายคนต้องกลืนน้ำลายกลับลำกันชุลมุน หรือใครที่ไม่ลู่ตามลม ก็ต้องนิ่งเงียบ ไม่กล้าขวางทาง
ที่โฟกัสไล่เรียงกันมาตั้งแต่ต้น เพื่อต้องการชี้ให้เห็นภาพ “รัฐบาลบาลนอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” ที่มีสายสัมพันธ์วงใน-สายตรง เน้นเฉพาะเก้าอี้สำคัญ หลักๆ เนื้อๆ เท่านั้น ส่วนที่เหลือนอกนั้นถือว่าเป็นไม้ประดับ แค่สร้างสีสันประเภทก่อความรำคาญเสียมากกว่า
ไม่มีความหมาย ให้น่าสนใจติดตาม
อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาในภาพรวมของคณะรัฐมนตรีชุด “หมัก 1” เท่าที่ปรากฎทางสื่อต่างๆแล้ว ต่างสรุปออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ได้แปลกใจมากนัก
อีกทั้งยังไม่ให้ราคาแม้กระทั่งตัวนายกรัฐมนตรี สังคมรับรู้กันไปตั้งนานแล้วว่า เป็นแค่หุ่นเชิด เข้ามาทำภารกิจสำคัญเฉพาะกิจ 2-3 อย่าง เพื่อตอบแทน “คนบางคน” ที่ผลักดันให้ตนเองได้ถึงฝั่งฝันในยามแก่เฒ่าชราเท่านั้น
เสียงปรามาสดังกระหึ่ม !!
นาทีนี้ก็ต้องวัดใจคนอย่าง สมัคร สุนทรเวช ว่าจะเดิมพันชีวิตทางการเมืองในบั้นปลายไว้อย่างไร
จะละทิ้งศักดิ์ศรี ยอมเป็นหุ่นเชิด ให้ “มือที่มองเห็น” คอยชักใย จูงจมูกอยู่ตลอดเวลาจนหมอบราบคาบแก้ว
หรือจะเผยตัวตนที่แท้จริงด้วยการลุกขึ้นมากอบกู้ศรัทธา ใช้ความรู้ความสามารถและ ประสบการณ์ในวงการเมืองทั้งชีวิต ที่ผ่านการดำรงตำแหน่งทางการเมืองสำคัญมานับไม่ถ้วน ฝากลายไว้ชื่อ ในตำแหน่งผู้นำสูงสุดอันทรงเกียรติให้คนรุ่นหลังได้จดจำในทางทีดีเสียที
ที่ผ่านมาอาจต้องสงบปากสงบคำก่อนถึงเป้าหมายสำคัญ
ดังนั้นมาวันนี้เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือและคำตอบอยู่ในตัวเองอยู่แล้วว่า “หมัก” จะเลือกทางไหน !!
ทั้งที่โดยความเป็นจริงแล้วนั่นเป็นเพียงแค่การเล่นละครการเมืองฉากหนึ่งเพื่อสร้างภาพให้สาธารณะได้เห็นว่าการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี ต้องมีการพิจารณาอย่างหลากหลาย มีการต่อรองให้ดูมีราคา
เพราะถ้าโฟกัสกันเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงหลักทั้งหมด อาทิ กลาโหม คลัง ยุติธรรม มหาดไทย พาณิชย์ คมนาคม ศึกษาธิการ สาธารณสุข และ ต่างประเทศ ล้วนแล้วตกอยู่ในกำมือของบรรดาคนใกล้ชิด ที่เรียกว่า “เด็กในบ้าน” ระดับเกรดเอทั้งนั้น
อาจจะมียกเว้นบางกระทรวง เช่น มท.1 หากโผออกที่ “เหลิม ดาวเทียม” เพราะนี่เป็นกรณีพิเศษ แม้ว่าจะไม่ใช่ลักษณะคนเคยเข้านอกออกใน ในทางตรงกันข้ามในอดีตหากมองย้อนไปคนที่เป็นลูกน้องในวันนี้ เคยเป็นลูกพี่มาก่อนตั้งแต่สมัยยุคอนุมัติสัมปทานธุรกิจเคเบิ้ลทีวี วิทยุติดตามตัวมาก่อนในสมัยที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
ถือว่ากรณีนี้อาจเข้าข่ายเป็นลักษณะเป็นพันธะสัญญาสำหรับภารกิจพิเศษเฉพาะกิจ ซึ่งต้องมองกันไปอีกระยะหนึ่ง
แต่ที่เหลือนอกนั้นทุกคนที่เห็นหน้าเห็นตาอยู่ในเวลานี้ล้วนแล้วแต่เป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” ของจริง
ประเภท “นายใหญ่-นายหญิง” ไว้ใจได้ หลังจากผ่านการทดสอบกันมาอย่างเข้มข้น หมดข้อกังขาสำหรับภารกิจสำคัญยิ่งยวด
กุมหัวใจสำคัญ ชี้อนาคตของ “คนหน้าเหลี่ยม” ในฮ่องกง ว่าจะกลับมาทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เสียไปกลับคืนมาได้คุ้มค่าหรือไม่
อยู่ที่คนเหล่านี้เท่านั้น !!
นาทีนี้จึงต้องโฟกัสไปเฉพาะ “นอมินี” กำลังหลักบางคนระดับหัวกะทิที่คัดสรรกันมา แม้ว่าสังคมได้รับรู้กันไปแล้ว แต่ก็อยากให้แปะชื่อเอาไว้ข้างฝาก่อน
เริ่มตั้งแต่ “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ว่ากันว่า นี่แหละคือ “นายกฯซ้อนนายก” ของจริง ระดับเซียนการเมืองมั่นใจว่า คำสั่งชักใยประเภท “ชี้เป็นชี้ตาย” น่าจะมา “พัก” ที่คนๆนี้ ก่อนจะส่งผ่านต่อไปยังนายกฯนอมินี เป็นลำดับถัดไป
คนถัดมาไม่ต้องเดาก็รู้กันแล้วคือ “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เด็กในบ้านที่ว่านอนสอนง่าย ก็ย่อมถูกผลักดันเข้ากุมถุงเงินชนิดที่ “หักดิบ” นักการเงินการคลังทั้งวงการ
รายการแบบนี้ถ้าไม่ใช้ท้าทาย ก็ย่อมหมายถึงความมั่นใจเต็มร้อย โดยเฉพาะจาก “พี่เลี้ยงหน้าเหลี่ยม” ที่คอยสั่งการอยู่หลังม่านนั่นแหละ
สำหรับเก้าอี้สำคัญอีกตัวหนึ่งในนาทีนี้ที่ไม่อาจกระพริบตาไปได้เลย นั่นคือ รัฐมนตรีกลาโหม ที่ต้องส่องกล้องกันไปพร้อมกันกับเก้าอี้นายกฯ
เพราะโผล่าสุดยังออกมาให้ “หมัก” นั่งควบรัฐมนตรีอันสำคัญ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า นอกจากมั่นใจว่าสามารถกุมสถานการณ์ใหญ่ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ยังเป็นการสื่อสัญญาณท้าทายไปถึง “อีแอบ” บางคนให้เจ็บใจ จนอาจถึงขั้น “กระอักเลือด” กันเลยทีเดียว
แม้จะรู้ว่าเกมนี้มันเสี่ยง และเดิมพันสูง แต่เมื่อประเมินสถานการณ์ใน “รั้วสีเขียว” แล้วมันเคลียร์ถึง 80-90 เปอร์เซ็นต์แล้ว ทางโล่ง
ไม่มีใครกล้าหือ !!
อย่างมากก็แค่แสดงอาการฮึดฮัด ไม่มีอะไรให้กังวล
ขณะเดียวกันหากพิจารณาอีกมุมหนึ่งในลักษณะจุดเด่นของตัวบุคคล เริ่มจาก สมัคร สุนทรเวช ที่หากย้อนดูแบ็กกราวด์แล้ว ถือว่าแนบแน่นกับคนในกองทัพมานานหลายสิบปี
ถ้ายังจำกันได้เขตเลือกตั้งของเขาในอดีตคือ เขตดุสิต เป็นเขต “ทหารห้ามเข้า” แต่คนๆ นี้กลับเดินผ่านได้ฉลุย เลือกตั้งทุกครั้งคะแนนมาถล่มทลาย ใครที่ว่าแน่ต่างต้องพ่ายแพ้เสียผู้เสียคน ไม่เว้นกระทั่ง “หม่อมราชวงศ์คึกฤทธ์ ปราโมช” ปรมาจารย์ทางการเมืองในอดีต
หรือแม้แต่ “ไข่มุก (แม้ว) ดำ” วีระ มุกสิกพงศ์ ก็เถอะ ร่วงไม่เป็นท่ามาแล้วทั้งนั้น
ประกอบกับเครือข่ายในทุกกองทัพผ่านทางนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 นับได้ว่าไม่ธรรมดา
แม้ว่าตลอด 16 เดือนที่ผ่านมา แทบทุกคนต่างกบดานเงียบ ไม่ยอมเคลื่อนไหวโฉ่งฉ่างให้ตกเป็นเป้าสายตาของสังคม แต่รับรองว่านาทีนี้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน คนเหล่านี้ก็พร้อมจะกลับมา อีกรอบ ไม่เชื่อให้รอจับตาดูการโยกย้ายกลางปี ในเดือนเมษายน
ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นรายการโยกย้ายใหญ่ ล้างบางก็เป็นได้ !!
ถามว่าเมื่อท้าทายกันแบบนี้แล้วจะไม่กลัวรายการ “เอ็กเซอร์ไซส์” ซ้ำรอย 19 กันยา 49 ดอกหรือ
ก็ขอตอบแบบไม่เกรงใจ ชี้ให้เห็นกันชัดๆว่าในอนาคตจะมีหรือไม่ ไม่รู้
แต่รับรองว่าในอนาคตอันใกล้ฟันธงได้เลยว่า “ไม่มี” และไม่มีใครกล้า
เพราะนอกเหนือจากการที่ “บังสนธิ” ทำรัฐประหารสร้างผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แถมในตอนจบยังต่อสายเกี้ยเซียะกันไปแล้ว
ขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบผลงานอัน “โหล่ยโท่ย” ในยุครัฐบาล “ขิงแก่” จนเกิดแนวร่วมมุมกลับทำให้พรรค “พลังแม้ว” ชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย ยิ่งไปกันใหญ่
สร้างกระแสความนิยมในหมู่ประชาชนกันจนอึ้งกันไปทั่ว ทำให้หลายคนต้องกลืนน้ำลายกลับลำกันชุลมุน หรือใครที่ไม่ลู่ตามลม ก็ต้องนิ่งเงียบ ไม่กล้าขวางทาง
ที่โฟกัสไล่เรียงกันมาตั้งแต่ต้น เพื่อต้องการชี้ให้เห็นภาพ “รัฐบาลบาลนอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” ที่มีสายสัมพันธ์วงใน-สายตรง เน้นเฉพาะเก้าอี้สำคัญ หลักๆ เนื้อๆ เท่านั้น ส่วนที่เหลือนอกนั้นถือว่าเป็นไม้ประดับ แค่สร้างสีสันประเภทก่อความรำคาญเสียมากกว่า
ไม่มีความหมาย ให้น่าสนใจติดตาม
อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาในภาพรวมของคณะรัฐมนตรีชุด “หมัก 1” เท่าที่ปรากฎทางสื่อต่างๆแล้ว ต่างสรุปออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ได้แปลกใจมากนัก
อีกทั้งยังไม่ให้ราคาแม้กระทั่งตัวนายกรัฐมนตรี สังคมรับรู้กันไปตั้งนานแล้วว่า เป็นแค่หุ่นเชิด เข้ามาทำภารกิจสำคัญเฉพาะกิจ 2-3 อย่าง เพื่อตอบแทน “คนบางคน” ที่ผลักดันให้ตนเองได้ถึงฝั่งฝันในยามแก่เฒ่าชราเท่านั้น
เสียงปรามาสดังกระหึ่ม !!
นาทีนี้ก็ต้องวัดใจคนอย่าง สมัคร สุนทรเวช ว่าจะเดิมพันชีวิตทางการเมืองในบั้นปลายไว้อย่างไร
จะละทิ้งศักดิ์ศรี ยอมเป็นหุ่นเชิด ให้ “มือที่มองเห็น” คอยชักใย จูงจมูกอยู่ตลอดเวลาจนหมอบราบคาบแก้ว
หรือจะเผยตัวตนที่แท้จริงด้วยการลุกขึ้นมากอบกู้ศรัทธา ใช้ความรู้ความสามารถและ ประสบการณ์ในวงการเมืองทั้งชีวิต ที่ผ่านการดำรงตำแหน่งทางการเมืองสำคัญมานับไม่ถ้วน ฝากลายไว้ชื่อ ในตำแหน่งผู้นำสูงสุดอันทรงเกียรติให้คนรุ่นหลังได้จดจำในทางทีดีเสียที
ที่ผ่านมาอาจต้องสงบปากสงบคำก่อนถึงเป้าหมายสำคัญ
ดังนั้นมาวันนี้เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือและคำตอบอยู่ในตัวเองอยู่แล้วว่า “หมัก” จะเลือกทางไหน !!