ผู้จัดการรายวัน - ซี.พี.อินเตอร์เทรดหวั่นไทยส่งออกข้าวพลาดเป้า 8.7 ล้านตัน หลังสต็อกข้าวมีไม่เพียงพอ แต่มูลค่าการส่งออกปีนี้พุ่งพรวด หลังราคาข้าวดีดขึ้นกว่า 30%จากปีที่แล้ว ฟุ้งปีนี้บริษัทฯโกยรายได้ขายข้าวสูงสุดแตะ 1 หมื่นล้านบาท ด้านกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจรของซี.พี. ชี้เป็นปีทองของเกษตรกรที่จะเลือกเพาะปลูกพืชที่ทำรายได้ดี โดยเฉพาะพืชพลังงานที่ใช้ทดแทนน้ำมัน ประกาศทุ่ม 800 ล้านบาทใน 3ปีรุกโครงการปาล์มน้ำมันและยางพาราในไทย พร้อมดูลู่ทางขยายไปประเทศเพื่อนบ้าน
นายสุเมธ เหล่าโมราพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี. อินเตอรเทรด จำกัด กล่าวว่า จากราคาข้าวที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกข้าวบางรายเริ่มผิดนัดการส่งมอบข้าว เนื่องจากผู้ส่งออกคาดการณ์ผิดคิดว่าราคาข้าวจะอ่อนตัวลงในช่วงนาปรัง แต่ปรากฎว่าไม่เป็นที่อย่างที่คิด ทำให้ประสบปัญหาการขาดทุนและไม่สามารถปฏิบัติการตามสัญญาได้
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขส่งออกของไทยเดือนม.ค. 2551 ส่งออกข้าวแล้ว 1.1 ล้านตัน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกข้าว 6 แสนกว่าตัน ดังนั้นสถานการณ์ราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น เชื่อว่าปริมาณการส่งออกข้าวตามที่กระทรวงพาณิชย์ที่ตั้งเป้าไว้ 8.5-8.7 ล้านตัน อาจจะทำไม่ได้ตามเป้าหมาย แม้ผลผลิตข้าวของไทยไม่ลดลงประมาณ 30 ล้านตัน เนื่องจากปริมาณข้าวที่อยู่ในสต็อกไม่เพียงพอ หลังจากผู้ประกอบในประเทศได้มีการซื้อข้าวเก็บสต็อกข้าวเอาไว้มากขึ้นหลังคาดการณ์ข้าวมีแนวโน้มสูง แต่ในแง่มูลค่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะราคาข้าวเพิ่มขึ้นกว่า 30% เช่นข้าวขาวราคาและข้าวนึ่งปรับขึ้นไป 600 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปีที่แล้วอยู่ 400 เหรียญสหรัฐ/ตัน จึงถือว่าเป็นปีทองของข้าว
นอกจากนี้ ปี2550 รัฐระบายสต็อกข้าวออกมาหลายล้านตัน แต่ปีนี้ไม่มีการขายข้าวในสต็อกออกมา ทำให้ผู้ส่งออกจะรับออร์เดอร์อย่างระมัดระวังและระยะสั้นเท่าที่มีข้าวอยู่ในสต็อกเพื่อป้องกันปัญหาการขาดทุน
"ช่วงนี้ข้าวเปลือกนาปรังปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลดีต่อเกษตรกรไทย ทางรัฐบาลก็ไม่ต้องประกันราคามากมาย จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทางตรงให้ดีขึ้น ความจริงผลผลิตข้าวทั่วโลกไม่ได้ลดอย่างมีนัยะ แต่ปรับขึ้นจากราคาธัญพืชที่ขึ้น ในปีนี้คงต้องจับตาดูว่าภาวะอากาศในช่วงเพาะปลูกอย่างใกล้ชิด หากมีประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่เกิดประสบปัญหาภาวะอากาศขึ้น จะทำให้ราคาข้าวปรับตัวขึ้นยิ่งกว่านี้ "
สำหรับ ซี.พี. อินเตอร์เทรดดิ้ง ถือเป็นบริษัทฯส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 6 โดยมียอดส่งออกข้าวประมาณ 5.5-5.6 หมื่นตัน/เดือน เติบโตจากปีที่แล้วที่ส่งออกเดือนละ 3 หมื่นตัน หรือเพิ่มขึ้น 40% ดังนั้นในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมียอดขายแตะ 1 หมื่นล้านบาทเป็นปีแรก สูงกว่าปีที่แล้วมียอดขายรวม 6 พันกว่าล้านบาท รายได้หลักมาจากการส่งออกถึง 60%ของรายได้ โดยเพิ่มเป้าหมายการส่งออกข้าวเป็น 6 แสนตัน จากเดิมที่ตั้งไว้ 4.5 แสนตัน โดยปี 2550 บริษัทฯมียอดขายข้าวที่ 3.3 แสนตัน เนื่องจากมีออร์เดอร์ลูกค้าใหม่เข้ามามากทั้งยุโรปและอาฟริกา หลังจากบางประเทศ เช่นอินเดียลดการส่งออกข้าวนึ่ง และราคาข้าวสาลีปรับเพิ่มขึ้นมากทำให้ดึงราคาข้าวขาวขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯไม่มีนโยบายที่จะเข้าไปร่วมประมูลขายข้าวในต่างประเทศ เนื่องจากต้องการขายข้าวในแบรนด์ตัวเองและสร้างตลาด เน็ตเวิร์คช่องทางการขาย โดยไม่ต้องการเข้าไปตัดราคาขาย ในปีนี้ผู้ส่งออกไทยไม่กระตือรือร้นในการประมูลข้าวฟิลิปปินส์ เพราะกลัวรับออร์เดอร์แล้วจะมีข้าวไม่เพียงพอที่จะส่งมอบได้ และช่วงเก็บเกี่ยวฤดูนาปรัง หลายคนมองว่า ราคาข้าวจะไม่อ่อนตัวลง ดังนั้นการที่ราคาข้าวเปลือกฤดูนาปรังราคาดีขึ้น
"วันนี้มีนักวิชาการหลายท่านเห็นว่าปริมาณการบริโภคธัญพืชแพงขึ้นมาจากปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง แต่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้มีการลงทุนด้านพลังงานทดแทนคุ้มการลงทุน เช่นไบโอดีเซล และเอทานอล ทำให้มีการนำธัญพืชเหล่านี้มาแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน ซึ่งยูเอ็นกลัวว่ามีการดึงธัญพืชมาผลิตพลังงานทดแทนมากขึ้นจะทำให้ประชากรในโลกหลายประเทศอดตายได้ "
ซี.พี.พืชครบวงจรทุ่ม800ล.
รุกโครงการปาล์ม-ยางพารา
นายมนตรี คงตระกูลเทียน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วม กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ขณะนี้เกษตรกรมีทางเลือกในการเพาะปลูกพืชมากขึ้น หลังจากราคาพืชพลังงาน อาทิ ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าว และข้าวโพด ฯลฯได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการนำพืชดังกล่าวไปผลิตเป็นไบโอดีเซลและเอทานอลเพื่อทดแทนน้ำมัน
ในกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจรเครือซี.พี.มีแผนลงทุน 3 ปีนี้จะใช้เงินลงทุน 800 ล้านบาท เพื่อลงทุนโครงการปาล์มน้ำมัน 500-600 ล้านบาท โครงการปลูกยางพารา พัฒนาเมล็ดพันธุ์และปลูกข้าวลูกผสม ข้าวโพดลูกผสม และผลไม้ต่างๆเช่น ส้มโอและมะม่วง เป็นต้น โดยโครงการปลูกปาล์มจะเน้นพัฒนาพันธุ์ปาล์ม ขยายแปลงเพาะปลูกอีก 4200 ไร่ สร้างโรงสกัดน้ำมันปาล์มอีก 3 แห่ง รวมทั้งโรงงานไบโอดีเซลในปี 2555
นอกจากนี้ ราคายางพาราได้มีการปรับตัวเพิ่มสูงมาก ทำให้บริษัทฯมีแผนที่จะขยายพื้นที่เพาะปลูกในแถบเพชรบูรณ์และกำแพงเพชร โดยขอความร่วมมือกับกรมป่าไม้ในการเช่าพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมเพื่อมาเพาะปลูกยางพารา รวมทั้งมองลู่ทางการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากมีการส่งเสริมปลูกข้าวโพดในลาว เวียดนาม พม่า และกัมพูชาเพื่อนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์
ในปีที่แล้ว กลุ่มพืชครบวงจรมีรายได้รวม 4,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศประมาณ 25% คาดว่าปีนี้รายได้จากกลุ่มพืชครบวงจรจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 10%จากปี 2550 เป็นผลจากราคาผลผลิตพืชชนิดต่างๆปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายสุเมธ เหล่าโมราพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี. อินเตอรเทรด จำกัด กล่าวว่า จากราคาข้าวที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกข้าวบางรายเริ่มผิดนัดการส่งมอบข้าว เนื่องจากผู้ส่งออกคาดการณ์ผิดคิดว่าราคาข้าวจะอ่อนตัวลงในช่วงนาปรัง แต่ปรากฎว่าไม่เป็นที่อย่างที่คิด ทำให้ประสบปัญหาการขาดทุนและไม่สามารถปฏิบัติการตามสัญญาได้
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขส่งออกของไทยเดือนม.ค. 2551 ส่งออกข้าวแล้ว 1.1 ล้านตัน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกข้าว 6 แสนกว่าตัน ดังนั้นสถานการณ์ราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น เชื่อว่าปริมาณการส่งออกข้าวตามที่กระทรวงพาณิชย์ที่ตั้งเป้าไว้ 8.5-8.7 ล้านตัน อาจจะทำไม่ได้ตามเป้าหมาย แม้ผลผลิตข้าวของไทยไม่ลดลงประมาณ 30 ล้านตัน เนื่องจากปริมาณข้าวที่อยู่ในสต็อกไม่เพียงพอ หลังจากผู้ประกอบในประเทศได้มีการซื้อข้าวเก็บสต็อกข้าวเอาไว้มากขึ้นหลังคาดการณ์ข้าวมีแนวโน้มสูง แต่ในแง่มูลค่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะราคาข้าวเพิ่มขึ้นกว่า 30% เช่นข้าวขาวราคาและข้าวนึ่งปรับขึ้นไป 600 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปีที่แล้วอยู่ 400 เหรียญสหรัฐ/ตัน จึงถือว่าเป็นปีทองของข้าว
นอกจากนี้ ปี2550 รัฐระบายสต็อกข้าวออกมาหลายล้านตัน แต่ปีนี้ไม่มีการขายข้าวในสต็อกออกมา ทำให้ผู้ส่งออกจะรับออร์เดอร์อย่างระมัดระวังและระยะสั้นเท่าที่มีข้าวอยู่ในสต็อกเพื่อป้องกันปัญหาการขาดทุน
"ช่วงนี้ข้าวเปลือกนาปรังปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลดีต่อเกษตรกรไทย ทางรัฐบาลก็ไม่ต้องประกันราคามากมาย จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทางตรงให้ดีขึ้น ความจริงผลผลิตข้าวทั่วโลกไม่ได้ลดอย่างมีนัยะ แต่ปรับขึ้นจากราคาธัญพืชที่ขึ้น ในปีนี้คงต้องจับตาดูว่าภาวะอากาศในช่วงเพาะปลูกอย่างใกล้ชิด หากมีประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่เกิดประสบปัญหาภาวะอากาศขึ้น จะทำให้ราคาข้าวปรับตัวขึ้นยิ่งกว่านี้ "
สำหรับ ซี.พี. อินเตอร์เทรดดิ้ง ถือเป็นบริษัทฯส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 6 โดยมียอดส่งออกข้าวประมาณ 5.5-5.6 หมื่นตัน/เดือน เติบโตจากปีที่แล้วที่ส่งออกเดือนละ 3 หมื่นตัน หรือเพิ่มขึ้น 40% ดังนั้นในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมียอดขายแตะ 1 หมื่นล้านบาทเป็นปีแรก สูงกว่าปีที่แล้วมียอดขายรวม 6 พันกว่าล้านบาท รายได้หลักมาจากการส่งออกถึง 60%ของรายได้ โดยเพิ่มเป้าหมายการส่งออกข้าวเป็น 6 แสนตัน จากเดิมที่ตั้งไว้ 4.5 แสนตัน โดยปี 2550 บริษัทฯมียอดขายข้าวที่ 3.3 แสนตัน เนื่องจากมีออร์เดอร์ลูกค้าใหม่เข้ามามากทั้งยุโรปและอาฟริกา หลังจากบางประเทศ เช่นอินเดียลดการส่งออกข้าวนึ่ง และราคาข้าวสาลีปรับเพิ่มขึ้นมากทำให้ดึงราคาข้าวขาวขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯไม่มีนโยบายที่จะเข้าไปร่วมประมูลขายข้าวในต่างประเทศ เนื่องจากต้องการขายข้าวในแบรนด์ตัวเองและสร้างตลาด เน็ตเวิร์คช่องทางการขาย โดยไม่ต้องการเข้าไปตัดราคาขาย ในปีนี้ผู้ส่งออกไทยไม่กระตือรือร้นในการประมูลข้าวฟิลิปปินส์ เพราะกลัวรับออร์เดอร์แล้วจะมีข้าวไม่เพียงพอที่จะส่งมอบได้ และช่วงเก็บเกี่ยวฤดูนาปรัง หลายคนมองว่า ราคาข้าวจะไม่อ่อนตัวลง ดังนั้นการที่ราคาข้าวเปลือกฤดูนาปรังราคาดีขึ้น
"วันนี้มีนักวิชาการหลายท่านเห็นว่าปริมาณการบริโภคธัญพืชแพงขึ้นมาจากปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง แต่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้มีการลงทุนด้านพลังงานทดแทนคุ้มการลงทุน เช่นไบโอดีเซล และเอทานอล ทำให้มีการนำธัญพืชเหล่านี้มาแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน ซึ่งยูเอ็นกลัวว่ามีการดึงธัญพืชมาผลิตพลังงานทดแทนมากขึ้นจะทำให้ประชากรในโลกหลายประเทศอดตายได้ "
ซี.พี.พืชครบวงจรทุ่ม800ล.
รุกโครงการปาล์ม-ยางพารา
นายมนตรี คงตระกูลเทียน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วม กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ขณะนี้เกษตรกรมีทางเลือกในการเพาะปลูกพืชมากขึ้น หลังจากราคาพืชพลังงาน อาทิ ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าว และข้าวโพด ฯลฯได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการนำพืชดังกล่าวไปผลิตเป็นไบโอดีเซลและเอทานอลเพื่อทดแทนน้ำมัน
ในกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจรเครือซี.พี.มีแผนลงทุน 3 ปีนี้จะใช้เงินลงทุน 800 ล้านบาท เพื่อลงทุนโครงการปาล์มน้ำมัน 500-600 ล้านบาท โครงการปลูกยางพารา พัฒนาเมล็ดพันธุ์และปลูกข้าวลูกผสม ข้าวโพดลูกผสม และผลไม้ต่างๆเช่น ส้มโอและมะม่วง เป็นต้น โดยโครงการปลูกปาล์มจะเน้นพัฒนาพันธุ์ปาล์ม ขยายแปลงเพาะปลูกอีก 4200 ไร่ สร้างโรงสกัดน้ำมันปาล์มอีก 3 แห่ง รวมทั้งโรงงานไบโอดีเซลในปี 2555
นอกจากนี้ ราคายางพาราได้มีการปรับตัวเพิ่มสูงมาก ทำให้บริษัทฯมีแผนที่จะขยายพื้นที่เพาะปลูกในแถบเพชรบูรณ์และกำแพงเพชร โดยขอความร่วมมือกับกรมป่าไม้ในการเช่าพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมเพื่อมาเพาะปลูกยางพารา รวมทั้งมองลู่ทางการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากมีการส่งเสริมปลูกข้าวโพดในลาว เวียดนาม พม่า และกัมพูชาเพื่อนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์
ในปีที่แล้ว กลุ่มพืชครบวงจรมีรายได้รวม 4,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศประมาณ 25% คาดว่าปีนี้รายได้จากกลุ่มพืชครบวงจรจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 10%จากปี 2550 เป็นผลจากราคาผลผลิตพืชชนิดต่างๆปรับตัวเพิ่มขึ้น