ยังไม่มีใคร หรือคณะใดเลยหรือ ที่รู้และเข้าใจสภาพการณ์ที่แท้จริงของประเทศ ปัญหานี้เป็นปัญหาอันใหญ่ยิ่งของปวงชนไทยทุกคน ได้หมักหมกมายาวนานกว่า 75 ปี และถ้านับแต่รัฐบาลชาติชายเป็นช่วงที่ประเทศไทยเริ่มทรุดหนักมาเป็นลำดับ รัฐบาลคณะรัฐประหาร รัฐบาลอานันท์ รัฐบาลบรรหาร พอมาถึงรัฐบาลพลเอกชวลิต ฝีแตกพอดี รัฐบาลชวน รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลยุคตะกละตะกลาม รุมกันทึ้ง รุมกันแทะเล็มจนชาติเสียหายอย่างประมาณมิได้ จนกระทั่งเกิดรัฐประหาร รัฐบาลของคณะรัฐประหารชุดล่าสุด ก็ยิ่งปัญญาอ่อนหาที่เปรียบมิได้ รู้ทั้งรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เห็นอยู่ตำตา ก็ยังดักดาน เบาปัญญา คิดอยู่ในกรอบมิจฉาทิฐิเช่นเดิม มันล้มเหลวมาแล้วอย่างซ้ำซาก คือพวกเขาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย วิธีการนี้จะร่างสักร้อยครั้ง พันฉบับก็ไม่มีทางที่จะได้ระบอบที่ถูกต้อง มันน่าหัวเราะ มันปัญญาอ่อนยิ่งกว่าปัญญาอ่อน หรือมันจะเป็นเวรกรรมของชาติไทยเรา
มาถึงยุค “รัฐบาลหมากรุก” มีนายสมัคร สุนทรเวชและคณะเป็นตัวหมากรุก ซึ่งผู้เล่นแม้จะอยู่ต่างประเทศ ก็เล่นหมากรุกจนชนะ เมื่อชนะก็กลับเข้ามาในประเทศเพราะมีที่ปรึกษาดี เงินดี มีมากมาย ร้อยชาติ พันชาติ ก็จ่ายไม่หมด ใครรวยหมื่นล้าน ก็เท่ากับทำให้ประชาชนจนลงหนึ่งแสนคน เมื่อนึกถึงประเทศและประชาชนแล้ววังเวง ทำให้นึกถึงพุทธทำนาย มีมาในพระไตรปิฎก และได้พบงานพิมพ์เก่าแก่มีคุณค่า พบในห้องสมุดวัด ไม่รู้ที่มา ใครทราบช่วยบอกด้วย จะนำมาขยายความตามหลักและวิธีคิดเพื่อแผ่นดิน
ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย เราจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในพระปรีชาญาณ เรียกว่า “อนาคตังสญาณ” คือญาณหรือปัญญาที่หยั่งรู้อนาคต อันเป็นบทที่จะได้เป็นเครื่องเตือนใจ ประชาชนชาวไทยจะได้ไม่ประมาท หลงมัวเมา ขอให้เข้าใจว่าปัญญาอันยิ่งใหญ่ต้องมาจากพระพุทธองค์ ผู้ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก การที่มีผู้พยายามนำแนวคิดตะวันตกมาครอบงำปัญญา วิถีชีวิต ของขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นรากฐานของชาติมาแต่เดิม ผู้ปกครองไทยหลายยุคหลายสมัยพยายามที่นำชาติและประชาชนให้ตกเป็นทาสทางความคิดตะวันตกอยู่ร่ำไป ทั้งจะยังทำให้เกิดความขัดแย้งในเชิงลึก และยากที่จะแก้ไขระหว่างผู้ปกครอง กับ ผู้ปกครองด้วยกัน และระหว่างผู้ปกครองกับประชาชนโดยทั่วไป ยากที่จะสามัคคีกันได้ จึงเป็นเหตุอุปสรรคอันใหญ่หลวง ทำให้การพัฒนาประเทศไปคนละทิศทางระหว่างขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นรากฐานของชาติ กับ ระบอบการเมืองตามแนวตะวันตก ผู้รักอุดมการณ์ตามแนวชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ พวกเราควรจะตริตรองทบทวนอย่างตั้งใจ เพื่อความมั่นคงแห่งชาติสืบไป
พุทธทำนาย เป็นเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าแผ่นดินชื่อ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงพระสุบิน (ฝัน) เห็นเรื่องราวต่างๆ 16 เรื่อง แล้วทรงนำความฝันนั้น มากราบทูลถามพระพุทธเจ้า...
“องค์ชินวงศ์พระจอมไตร อันอาศัยสาวัตถีบุรีสถาน ภิกษุสงฆ์สองหมื่นเป็นบริวาร พระสำราญอยู่ในเขตพระเชตุพน กรุงกษัตริย์พระเจ้าปเสนทิโกศลไปทูลถาม ด้วยข้อความนิมิตคิดฉงน อภิวาทเบื้องบาทพระยุคล แล้วทูลฝันแต่ต้นไปจนปลาย”
“องค์สมเด็จพระชินสีห์โมลีโลก จึงดับโศกกรุงกษัตริย์ให้เสื่อมหาย แย้มพระโอษฐ์โชติช่อวิเชียรพราย สว่างฉายพระเขี้ยวแก้วดูแวววาว สว่างวับจับคันธกุฎี พระรังษีช่วงเป็นเกลียวสีเขียวขาว อีกนิลแนมแซมหงส์เป็นวงวาว ทั้งแดงขาวเหลืองเบญจรงค์พราย ข่มขี่รัศมีพระสุริยงค์ จากโอษฐ์องค์งามละออเป็นช่อฉาย เผยพุทธบรรหารประทานทาย ว่าอันตรายนี้ไม่มีแก่บพิตร จะได้แก่ศาสนาตถาคต โดยกำหนดสองพันเศษสังเกตกิจ ราษฎรจะร้อนใจดังไฟพิษ จะวิปริตทุกอย่างต่างๆ ให้เป็นไป”
1. ฝันว่า “โคทั้งสี่มีกำลัง แล่นประดังมาโดยทิศนิมิตเห็น จะชนกันแล้วหันหางกระเด็น ต่างหลีกรี้หนีเร้นไปหายตัว”
“ทรงอภิปรายทายว่าฤดูฝน เมฆหมอกมืดมิดทุกทิศทั่ว ดังจะปรายสายพิรุณขุ่นเขียวมัว วายุพัดกลัดกลั้วละลายไป จะลำบากยากเย็นกับไพร่พล ด้วยฟ้าฝนไม่ตกมาในนาไร่ ทั้งต้นข้าวเต้าแดงเหี่ยวแห้งไป ผลไม้ม่วงปรางจะบางเบา เกิดข้าวยากหมากจะแพงทุกแหล่งหล้า ฝูงประชาแค้นคับจะอับเฉา ด้วยมนตรีโมหาปัญญาเยาว์ ลำเอียงเอาอามิสไม่คิดธรรม
ข้อนี้ พิจารณาร่วมกันเถิด เป็นจริงมากน้อยเพียงใด “ด้วยมนตรี คือคณะรัฐมนตรี โมหาปัญญาเยาว์” คือ โมหะ หลง โง่เขลา เบาปัญญา เป็นผู้ศึกษาธรรมน้อย เล่นพรรค เล่นพวก กำจัดคนดีที่ไม่ใช่พวก เห็นชัดว่า ระบอบมิจฉาทิฐิ รัฐบาลย่อมมิจฉาทิฐิ การเมืองแบบซื้อเอา พวกมากลากไป ล้วนพาไปพินาศ ทั้งนี้เพราะขาดหลักการปกครองธรรมาธิปไตย จึงเป็นเหตุให้ประชาชนเดือดร้อน ยากจน เข็ญใจไปทั่วแผ่นดิน
2. ฝันว่า “ไม้รุ่นเจริญผล ดูพิกลเหมือนไม้ในไพรสัณฑ์”
“พระทรงสัตย์ ตรัสทายทำนายพลัน ภายหน้านั้นชายหญิงจะทิ้งเหล่า จะคบชู้สู่หาสมาคม จะเสพสมกันแต่แรกพึ่งรุ่นสาว กุมารีจะมีบุตรแต่รุ่นราว ไม่ยืนยาวยากเย็นด้วยเข็ญมี”
ข้อนี้ ถูกต้องตรงกับสภาพสังคมไทยปัจจุบันเหลือเกิน เด็กๆ เยาวชน 10-15 ปีได้เสียเป็นเมียผัว ท้องแล้วทิ้งทารกไว้ตามสถานที่ต่างๆ ผู้หลัก ผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจวาสนาในทางราชการบ้านเมือง นักการเมือง ส่วนใหญ่เป็นเฒ่าหัวงูกันเป็นจำนวนมาก ทั้งที่จับได้เป็นข่าว และที่ไม่เป็นข่าวอีกมากมายที่ชอบซื้อบริการเด็กต่ำกว่า 14–17 ปี
นักเรียน นักศึกษา ทั้งในกรุง และต่างจังหวัดอยู่กินกันอย่างผัวเมียเป็นจำนวนมาก เมื่อความรักความใคร่ไม่สมหวัง ก็ตัดสินด้วยการทำร้าย หรือฆ่าผู้อื่นและตนเองตาย เหตุเกิดจากการขาดหลักศาสนาของตน เธอคงสับสนกับวัฒนธรรมแบบเห็นแก่ตัวจากตะวันตก ไม่เว้นแม้แต่ระบอบการเมืองก็เป็นแบบตะวันตก
นอกจากนี้ได้มีการออกกฎหมายให้ฝ่ายหญิงที่แต่งงานแล้วไม่ต้องใช้นามสกุลของสามี เห็นชัดว่า เหล่า “เดี๊ยน” หัวนอกทั้งหลาย ได้ยินดีปรีดากันอย่างออกนอกหน้า หารู้ไหมว่าผลร้ายจะตามมาอีกมากมายเกินคาดได้ อย่างเช่นความผูกพันระหว่างสามีกับภรรยาจะน้อยลง ความรู้สึกความเป็นญาติเกี่ยวดองทั้งสองฝ่ายจะน้อยลง สามีและภรรยา ต่างก็เป็นเพียงเครื่องมือระบายทางเพศเท่านั้นหรือ จะอยู่หรือจะเลิกก็ง่ายขึ้น ความหนักแน่นจะลดน้อยถอยลง ยามแก่เฒ่าพ่อแม่ลูก คนละนามสกุล ลูกๆ จะไม่สนใจพ่อแม่ ไม่ละอายใจต่อสังคมเพราะคนละนามสกุลกัน ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม จะตามมาอย่างมากมาย
ประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศตะวันตก ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ของปัจเจกชนเพียงบางกลุ่มได้ทำลายรากฐานขนบธรรมเนียมที่ดีของสังคมไทย
3. ฝันว่า “แม่โคคาวิน วอนขอนมลูกกินน่าบัดสี”
“ทรงอภิปรายทายว่านิมิตนี้ ไปภายหน้าจะมีเป็นแน่นอน พ่อแม่แก่ชรามาหาบุตร ทั้งที่สุดข้าวปลาและผ้าผ่อน ต้องมาปลอบขอเฝ้าง้องอน มันขอดข้อนสำทับให้อับอาย พูดหยาบช้าต่อบิดาชนนี กล่าวพาทีให้ซ้ำทำฉลาย มิได้มีหิริโอตตัปปะควรละอาย พูดหยาบคายขี่ข่มคารมพาล”
ข้อนี้ เป็นจริงในสังคมไทย ลูกๆ ลืมบุญคุณพ่อแม่ ปล่อยปละละเลยทิ้งพ่อแม่ ให้อยู่อย่างเข็ญใจ ลูกๆ ขาดคุณธรรมประจำใจ อันเนื่องสภาพสังคมไทย เดิมเป็นสังคมพุทธ เปลี่ยนไปเป็นสังคมตะวันตก สังคมชาวพุทธต้องหยุดงานในวันโกนอันเป็นวันครอบครัว และวันพระเป็นวันที่ต้องไปฟังธรรมเจริญภาวนาจิตที่วัด แต่เมื่อรัฐบาลเผด็จการสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้กำหนดให้หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ ชาวพุทธจึงไม่ได้เข้าวัด ไม่ได้อบรมบ่มนิสัย อะไรควร อะไรไม่ควร อะไรบุญ อะไรบาป ก็ไม่รู้ ดำเนินชีวิตไปตามสัญชาตญาณ ดุจสังคมสัตว์เดรัจฉาน มากเข้าไปทุกที
สังคมชาวตะวันตกทุกวันอาทิตย์พวกเขาจะเข้าโบสถ์ ทุกวันนี้โบสถ์ศาสนาชาวตะวันตก เต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด อีกไม่นานถ้าไม่คิดแก้ไขให้ถูกต้องตามสภาพการณ์ที่เป็นไป ชาวพุทธไทยจะลดน้อยถอยลงไปทุกที เราต้องเข้มแข็ง เราต้องเป็นเอกภาพ เราไม่ควรประมาท เราต้องเรียกร้องวันพระ ให้เป็นวันหยุดราชการของเราชาวพุทธกลับคืนมาให้จงได้
“ศาสนาพุทธเราทุกวันนี้ได้กลายเป็นเดชไอ้ด้วน” คือขาดองค์ประกอบอันสำคัญอย่างหนึ่ง คือ วันพระ หรือ “วันธัมมัสสวนะ” คือวันที่ชาวพุทธมีกิจต้องเข้าวัดฟังธรรม แต่เดี๋ยวนี้วันพระเราไม่ตรงกับวันหยุด ชาวพุทธจึงไม่สามารถมาฟังธรรมที่วัดได้ เพราะต้องไปทำงาน จึงทำให้ศาสนาพุทธแท้ๆ ของเราอ่อนแอลงไปทุกวันๆ แต่กลับทำให้กาฝากพุทธศาสนามากขึ้นๆ ทุกที เช่นพวก ทำวัตถุมงคลต่างๆ จตุคามรามเทพ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเหลวไหลทั้งสิ้น พระศาสดาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสอนให้ทำวัตถุมงคล พระองค์ทรงห้าม เพราะเป็นเดรัจฉานวิชา พระสงฆ์ที่ทำเช่นนั้น เป็นพวกนอกคอก เป็นพวกอลัชชี หากินกับรูปแบบพุทธสาวกทั่งร่ำรวยยศถาบรรดาศักดิ์ และมีอำนาจมาก บ้างก็ถูกจับ เป็นข่าวครึกโครม ชาวพุทธแท้คนหนึ่งที่ยึดมั่นในคำสอนอย่างไม่แยกนิกาย มีเพียงพุทธนิกาย กล่าวว่า “มันน่าละอายใจกันบ้าง และน่าเจ็บใจจริงๆ พระพุทธเจ้าสอนอย่างหนึ่ง แต่พวกพระยศสูงๆ กลับไปทำอีกอย่างหนึ่ง”
อีกอย่างหนึ่ง สังคมที่ขาดแคลนศีลธรรม ผู้ปกครอง นักการเมือง ข้าราชการไม่เคยเข้าวัด อย่างดีก็เกี่ยวข้องเพียงพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งเป็นเพียงสะเก็ดในองค์ประกอบของศาสนาเท่านั้น (สะเก็ด เปรียบได้กับพิธีกรรม, เปลือก เปรียบได้กับศีล, กระพี้ เปรียบได้กับสมาธิ, และ แก่น เปรียบได้ตัวปัญญาที่เข้าถึงสัจธรรม) พวกเราควรเฝ้ามอง จับตาอย่างใกล้ชิดต่อผู้ปกครองที่ไม่สนใจในธรรมะ ไม่ส่งเสริมศาสนาพุทธ อันเป็นรากฐานของชาติมาแต่ดั้งเดิม พวกเขาไม่สนใจความเจริญทางจิต แต่กลับไปส่งเสริมแต่ความเจริญทางวัตถุ ทั้งๆ ที่จิตเป็นนาย, กาย (วัตถุ) เป็นบ่าว รัฐบาลไม่เอื้อเฟื้อ ไม่เอื้ออำนวย ไม่ส่งเสริมการเจริญทางจิตใจ ทำไมรัฐบาลจึงไม่ส่งเสริมอย่างจริงจัง นำไปคิดกันดู (ติดตามพุทธทำนายตอนต่อไป)
มาถึงยุค “รัฐบาลหมากรุก” มีนายสมัคร สุนทรเวชและคณะเป็นตัวหมากรุก ซึ่งผู้เล่นแม้จะอยู่ต่างประเทศ ก็เล่นหมากรุกจนชนะ เมื่อชนะก็กลับเข้ามาในประเทศเพราะมีที่ปรึกษาดี เงินดี มีมากมาย ร้อยชาติ พันชาติ ก็จ่ายไม่หมด ใครรวยหมื่นล้าน ก็เท่ากับทำให้ประชาชนจนลงหนึ่งแสนคน เมื่อนึกถึงประเทศและประชาชนแล้ววังเวง ทำให้นึกถึงพุทธทำนาย มีมาในพระไตรปิฎก และได้พบงานพิมพ์เก่าแก่มีคุณค่า พบในห้องสมุดวัด ไม่รู้ที่มา ใครทราบช่วยบอกด้วย จะนำมาขยายความตามหลักและวิธีคิดเพื่อแผ่นดิน
ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย เราจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในพระปรีชาญาณ เรียกว่า “อนาคตังสญาณ” คือญาณหรือปัญญาที่หยั่งรู้อนาคต อันเป็นบทที่จะได้เป็นเครื่องเตือนใจ ประชาชนชาวไทยจะได้ไม่ประมาท หลงมัวเมา ขอให้เข้าใจว่าปัญญาอันยิ่งใหญ่ต้องมาจากพระพุทธองค์ ผู้ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก การที่มีผู้พยายามนำแนวคิดตะวันตกมาครอบงำปัญญา วิถีชีวิต ของขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นรากฐานของชาติมาแต่เดิม ผู้ปกครองไทยหลายยุคหลายสมัยพยายามที่นำชาติและประชาชนให้ตกเป็นทาสทางความคิดตะวันตกอยู่ร่ำไป ทั้งจะยังทำให้เกิดความขัดแย้งในเชิงลึก และยากที่จะแก้ไขระหว่างผู้ปกครอง กับ ผู้ปกครองด้วยกัน และระหว่างผู้ปกครองกับประชาชนโดยทั่วไป ยากที่จะสามัคคีกันได้ จึงเป็นเหตุอุปสรรคอันใหญ่หลวง ทำให้การพัฒนาประเทศไปคนละทิศทางระหว่างขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นรากฐานของชาติ กับ ระบอบการเมืองตามแนวตะวันตก ผู้รักอุดมการณ์ตามแนวชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ พวกเราควรจะตริตรองทบทวนอย่างตั้งใจ เพื่อความมั่นคงแห่งชาติสืบไป
พุทธทำนาย เป็นเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าแผ่นดินชื่อ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงพระสุบิน (ฝัน) เห็นเรื่องราวต่างๆ 16 เรื่อง แล้วทรงนำความฝันนั้น มากราบทูลถามพระพุทธเจ้า...
“องค์ชินวงศ์พระจอมไตร อันอาศัยสาวัตถีบุรีสถาน ภิกษุสงฆ์สองหมื่นเป็นบริวาร พระสำราญอยู่ในเขตพระเชตุพน กรุงกษัตริย์พระเจ้าปเสนทิโกศลไปทูลถาม ด้วยข้อความนิมิตคิดฉงน อภิวาทเบื้องบาทพระยุคล แล้วทูลฝันแต่ต้นไปจนปลาย”
“องค์สมเด็จพระชินสีห์โมลีโลก จึงดับโศกกรุงกษัตริย์ให้เสื่อมหาย แย้มพระโอษฐ์โชติช่อวิเชียรพราย สว่างฉายพระเขี้ยวแก้วดูแวววาว สว่างวับจับคันธกุฎี พระรังษีช่วงเป็นเกลียวสีเขียวขาว อีกนิลแนมแซมหงส์เป็นวงวาว ทั้งแดงขาวเหลืองเบญจรงค์พราย ข่มขี่รัศมีพระสุริยงค์ จากโอษฐ์องค์งามละออเป็นช่อฉาย เผยพุทธบรรหารประทานทาย ว่าอันตรายนี้ไม่มีแก่บพิตร จะได้แก่ศาสนาตถาคต โดยกำหนดสองพันเศษสังเกตกิจ ราษฎรจะร้อนใจดังไฟพิษ จะวิปริตทุกอย่างต่างๆ ให้เป็นไป”
1. ฝันว่า “โคทั้งสี่มีกำลัง แล่นประดังมาโดยทิศนิมิตเห็น จะชนกันแล้วหันหางกระเด็น ต่างหลีกรี้หนีเร้นไปหายตัว”
“ทรงอภิปรายทายว่าฤดูฝน เมฆหมอกมืดมิดทุกทิศทั่ว ดังจะปรายสายพิรุณขุ่นเขียวมัว วายุพัดกลัดกลั้วละลายไป จะลำบากยากเย็นกับไพร่พล ด้วยฟ้าฝนไม่ตกมาในนาไร่ ทั้งต้นข้าวเต้าแดงเหี่ยวแห้งไป ผลไม้ม่วงปรางจะบางเบา เกิดข้าวยากหมากจะแพงทุกแหล่งหล้า ฝูงประชาแค้นคับจะอับเฉา ด้วยมนตรีโมหาปัญญาเยาว์ ลำเอียงเอาอามิสไม่คิดธรรม
ข้อนี้ พิจารณาร่วมกันเถิด เป็นจริงมากน้อยเพียงใด “ด้วยมนตรี คือคณะรัฐมนตรี โมหาปัญญาเยาว์” คือ โมหะ หลง โง่เขลา เบาปัญญา เป็นผู้ศึกษาธรรมน้อย เล่นพรรค เล่นพวก กำจัดคนดีที่ไม่ใช่พวก เห็นชัดว่า ระบอบมิจฉาทิฐิ รัฐบาลย่อมมิจฉาทิฐิ การเมืองแบบซื้อเอา พวกมากลากไป ล้วนพาไปพินาศ ทั้งนี้เพราะขาดหลักการปกครองธรรมาธิปไตย จึงเป็นเหตุให้ประชาชนเดือดร้อน ยากจน เข็ญใจไปทั่วแผ่นดิน
2. ฝันว่า “ไม้รุ่นเจริญผล ดูพิกลเหมือนไม้ในไพรสัณฑ์”
“พระทรงสัตย์ ตรัสทายทำนายพลัน ภายหน้านั้นชายหญิงจะทิ้งเหล่า จะคบชู้สู่หาสมาคม จะเสพสมกันแต่แรกพึ่งรุ่นสาว กุมารีจะมีบุตรแต่รุ่นราว ไม่ยืนยาวยากเย็นด้วยเข็ญมี”
ข้อนี้ ถูกต้องตรงกับสภาพสังคมไทยปัจจุบันเหลือเกิน เด็กๆ เยาวชน 10-15 ปีได้เสียเป็นเมียผัว ท้องแล้วทิ้งทารกไว้ตามสถานที่ต่างๆ ผู้หลัก ผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจวาสนาในทางราชการบ้านเมือง นักการเมือง ส่วนใหญ่เป็นเฒ่าหัวงูกันเป็นจำนวนมาก ทั้งที่จับได้เป็นข่าว และที่ไม่เป็นข่าวอีกมากมายที่ชอบซื้อบริการเด็กต่ำกว่า 14–17 ปี
นักเรียน นักศึกษา ทั้งในกรุง และต่างจังหวัดอยู่กินกันอย่างผัวเมียเป็นจำนวนมาก เมื่อความรักความใคร่ไม่สมหวัง ก็ตัดสินด้วยการทำร้าย หรือฆ่าผู้อื่นและตนเองตาย เหตุเกิดจากการขาดหลักศาสนาของตน เธอคงสับสนกับวัฒนธรรมแบบเห็นแก่ตัวจากตะวันตก ไม่เว้นแม้แต่ระบอบการเมืองก็เป็นแบบตะวันตก
นอกจากนี้ได้มีการออกกฎหมายให้ฝ่ายหญิงที่แต่งงานแล้วไม่ต้องใช้นามสกุลของสามี เห็นชัดว่า เหล่า “เดี๊ยน” หัวนอกทั้งหลาย ได้ยินดีปรีดากันอย่างออกนอกหน้า หารู้ไหมว่าผลร้ายจะตามมาอีกมากมายเกินคาดได้ อย่างเช่นความผูกพันระหว่างสามีกับภรรยาจะน้อยลง ความรู้สึกความเป็นญาติเกี่ยวดองทั้งสองฝ่ายจะน้อยลง สามีและภรรยา ต่างก็เป็นเพียงเครื่องมือระบายทางเพศเท่านั้นหรือ จะอยู่หรือจะเลิกก็ง่ายขึ้น ความหนักแน่นจะลดน้อยถอยลง ยามแก่เฒ่าพ่อแม่ลูก คนละนามสกุล ลูกๆ จะไม่สนใจพ่อแม่ ไม่ละอายใจต่อสังคมเพราะคนละนามสกุลกัน ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม จะตามมาอย่างมากมาย
ประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศตะวันตก ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ของปัจเจกชนเพียงบางกลุ่มได้ทำลายรากฐานขนบธรรมเนียมที่ดีของสังคมไทย
3. ฝันว่า “แม่โคคาวิน วอนขอนมลูกกินน่าบัดสี”
“ทรงอภิปรายทายว่านิมิตนี้ ไปภายหน้าจะมีเป็นแน่นอน พ่อแม่แก่ชรามาหาบุตร ทั้งที่สุดข้าวปลาและผ้าผ่อน ต้องมาปลอบขอเฝ้าง้องอน มันขอดข้อนสำทับให้อับอาย พูดหยาบช้าต่อบิดาชนนี กล่าวพาทีให้ซ้ำทำฉลาย มิได้มีหิริโอตตัปปะควรละอาย พูดหยาบคายขี่ข่มคารมพาล”
ข้อนี้ เป็นจริงในสังคมไทย ลูกๆ ลืมบุญคุณพ่อแม่ ปล่อยปละละเลยทิ้งพ่อแม่ ให้อยู่อย่างเข็ญใจ ลูกๆ ขาดคุณธรรมประจำใจ อันเนื่องสภาพสังคมไทย เดิมเป็นสังคมพุทธ เปลี่ยนไปเป็นสังคมตะวันตก สังคมชาวพุทธต้องหยุดงานในวันโกนอันเป็นวันครอบครัว และวันพระเป็นวันที่ต้องไปฟังธรรมเจริญภาวนาจิตที่วัด แต่เมื่อรัฐบาลเผด็จการสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้กำหนดให้หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ ชาวพุทธจึงไม่ได้เข้าวัด ไม่ได้อบรมบ่มนิสัย อะไรควร อะไรไม่ควร อะไรบุญ อะไรบาป ก็ไม่รู้ ดำเนินชีวิตไปตามสัญชาตญาณ ดุจสังคมสัตว์เดรัจฉาน มากเข้าไปทุกที
สังคมชาวตะวันตกทุกวันอาทิตย์พวกเขาจะเข้าโบสถ์ ทุกวันนี้โบสถ์ศาสนาชาวตะวันตก เต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด อีกไม่นานถ้าไม่คิดแก้ไขให้ถูกต้องตามสภาพการณ์ที่เป็นไป ชาวพุทธไทยจะลดน้อยถอยลงไปทุกที เราต้องเข้มแข็ง เราต้องเป็นเอกภาพ เราไม่ควรประมาท เราต้องเรียกร้องวันพระ ให้เป็นวันหยุดราชการของเราชาวพุทธกลับคืนมาให้จงได้
“ศาสนาพุทธเราทุกวันนี้ได้กลายเป็นเดชไอ้ด้วน” คือขาดองค์ประกอบอันสำคัญอย่างหนึ่ง คือ วันพระ หรือ “วันธัมมัสสวนะ” คือวันที่ชาวพุทธมีกิจต้องเข้าวัดฟังธรรม แต่เดี๋ยวนี้วันพระเราไม่ตรงกับวันหยุด ชาวพุทธจึงไม่สามารถมาฟังธรรมที่วัดได้ เพราะต้องไปทำงาน จึงทำให้ศาสนาพุทธแท้ๆ ของเราอ่อนแอลงไปทุกวันๆ แต่กลับทำให้กาฝากพุทธศาสนามากขึ้นๆ ทุกที เช่นพวก ทำวัตถุมงคลต่างๆ จตุคามรามเทพ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเหลวไหลทั้งสิ้น พระศาสดาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสอนให้ทำวัตถุมงคล พระองค์ทรงห้าม เพราะเป็นเดรัจฉานวิชา พระสงฆ์ที่ทำเช่นนั้น เป็นพวกนอกคอก เป็นพวกอลัชชี หากินกับรูปแบบพุทธสาวกทั่งร่ำรวยยศถาบรรดาศักดิ์ และมีอำนาจมาก บ้างก็ถูกจับ เป็นข่าวครึกโครม ชาวพุทธแท้คนหนึ่งที่ยึดมั่นในคำสอนอย่างไม่แยกนิกาย มีเพียงพุทธนิกาย กล่าวว่า “มันน่าละอายใจกันบ้าง และน่าเจ็บใจจริงๆ พระพุทธเจ้าสอนอย่างหนึ่ง แต่พวกพระยศสูงๆ กลับไปทำอีกอย่างหนึ่ง”
อีกอย่างหนึ่ง สังคมที่ขาดแคลนศีลธรรม ผู้ปกครอง นักการเมือง ข้าราชการไม่เคยเข้าวัด อย่างดีก็เกี่ยวข้องเพียงพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งเป็นเพียงสะเก็ดในองค์ประกอบของศาสนาเท่านั้น (สะเก็ด เปรียบได้กับพิธีกรรม, เปลือก เปรียบได้กับศีล, กระพี้ เปรียบได้กับสมาธิ, และ แก่น เปรียบได้ตัวปัญญาที่เข้าถึงสัจธรรม) พวกเราควรเฝ้ามอง จับตาอย่างใกล้ชิดต่อผู้ปกครองที่ไม่สนใจในธรรมะ ไม่ส่งเสริมศาสนาพุทธ อันเป็นรากฐานของชาติมาแต่ดั้งเดิม พวกเขาไม่สนใจความเจริญทางจิต แต่กลับไปส่งเสริมแต่ความเจริญทางวัตถุ ทั้งๆ ที่จิตเป็นนาย, กาย (วัตถุ) เป็นบ่าว รัฐบาลไม่เอื้อเฟื้อ ไม่เอื้ออำนวย ไม่ส่งเสริมการเจริญทางจิตใจ ทำไมรัฐบาลจึงไม่ส่งเสริมอย่างจริงจัง นำไปคิดกันดู (ติดตามพุทธทำนายตอนต่อไป)