xs
xsm
sm
md
lg

ซีพีหนุนรัฐรับจำนำข้าวเปลือก คาดราคาสินค้าเกษตรขึ้น 10-20%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ซีพีสนับสนุนนโยบายรัฐทุ่มแสนล้านโครงการับจำนำข้าวเปลือก ชี้ มีความจำเป็นเพื่อให้เกษตรกรมีกำลังซื้อ ผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้ ยันไม่ใช่ภาระประเทศ เพียงแต่รัฐต้องการจัดเก็บสต๊อกที่ดีไม่ให้ข้าวเสียหาย มั่นใจราคาสินค้าเกษตรจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 10-20% ภายในปลายปีนี้ หลังโอเปคลดกำลังการผลิตเพื่อดันราคาน้ำมันขึ้น เตือนรัฐอย่าเพิ่งผลีผลามเทขายข้าวสู่ตลาด จะยิ่งกดดันให้ต่ำลง แต่ให้เวียดนามระบายออกไปก่อน ย้ำตลาดโลกยังมีความต้องการสินค้าเกษตรอยู่ แถมสต๊อกโลกลด

นายสุเมธ เหล่าโมราพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด เปิดเผยว่า จากราคาสินค้าเกษตรทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่กันยายนเป็นต้นมา เนื่องจากปัญหาการเงินในสหรัฐฯได้ลามไปยังทั่วโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 60 กว่าเหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล เชื่อว่า ขณะนี้ราคาสินค้าเกษตรน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว โดยมีโอกาสที่ปลายปีนี้ราคาสินค้าเกษตรจะปรับขึ้น 10-20% เนื่องจากราคาน้ำมันน่าจะขยับตัวสูงขึ้นหลังโอเปคปรับลดกำลังการผลิตลง และปริมาณสต๊อกสินค้าเกษตรโลกก็ลดลง จะทำให้ราคาสินค้าเกษตรปรับขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ นโยบายที่เข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรโดยให้มีการรับจำนำราคาข้าวเปลือกนาปีเจ้าความชื้นไม่เกิน 15 % อัตรารับจำนำอยู่ที่ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 บาท ข้าวเปลือกเหนียว 9,000 บาท/ตัน วงเงินประมาณ 97,000 ล้านบาทนั้น เห็นว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องช่วยเหลือเกษตรกร เพราะเป็นการช่วยให้เกษตรกรอยู่ได้มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอย กระตุ้นไม่ให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้ โดยไม่มองว่าเป็นภาระของประเทศ เพียงแต่รัฐต้องมีการบริหารจัดการการเก็บสต็อกข้าวที่ดี หากรัฐไม่มีโครงการรับจำนำข้าวหรือสินค้าเกษตรอื่นๆที่ราคาตกต่ำ จะทำให้เกษตรกรมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น พอถึงช่วงเพาะปลูกใหม่ก็ไม่สามารถกู้ยืมเงินมาทำการเพาะปลูกได้ ทำให้ไม่มีเงินหมุนเวียนในระบบ รัฐเก็บภาษีไม่ได้ ทำให้ไทยต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ส่วนกรณีที่เวียดนามได้ส่งออกข้าวขาว 5% ในราคาเพียง 350 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ซึ่งต่ำกว่าราคาข้าวที่ไทยจะส่งออกที่ระดับ 650 เหรียญสหรัฐฯ/ตันว่า ราคาข้าวที่อ่อนตัวลงในช่วงนี้ถือเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ควรเร่งระบายขายข้าวออกไป แต่ควรชะลอกการขายไปจนกว่าจะมีจังหวะที่เหมาะสม เมื่อเวียดนามระบายข้าวไปได้หมด ราคาน่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากระดับสต็อกข้าวในตลาดโลกอยู่ที่ 17-18% ของการบริโภค ถือว่าเป็นระดับที่ไม่มากเกินไป ขณะที่รัฐบาลไทยมีข้าวในสต็อกรวม 4.3 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งเป็นสต็อกเก่า 2.1 ล้านตันข้าวสาร และอีก 2.2 ล้านตันข้าวสารมาจากการรับจำนำนาปรัง ปริมาณสต๊อกข้าวนี้คิดเป็น 22.6% ของความต้องการข้าวรวม และเป็นระดับที่เหมาะสมกับความมั่นคงด้านอาหารเพื่อการบริโภคและการส่งออก ส่วนข้าวหอมมะลิ และข้าวนึ่ง ราคาส่งออกยังไม่ตกลงมาก เนื่องจากไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่

“ปริมาณสต๊อกข้าวของรัฐจำนวน 4-5 ล้านตันข้าวสาร ถือว่าไม่ใช่ปริมาณที่สูงมากจนน่ากลัว เพียงแต่รัฐจะต้องมีการจัดเก็บข้าวที่ดีเพื่อให้เกิดความเสียหายระหว่างการเก็บสต็อกอยู่ รวมทั้งมีการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งราคาสินค้าเกษตรไม่ว่าจะเป็นข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี และถั่วเหลืองพบว่าอัตราการบริโภคในตลาดโลกปีหน้าเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณสต็อกในตลาดโลกกลับลดลง หากเกิดปัจจัยด้านดินฟ้าอากาศทำให้การเพาะปลูกได้น้อยลง เชื่อว่าราคาสินค้าเกษตรจะดีดกลับขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งตนมองว่าปัญหาวิกฤตการณ์อาหารโลกยังไม่หมดไป”

นายมนตรี คงตระกูลเทียน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย นักลงทุนเทขายหุ้นและลดการเก็งกำไรในตลาดสินค้าเกษตร ทำให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง ดังนั้นรัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน และ มันสำปะหลัง ด้วยการรับประกันราคา เพื่อให้มีรายได้คุ้มต้นทุนการผลิตและมีกำไรเล็กน้อย ซึ่งไม่ควรปล่อยให้สินค้าเกษตรเป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำในช่วงนี้ไม่ได้เกิดจากกลไกตลาด แต่มาจากปัญหาซับไพรม์

ขณะเดียวกัน เกษตรกรที่มีต้นยางอายุมากควรจะล้มแล้วปลูกต้นยางใหม่ที่ให้ผลผลิตมากขึ้น รวมทั้งภาครัฐควรมีการวิจัยปรับปรุงพันธุ์ยางให้ดีขึ้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด เพราะในอนาคตจะมีผู้ผลิตใหม่เข้ามาแข่งขัน ได้แก่ ลาวและ กัมพูชา เป็นต้น ขณะเดียวกัน รัฐควรส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซลบี5 แล้วเพิ่มเป็นบี 10 เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันปาล์มในประเทศมากขึ้น รวมถึงกำหนดนโยบายการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนให้ชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้ราคามันสำปะหลังตกต่ำ

โดยเสนอให้ประกันราคายางพาราที่ 65 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาปัจจุบันที่ 56 บาทต่อกิโลกรัม ประกันราคาปาล์มน้ำมันดิบที่ 3.50 บาทต่อกิโลกรัม และราคารับซื้อที่ 22 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาที่ 2.70 บาทต่อกิโลกรัม และ 17-18 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคามันสำปะหลัง ประกันราคาที่ 1.80 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร
กำลังโหลดความคิดเห็น