ถาม : คิดอย่างไรกับมุมมองเรื่องกาสิโนของ “นายกฯ สมัคร”?
เจิมศักดิ์ : ดีที่คุณถามถึงมุมมองของ “นายกฯ สมัคร” เพราะถ้าคุณถามถึง “มุมมองของนายสมัคร” ที่เป็นคนธรรมดา ชอบพูดจาประสาสมัครไปเรื่อย ผิดบ้างถูกบ้าง จริงบ้างเท็จบ้าง ผมจะไม่เสียเวลาหรือเสียความคิดด้วยเป็นแน่
แต่เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช พูดในฐานะ “นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย” โดยออกความเห็นอย่างแน่นหนักในทำนองว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรจะมีบ่อนการพนันถูกกฎหมาย หรือบ่อนกาสิโน หลังจากเดินทางไปเยือนประเทศเพื่อนบ้าน ได้เห็นว่าที่กัมพูชามีบ่อนกาสิโน นายสมัครก็ยิ่งแสดงความตื่นเต้น ถึงขนาดยืนยันว่า ภายใน 4 ปี ประเทศไทยจะต้องมีบ่อนกาสิโนแน่ๆ อาจจะเปิดที่เมืองพัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ ขอนแก่น 5 แห่ง ก็ 5 โรงแรม ใครอยากเที่ยวเล่นก็ไป
นี่ไม่ใช่ความคิดเห็นธรรมดา แต่เป็นคนระดับนายกรัฐมนตรี พูดอะไรไป ถึงคนที่ไม่เชื่อในตัวนายสมัคร เขาก็อาจจะเชื่อในฐานะนายกรัฐมนตรี คนเป็นนายกฯ จึงต้องระวังปาก ระวังท่าที ไม่ใช่อยากจะพูด อยากจะบ่น อยากจะด่า หรืออยากจะทำอะไรได้
ถ้าไม่อย่างนั้น ก็อย่ามาเป็นนายกฯ
เบื้องต้น ผมเห็นว่า ความคิดของนายกฯ ในเรื่องนี้ เป็นความคิดที่ตื้นเขิน เป็น “การเมืองเรื่องตัณหาของจริง” และเป็นอันตรายต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างยิ่ง
ถาม : คิดกลัวไปเองรึเปล่า เพราะเรายังไม่เคยมีกาสิโน จะรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่ดี ?
เจิมศักดิ์ : เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์นะครับ ถ้าคิดว่าประเทศไทยไม่เคยมีบ่อนกาสิโน เพราะในความเป็นจริงแล้ว เราเคยมีบ่อนถูกกฎหมายในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดบ่อนจะได้รับชื่อบรรดาศักดิ์ว่า “ขุนพัฒนสมบัติ” สมัยนั้นทางการสามารถเก็บอากรบ่อนเบี้ยได้ปีละ 260,000 บาท ถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ยังได้กำหนดภาษีการพนันเพิ่มขึ้นจากอากรบ่อนเบี้ย และสามารถเก็บภาษีได้ปีละ 500,000 บาท
ในปี พ.ศ.2413 เฉพาะในแขวงกรุงเทพฯ มีบ่อนใหญ่ประจำอยู่ 126 ตำบล และยังมีบ่อนเบี้ยขนาดเล็กอีกประมาณ 277 ตำบล แต่ในที่สุด ถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้เลิกบ่อนการพนัน ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่าการมีราษฎรมัวเมาในการพนันย่อมเป็นเหตุนำไปสู่ความวิบัติ ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ในความมั่นคงของประเทศชาติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดการปรับปรุงงานพระคลัง เพื่อหารายได้อื่นมาทดแทนรายได้จากอากรบ่อนเบี้ย โดยมีประกาศเริ่มลดจำนวนบ่อนลงเรื่อยๆ จนเหลือบ่อนอยู่เพียง 9 ตำบล ในพ.ศ.2453 ซึ่งแม้จะใช้เวลายาวนาน พระองค์ก็ไม่ทรงย่อท้อ ด้วยความมุ่งมั่นอันประเสริฐและความปรารถนาดีต่อพสกนิกรโดยแท้จริง แม้พระราชดำริในการเลิกบ่อนเบี้ยให้สิ้นไปทั้งหมดของพระพุทธเจ้าหลวงยังไม่บรรลุสำเร็จ เพราะพระองค์สวรรคตเสียก่อน แต่ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ 6 ก็ได้มีประกาศปิดบ่อนทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2460
ถาม : พูดง่ายๆ ว่า ในอดีต ประเทศไทยเคยมีบ่อนการพนันถูกกฎหมายมาแล้ว แต่รัชกาลที่ 5 พระปิยมหาราช ทรงให้เลิก ?
เจิมศักดิ์ : ถูกต้อง แล้วคุณคิดว่ามันง่ายหรือ กว่าที่พ่อหลวงรัชกาลที่ 5 จะทรงดำเนินการเลิกบ่อนเบี้ยการพนันไปได้ ถึงขนาดที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ยังต้องทรงรับสนองพระบรมราชปณิธานให้เลิกจนสำเร็จ
พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริหลายประการเกี่ยวกับบ่อนการพนัน ซึ่งพสกนิกรอย่างพวกเราน่าจะน้อมใส่เกล้า เช่น
เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ 2 ไปเมืองมอนติกาโล เมืองแห่งการพนัน ทรงเรียนตำราเล่นการพนันต่างๆ ในกาสิโน และทรงบันทึกในพระราชหัตถเลขา ดังพระราชหัตถเลขา รัชกาลที่ 5 พระราชทานกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พ.ศ.2450 ความบางตอนว่า
“...ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจ ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไรๆหมด ถ้าชาวบางกอกได้รู้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าแต่สักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที"
นอกจากนี้ พระปิยะมหาราชยังทรงอรรถาธิบายถึงเหตุผลที่จำเป็นต้องเลิกบ่อนเบี้ยการพนันไว้ในพระราชนิพนธ์ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพพลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ความบางตอนว่า
“การที่พระเจ้าแผ่นดินอนุญาตหรือทรงเห็นดีด้วยในเรื่องเล่นเบี้ยนี้ก็คงจะเป็นความจริง แต่คงจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินบางองค์... เพราะเหตุฉะนั้นถึงแม้ว่าพระเจ้าแผ่นดินภายหลังจะมิได้เลิกธรรมเนียมยกหัวเบี้ยพระราชทาน ในเวลาตรุษเวลาสงกรานต์เสียก็ดี แต่ก็ไม่ได้โปรดให้เล่นเบี้ยในพระราชวังหรือทรงสรรเสริญการเล่นเบี้ยว่าเป็นการสนุกสนานอย่างหนึ่งอย่างใดเลย
เพราะเหตุที่พระบรมราชวงศ์ปัจจุบันนี้ พระเจ้าแผ่นดินดำรงอยู่ในคุณความประพฤติดี 3 ประการ คือ ไม่ทรงประพฤติและทรงสรรเสริญในการที่เป็นนักเลงเล่นเบี้ยการพนันอย่าง 1 ไม่ทรงประพฤติในการดื่มสุราเมรัยและกีดกันมิให้ผู้อื่นประพฤติอย่าง 1 ไม่ทรงประพฤติล่วงในสตรีที่เป็นอัคคมนิยฐานนี้อย่าง 1 เป็นความประพฤติซึ่งพระเจ้าแผ่นดินในพระบรมราชวงศ์นี้ได้ทรงงดเว้นเป็นชาติสืบๆ กันมา พระบรมราชวงศ์นี้จึงได้ตั้งปกครองแผ่นดินอยู่ยืนยาวกว่าบรมราชวงศ์อื่นๆ ซึ่งได้ปกครองแผ่นดินมาแต่กาลก่อนแล้ว บ้านเมืองก็เจริญสมบูรณ์ปราศจากเหตุการณ์ภายในซึ่งจะให้เป็นที่สะดุ้งสะเทือนหวาดหวั่นแก่ชนทั้งปวง
แต่การเล่นเบี้ยนั้น เป็นที่ไม่ต้องพระอัธยาศัยมาทุกๆ พระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้นควรที่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ซึ่งมีความนับถือเคารพต่อพระบารมีและพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดินสืบๆ กันมา ควรจะคิดตริตรองให้เห็นโทษเห็นคุณตามที่จริง และงดเว้นการสนุก และการหาประโยชน์ในเรื่องเล่นเบี้ยนี้เสีย จะได้ช่วยกันรับราชการฉลองพระเดชพระคุณทะนุบำรุงแผ่นดิน เพิกถอนความชั่วในเรื่องเล่นเบี้ย ซึ่งอบรมอยู่ในสันดานชนทั้งปวงอันอยู่ในพระราชอาณาเขต เป็นเหตุจะเหนี่ยวรั้งความเจริญของบ้านเมืองให้เสื่อมสูญไป
ด้วยกำลังที่ช่วยกันมากๆ และเป็นแบบอย่างความประพฤติให้คนทั้งปวงเอาอย่าง ตามคำนักปราชญ์ย่อมกล่าวว่า การที่ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างง่ายกว่าที่จะสั่งสอนด้วยปาก ถ้าเจ้านายขุนนางประพฤติเล่นเบี้ยอยู่ตราบใด คนทั้งปวงก็ยังเห็นว่าไม่สู้เป็นการเสียหายมาก ผู้มีบรรดาศักดิ์จึงยังประพฤติอยู่ ถ้าผู้มีบรรดาศักดิ์ละเว้นเสีย ให้เห็นว่าความพยายามเช่นนั้นเป็นของคนต่ำช้าประพฤติแล้ว ถึงแม้จะเลิกขาดสูญไปไม่ได้ก็คงจะเบาบางลงได้เป็นแท้.."
ยิ่งกว่านั้น พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ผู้ทรงเลิกทาสในแผ่นดินสยาม ยังทรงมีพระราชปรารภด้วยว่า
“...ข้าพเจ้าเห็นว่ายังมีความขัดข้องอยู่ ด้วยกรุงสยามยังมีภาษีหวย ถั่วโป การพนันต่างๆ ฝิ่น เหล้า เหล่านี้ที่จริงได้ทำคนเป็นทาษ ให้โทษแก่มนุษย์ทั้งหลาย...จะต้องคิดดับของเหล่านี้เสียก่อนจึงจะเลิกทาษได้...”
คุณคิดว่า มันน่าอนาจใจไหมล่ะ มา พ.ศ.นี้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่กี่วัน ไปเยือนประเทศเพื่อนบ้าน แล้วกลับมาบอกชาวไทยว่า ควรจะเปิดบ่อนกาสิโนในประเทศเสียโดยเร็ว !
ถาม : มองว่า กาสิโนจะช่วยในเรื่องเศรษฐกิจของประเทศได้ไหม ?
เจิมศักดิ์ : ข้อนี้ก็อ้างกันบ่อย จริงๆ มีหลายข้ออ้างกว่านั้น ลองพิจารณาอย่างรวดเร็วนะครับ
ข้ออ้างว่า ธุรกิจการพนันมีเงินหมุนเวียนสูงถึงหนึ่งแสนกว่าล้านบาท ฟังเผินๆ คิดตื้นๆ อาจจะทำให้ตาโต แต่นักเศรษฐศาสตร์จะรู้ดีว่า การพนันไม่มีคุณค่าในทางเศรษฐศาสตร์ เพราะไม่ใช่การผลิต จะมีก็แต่การจ้างพนักงานไปเป็นลูกจ้างในบ่อนเท่านั้น ที่เหลือเป็นแค่การโอนเงินจากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง เงินที่เล่นเสียก็ตกไปเป็นของคนที่เล่นได้ แต่จำนวนเงินรวมทั้งหมดก็เท่าเดิม มิได้ผลิตสินค้าหรือบริการใดเพิ่มขึ้น จึงไม่เพิ่มรายได้ ไม่เกิดคุณค่าใดๆ แก่สังคม มีแต่เสียเวลา เสียโอกาสไปทำมาหากินอย่างอื่นที่มีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจที่สามารถเพิ่มผลิตผลที่มีค่า ซ้ำ ยังเป็นกิจกรรมที่เสี่ยงสำหรับปัจเจกบุคคล และส่งผลกระทบต่อด้านลบต่อสังคมส่วนรวม
ข้ออ้างว่า มีบ่อนชายแดนมากมาย ทำให้เงินไหลออกไปเล่นบ่อนชายแดน เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ข้อนี้ นึกสงสัยว่า ไม่ทราบจริงๆ หรือว่า เจ้าของบ่อนชายแดนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนไทย (ช่วงหนึ่งก็มีข่าวลือว่าลูกชายของนักการเมืองดัง ต้องคดียิงคนตายในผับ ลูกพี่ไอ้ปื๊ดก็ได้เคยหลบหนีไปกบดานอยู่ที่บ่อนเขมร) ถ้าคนเล่นได้ก็นำเงินกลับเข้าประเทศ ถ้าเจ้าของบ่อนได้ก็นำรายได้กลับเข้าประเทศ และอันที่จริง มีหลากหลายวิธีที่ป้องปรามมิให้คนขนเงินออกไปเล่นบ่อนชายแดน เช่น การเข้มงวดตรวจตราวิธีผ่านด่านชายแดน การควบคุมการนำเงินเข้าออก เป็นต้น
ข้ออ้างว่า เปิดบ่อนถูกกฎหมายจะได้แก้ปัญหาบ่อนเถื่อน บ่อนวิ่ง บ่อนลอยฟ้า ฯลฯ เป็นเพียงข้ออ้างเลื่อนลอยอย่างมาก เพราะไม่มีหลักประกันว่า เมื่อมีบ่อนถูกกฎหมายแล้ว จะไม่มีบ่อนเถื่อน ดังที่มีสลากกินแบ่งรัฐบาล ก็ยังมีหวยเถื่อนระบาด ตรงกันข้าม ลองคิดดูว่า ขนาดกฎหมายห้ามยังมีบ่อนเล็กบ่อนน้อย ถ้ามีบ่อนถูกกฎหมายแล้ว ยิ่งจะไม่เปิดทางสะดวกให้บ่อนเล็กล่อนน้อยหรือ
ยิ่งกว่านั้น บ่อนการพนันถูกกฎหมายยังจะเป็นแหล่งฟอกเงิน เป็นรากฐานขององค์กรอาชญากรรม และการทุจริตทางการเมือง เพราะเป็นช่องทางผ่องถ่ายผลประโยชน์จากการคอรัปชั่น และธุรกิจอิทธิพลนอกกฎหมาย
จำได้ไหม นายรักเกียรติ สุขธนะ ยังเคยอ้างต่อศาลว่า ตนเองได้เงินมาจากการเล่นการพนัน มิใช่การโกง แต่ยังดีที่กรณีนั้น ป.ป.ช.มีหลักฐานอื่นมาโต้แย้ง ทำให้จำนนด้วยข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ บ่อนการพนันยังจะเพิ่มโอกาสการเกิดอาชญากรรม และการทำผิดกฎหมายอื่นๆ เช่น การฆ่าตัวตาย การจี้ ปล้น ลักทรัพย์ การยักยอกเงินบริษัท การเบี้ยวหนี้ธุรกิจ การทุบตีภรรยา การแย่งชิงมรดก การละทิ้งลูกเมียพ่อแม่ เป็นต้น จนในที่สุดสังคมไทยก็จะเป็นเหมือนลาสเวกัส หรือประเทศทันสมัยอื่นๆ ที่บูชาเงิน ทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน
เรื่องเหล่านี้ นายสมัครไม่พูด นายเฉลิมไม่อ้าง หรืออาจารย์สังศิตก็ไม่เคยยกมาอธิบาย
ถาม : สุดท้าย ถามว่า จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัวหรือเปล่า เมื่อคนที่มีอำนาจ มาจากากรเลือกตั้ง เขาเชื่อโดยใจจริงว่า การพนันไม่ได้เลวร้ายอะไร ก็ควรจะทำได้ ?
เจิมศักดิ์ : ผมไม่คิดว่า ใครก็ตามที่สนับสนุนให้เปิดบ่อนกาสิโนในประเทศไทย จะเห็นว่าการพนันเป็นของดีงาม หรือรู้สึกว่าไม่เลวร้าย โดยบริสุทธิ์ใจจริงๆ
ถามง่ายๆ ขอให้ตอบโดยสามัญสำนึก นายสมัครก็ดี นายเฉลิมก็ดี หรืออาจารย์สังศิตก็ดี อย่าโกหกตัวเอง “ถ้าลูกสาวหรือลูกชายของคุณ จะแต่งงานกับนักพนันตัวยง คุณจะสบายใจไหม?”
คุณจะเป็นห่วงอนาคตชีวิตของคนที่คุณรักไหม ถ้าเขาจะต้องไปผูกมัดชีวิตไว้กับนักเล่นการพนัน ?
ถ้าคุณเป็นห่วง ก็แสดงว่าคุณยังมีสำนึกถูกผิดชั่วดี ยังรู้ว่า ลึกๆ แล้ว การพนันก็เป็นของไม่ดี
แต่ถ้ารู้อย่างนี้ แล้วตนมีอำนาจในบ้านเมือง ยังจะทำบ่อนกาสิโนอีก ก็แสดงว่า จงใจที่จะแสวงหาผลประโยชน์ หาเงินจากคนที่เขาหวังรวย คนที่เขาหลงผิดกับสิ่งเลวร้าย เป็นการหาเงินกับจุดอ่อนของมนุษย์
พวกท่านที่เข้ามามีอำนาจรัฐ มีหน้าที่ดูแลแผ่นดินไทย ส่งต่อไปให้ลูกหลานในอนาคต แทนที่จะคิดปลูกสร้างสิ่งเลวร้าย ลงหลักปักฐานในสังคม ทำไมไม่คิด ฉลองพระเดชพระคุณทะนุบำรุงแผ่นดิน เพิกถอนความชั่วในเรื่องเล่นเบี้ย อันเป็นเหตุจะเหนี่ยวรั้งความเจริญของบ้านเมืองให้เสื่อมสูญไป
นักการเมืองเข้ามามีอำนาจไม่กี่วัน และจะมีชีวิตอยู่อีกไม่กี่ปี เช่นเดียวกับคนรุ่นเราๆ คิดถึงชีวิตลูกหลานในอนาคตบ้างเถิด เพิกถอนความชั่วในเรื่องบ่อนพนันกาสิโนเสียเถิด
เจิมศักดิ์ : ดีที่คุณถามถึงมุมมองของ “นายกฯ สมัคร” เพราะถ้าคุณถามถึง “มุมมองของนายสมัคร” ที่เป็นคนธรรมดา ชอบพูดจาประสาสมัครไปเรื่อย ผิดบ้างถูกบ้าง จริงบ้างเท็จบ้าง ผมจะไม่เสียเวลาหรือเสียความคิดด้วยเป็นแน่
แต่เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช พูดในฐานะ “นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย” โดยออกความเห็นอย่างแน่นหนักในทำนองว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรจะมีบ่อนการพนันถูกกฎหมาย หรือบ่อนกาสิโน หลังจากเดินทางไปเยือนประเทศเพื่อนบ้าน ได้เห็นว่าที่กัมพูชามีบ่อนกาสิโน นายสมัครก็ยิ่งแสดงความตื่นเต้น ถึงขนาดยืนยันว่า ภายใน 4 ปี ประเทศไทยจะต้องมีบ่อนกาสิโนแน่ๆ อาจจะเปิดที่เมืองพัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ ขอนแก่น 5 แห่ง ก็ 5 โรงแรม ใครอยากเที่ยวเล่นก็ไป
นี่ไม่ใช่ความคิดเห็นธรรมดา แต่เป็นคนระดับนายกรัฐมนตรี พูดอะไรไป ถึงคนที่ไม่เชื่อในตัวนายสมัคร เขาก็อาจจะเชื่อในฐานะนายกรัฐมนตรี คนเป็นนายกฯ จึงต้องระวังปาก ระวังท่าที ไม่ใช่อยากจะพูด อยากจะบ่น อยากจะด่า หรืออยากจะทำอะไรได้
ถ้าไม่อย่างนั้น ก็อย่ามาเป็นนายกฯ
เบื้องต้น ผมเห็นว่า ความคิดของนายกฯ ในเรื่องนี้ เป็นความคิดที่ตื้นเขิน เป็น “การเมืองเรื่องตัณหาของจริง” และเป็นอันตรายต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างยิ่ง
ถาม : คิดกลัวไปเองรึเปล่า เพราะเรายังไม่เคยมีกาสิโน จะรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่ดี ?
เจิมศักดิ์ : เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์นะครับ ถ้าคิดว่าประเทศไทยไม่เคยมีบ่อนกาสิโน เพราะในความเป็นจริงแล้ว เราเคยมีบ่อนถูกกฎหมายในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดบ่อนจะได้รับชื่อบรรดาศักดิ์ว่า “ขุนพัฒนสมบัติ” สมัยนั้นทางการสามารถเก็บอากรบ่อนเบี้ยได้ปีละ 260,000 บาท ถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ยังได้กำหนดภาษีการพนันเพิ่มขึ้นจากอากรบ่อนเบี้ย และสามารถเก็บภาษีได้ปีละ 500,000 บาท
ในปี พ.ศ.2413 เฉพาะในแขวงกรุงเทพฯ มีบ่อนใหญ่ประจำอยู่ 126 ตำบล และยังมีบ่อนเบี้ยขนาดเล็กอีกประมาณ 277 ตำบล แต่ในที่สุด ถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้เลิกบ่อนการพนัน ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่าการมีราษฎรมัวเมาในการพนันย่อมเป็นเหตุนำไปสู่ความวิบัติ ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ในความมั่นคงของประเทศชาติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดการปรับปรุงงานพระคลัง เพื่อหารายได้อื่นมาทดแทนรายได้จากอากรบ่อนเบี้ย โดยมีประกาศเริ่มลดจำนวนบ่อนลงเรื่อยๆ จนเหลือบ่อนอยู่เพียง 9 ตำบล ในพ.ศ.2453 ซึ่งแม้จะใช้เวลายาวนาน พระองค์ก็ไม่ทรงย่อท้อ ด้วยความมุ่งมั่นอันประเสริฐและความปรารถนาดีต่อพสกนิกรโดยแท้จริง แม้พระราชดำริในการเลิกบ่อนเบี้ยให้สิ้นไปทั้งหมดของพระพุทธเจ้าหลวงยังไม่บรรลุสำเร็จ เพราะพระองค์สวรรคตเสียก่อน แต่ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ 6 ก็ได้มีประกาศปิดบ่อนทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2460
ถาม : พูดง่ายๆ ว่า ในอดีต ประเทศไทยเคยมีบ่อนการพนันถูกกฎหมายมาแล้ว แต่รัชกาลที่ 5 พระปิยมหาราช ทรงให้เลิก ?
เจิมศักดิ์ : ถูกต้อง แล้วคุณคิดว่ามันง่ายหรือ กว่าที่พ่อหลวงรัชกาลที่ 5 จะทรงดำเนินการเลิกบ่อนเบี้ยการพนันไปได้ ถึงขนาดที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ยังต้องทรงรับสนองพระบรมราชปณิธานให้เลิกจนสำเร็จ
พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริหลายประการเกี่ยวกับบ่อนการพนัน ซึ่งพสกนิกรอย่างพวกเราน่าจะน้อมใส่เกล้า เช่น
เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ 2 ไปเมืองมอนติกาโล เมืองแห่งการพนัน ทรงเรียนตำราเล่นการพนันต่างๆ ในกาสิโน และทรงบันทึกในพระราชหัตถเลขา ดังพระราชหัตถเลขา รัชกาลที่ 5 พระราชทานกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พ.ศ.2450 ความบางตอนว่า
“...ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจ ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไรๆหมด ถ้าชาวบางกอกได้รู้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าแต่สักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที"
นอกจากนี้ พระปิยะมหาราชยังทรงอรรถาธิบายถึงเหตุผลที่จำเป็นต้องเลิกบ่อนเบี้ยการพนันไว้ในพระราชนิพนธ์ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพพลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ความบางตอนว่า
“การที่พระเจ้าแผ่นดินอนุญาตหรือทรงเห็นดีด้วยในเรื่องเล่นเบี้ยนี้ก็คงจะเป็นความจริง แต่คงจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินบางองค์... เพราะเหตุฉะนั้นถึงแม้ว่าพระเจ้าแผ่นดินภายหลังจะมิได้เลิกธรรมเนียมยกหัวเบี้ยพระราชทาน ในเวลาตรุษเวลาสงกรานต์เสียก็ดี แต่ก็ไม่ได้โปรดให้เล่นเบี้ยในพระราชวังหรือทรงสรรเสริญการเล่นเบี้ยว่าเป็นการสนุกสนานอย่างหนึ่งอย่างใดเลย
เพราะเหตุที่พระบรมราชวงศ์ปัจจุบันนี้ พระเจ้าแผ่นดินดำรงอยู่ในคุณความประพฤติดี 3 ประการ คือ ไม่ทรงประพฤติและทรงสรรเสริญในการที่เป็นนักเลงเล่นเบี้ยการพนันอย่าง 1 ไม่ทรงประพฤติในการดื่มสุราเมรัยและกีดกันมิให้ผู้อื่นประพฤติอย่าง 1 ไม่ทรงประพฤติล่วงในสตรีที่เป็นอัคคมนิยฐานนี้อย่าง 1 เป็นความประพฤติซึ่งพระเจ้าแผ่นดินในพระบรมราชวงศ์นี้ได้ทรงงดเว้นเป็นชาติสืบๆ กันมา พระบรมราชวงศ์นี้จึงได้ตั้งปกครองแผ่นดินอยู่ยืนยาวกว่าบรมราชวงศ์อื่นๆ ซึ่งได้ปกครองแผ่นดินมาแต่กาลก่อนแล้ว บ้านเมืองก็เจริญสมบูรณ์ปราศจากเหตุการณ์ภายในซึ่งจะให้เป็นที่สะดุ้งสะเทือนหวาดหวั่นแก่ชนทั้งปวง
แต่การเล่นเบี้ยนั้น เป็นที่ไม่ต้องพระอัธยาศัยมาทุกๆ พระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้นควรที่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ซึ่งมีความนับถือเคารพต่อพระบารมีและพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดินสืบๆ กันมา ควรจะคิดตริตรองให้เห็นโทษเห็นคุณตามที่จริง และงดเว้นการสนุก และการหาประโยชน์ในเรื่องเล่นเบี้ยนี้เสีย จะได้ช่วยกันรับราชการฉลองพระเดชพระคุณทะนุบำรุงแผ่นดิน เพิกถอนความชั่วในเรื่องเล่นเบี้ย ซึ่งอบรมอยู่ในสันดานชนทั้งปวงอันอยู่ในพระราชอาณาเขต เป็นเหตุจะเหนี่ยวรั้งความเจริญของบ้านเมืองให้เสื่อมสูญไป
ด้วยกำลังที่ช่วยกันมากๆ และเป็นแบบอย่างความประพฤติให้คนทั้งปวงเอาอย่าง ตามคำนักปราชญ์ย่อมกล่าวว่า การที่ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างง่ายกว่าที่จะสั่งสอนด้วยปาก ถ้าเจ้านายขุนนางประพฤติเล่นเบี้ยอยู่ตราบใด คนทั้งปวงก็ยังเห็นว่าไม่สู้เป็นการเสียหายมาก ผู้มีบรรดาศักดิ์จึงยังประพฤติอยู่ ถ้าผู้มีบรรดาศักดิ์ละเว้นเสีย ให้เห็นว่าความพยายามเช่นนั้นเป็นของคนต่ำช้าประพฤติแล้ว ถึงแม้จะเลิกขาดสูญไปไม่ได้ก็คงจะเบาบางลงได้เป็นแท้.."
ยิ่งกว่านั้น พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ผู้ทรงเลิกทาสในแผ่นดินสยาม ยังทรงมีพระราชปรารภด้วยว่า
“...ข้าพเจ้าเห็นว่ายังมีความขัดข้องอยู่ ด้วยกรุงสยามยังมีภาษีหวย ถั่วโป การพนันต่างๆ ฝิ่น เหล้า เหล่านี้ที่จริงได้ทำคนเป็นทาษ ให้โทษแก่มนุษย์ทั้งหลาย...จะต้องคิดดับของเหล่านี้เสียก่อนจึงจะเลิกทาษได้...”
คุณคิดว่า มันน่าอนาจใจไหมล่ะ มา พ.ศ.นี้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่กี่วัน ไปเยือนประเทศเพื่อนบ้าน แล้วกลับมาบอกชาวไทยว่า ควรจะเปิดบ่อนกาสิโนในประเทศเสียโดยเร็ว !
ถาม : มองว่า กาสิโนจะช่วยในเรื่องเศรษฐกิจของประเทศได้ไหม ?
เจิมศักดิ์ : ข้อนี้ก็อ้างกันบ่อย จริงๆ มีหลายข้ออ้างกว่านั้น ลองพิจารณาอย่างรวดเร็วนะครับ
ข้ออ้างว่า ธุรกิจการพนันมีเงินหมุนเวียนสูงถึงหนึ่งแสนกว่าล้านบาท ฟังเผินๆ คิดตื้นๆ อาจจะทำให้ตาโต แต่นักเศรษฐศาสตร์จะรู้ดีว่า การพนันไม่มีคุณค่าในทางเศรษฐศาสตร์ เพราะไม่ใช่การผลิต จะมีก็แต่การจ้างพนักงานไปเป็นลูกจ้างในบ่อนเท่านั้น ที่เหลือเป็นแค่การโอนเงินจากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง เงินที่เล่นเสียก็ตกไปเป็นของคนที่เล่นได้ แต่จำนวนเงินรวมทั้งหมดก็เท่าเดิม มิได้ผลิตสินค้าหรือบริการใดเพิ่มขึ้น จึงไม่เพิ่มรายได้ ไม่เกิดคุณค่าใดๆ แก่สังคม มีแต่เสียเวลา เสียโอกาสไปทำมาหากินอย่างอื่นที่มีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจที่สามารถเพิ่มผลิตผลที่มีค่า ซ้ำ ยังเป็นกิจกรรมที่เสี่ยงสำหรับปัจเจกบุคคล และส่งผลกระทบต่อด้านลบต่อสังคมส่วนรวม
ข้ออ้างว่า มีบ่อนชายแดนมากมาย ทำให้เงินไหลออกไปเล่นบ่อนชายแดน เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ข้อนี้ นึกสงสัยว่า ไม่ทราบจริงๆ หรือว่า เจ้าของบ่อนชายแดนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนไทย (ช่วงหนึ่งก็มีข่าวลือว่าลูกชายของนักการเมืองดัง ต้องคดียิงคนตายในผับ ลูกพี่ไอ้ปื๊ดก็ได้เคยหลบหนีไปกบดานอยู่ที่บ่อนเขมร) ถ้าคนเล่นได้ก็นำเงินกลับเข้าประเทศ ถ้าเจ้าของบ่อนได้ก็นำรายได้กลับเข้าประเทศ และอันที่จริง มีหลากหลายวิธีที่ป้องปรามมิให้คนขนเงินออกไปเล่นบ่อนชายแดน เช่น การเข้มงวดตรวจตราวิธีผ่านด่านชายแดน การควบคุมการนำเงินเข้าออก เป็นต้น
ข้ออ้างว่า เปิดบ่อนถูกกฎหมายจะได้แก้ปัญหาบ่อนเถื่อน บ่อนวิ่ง บ่อนลอยฟ้า ฯลฯ เป็นเพียงข้ออ้างเลื่อนลอยอย่างมาก เพราะไม่มีหลักประกันว่า เมื่อมีบ่อนถูกกฎหมายแล้ว จะไม่มีบ่อนเถื่อน ดังที่มีสลากกินแบ่งรัฐบาล ก็ยังมีหวยเถื่อนระบาด ตรงกันข้าม ลองคิดดูว่า ขนาดกฎหมายห้ามยังมีบ่อนเล็กบ่อนน้อย ถ้ามีบ่อนถูกกฎหมายแล้ว ยิ่งจะไม่เปิดทางสะดวกให้บ่อนเล็กล่อนน้อยหรือ
ยิ่งกว่านั้น บ่อนการพนันถูกกฎหมายยังจะเป็นแหล่งฟอกเงิน เป็นรากฐานขององค์กรอาชญากรรม และการทุจริตทางการเมือง เพราะเป็นช่องทางผ่องถ่ายผลประโยชน์จากการคอรัปชั่น และธุรกิจอิทธิพลนอกกฎหมาย
จำได้ไหม นายรักเกียรติ สุขธนะ ยังเคยอ้างต่อศาลว่า ตนเองได้เงินมาจากการเล่นการพนัน มิใช่การโกง แต่ยังดีที่กรณีนั้น ป.ป.ช.มีหลักฐานอื่นมาโต้แย้ง ทำให้จำนนด้วยข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ บ่อนการพนันยังจะเพิ่มโอกาสการเกิดอาชญากรรม และการทำผิดกฎหมายอื่นๆ เช่น การฆ่าตัวตาย การจี้ ปล้น ลักทรัพย์ การยักยอกเงินบริษัท การเบี้ยวหนี้ธุรกิจ การทุบตีภรรยา การแย่งชิงมรดก การละทิ้งลูกเมียพ่อแม่ เป็นต้น จนในที่สุดสังคมไทยก็จะเป็นเหมือนลาสเวกัส หรือประเทศทันสมัยอื่นๆ ที่บูชาเงิน ทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน
เรื่องเหล่านี้ นายสมัครไม่พูด นายเฉลิมไม่อ้าง หรืออาจารย์สังศิตก็ไม่เคยยกมาอธิบาย
ถาม : สุดท้าย ถามว่า จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัวหรือเปล่า เมื่อคนที่มีอำนาจ มาจากากรเลือกตั้ง เขาเชื่อโดยใจจริงว่า การพนันไม่ได้เลวร้ายอะไร ก็ควรจะทำได้ ?
เจิมศักดิ์ : ผมไม่คิดว่า ใครก็ตามที่สนับสนุนให้เปิดบ่อนกาสิโนในประเทศไทย จะเห็นว่าการพนันเป็นของดีงาม หรือรู้สึกว่าไม่เลวร้าย โดยบริสุทธิ์ใจจริงๆ
ถามง่ายๆ ขอให้ตอบโดยสามัญสำนึก นายสมัครก็ดี นายเฉลิมก็ดี หรืออาจารย์สังศิตก็ดี อย่าโกหกตัวเอง “ถ้าลูกสาวหรือลูกชายของคุณ จะแต่งงานกับนักพนันตัวยง คุณจะสบายใจไหม?”
คุณจะเป็นห่วงอนาคตชีวิตของคนที่คุณรักไหม ถ้าเขาจะต้องไปผูกมัดชีวิตไว้กับนักเล่นการพนัน ?
ถ้าคุณเป็นห่วง ก็แสดงว่าคุณยังมีสำนึกถูกผิดชั่วดี ยังรู้ว่า ลึกๆ แล้ว การพนันก็เป็นของไม่ดี
แต่ถ้ารู้อย่างนี้ แล้วตนมีอำนาจในบ้านเมือง ยังจะทำบ่อนกาสิโนอีก ก็แสดงว่า จงใจที่จะแสวงหาผลประโยชน์ หาเงินจากคนที่เขาหวังรวย คนที่เขาหลงผิดกับสิ่งเลวร้าย เป็นการหาเงินกับจุดอ่อนของมนุษย์
พวกท่านที่เข้ามามีอำนาจรัฐ มีหน้าที่ดูแลแผ่นดินไทย ส่งต่อไปให้ลูกหลานในอนาคต แทนที่จะคิดปลูกสร้างสิ่งเลวร้าย ลงหลักปักฐานในสังคม ทำไมไม่คิด ฉลองพระเดชพระคุณทะนุบำรุงแผ่นดิน เพิกถอนความชั่วในเรื่องเล่นเบี้ย อันเป็นเหตุจะเหนี่ยวรั้งความเจริญของบ้านเมืองให้เสื่อมสูญไป
นักการเมืองเข้ามามีอำนาจไม่กี่วัน และจะมีชีวิตอยู่อีกไม่กี่ปี เช่นเดียวกับคนรุ่นเราๆ คิดถึงชีวิตลูกหลานในอนาคตบ้างเถิด เพิกถอนความชั่วในเรื่องบ่อนพนันกาสิโนเสียเถิด