โอสถสภา ชี้ ผู้ประกอบการควรรอรัฐบาลตั้งไข่ 6 เดือน ปลุกกำลังซื้อผู้บริโภค ก่อนออกโรงขอขึ้นราคา พร้อมจ่อคิวขึ้นสินค้าอุปโภคบริโภค 3-5 % ไตรมาสสามนี้ ควักกลยุทธ์ไซส์ซิ่ง-บรรจุภัณฑ์เติม ชูโมเดลย่อยขนาด-เพิ่มขนาด รับกำลังซื้อหด เท 400 ล้านบาท อัดไอดอล มาร์เก็ตติ้ง หวังแป้งทเวลพลัส โค่นโพรเทคส์ ด้านยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภค ยูนิลีเวอร์ ร่วมมือกรมการค้าภายใน ลดราคาสินค้าไม่เกิน 10% สหพัฒน์ ลดราคา 3-4%
นายวิเชียร สันติมหกุลเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า ขณะนี้ต้นทุนการผลิตสินค้าปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องยื่นต่อกรมการค้าภายในเพื่อขอปรับราคาสินค้าขึ้น กรณีดังกล่าวบริษัทมองว่าในช่วงนี้ สถานการณ์การเมืองยังไม่นิ่ง ต้องให้รัฐบาลตั้งไข่ก่อน 6 เดือน จึงค่อยทยอยปรับราคา นอกจากนี้กำลังการซื้อของผู้บริโภคในไตรมาสแรกก็ไม่ดีมากนัก แต่น่าจะเริ่มฟื้นในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน แต่หากรายใดจะปรับเพิ่มขึ้นก็แล้วแต่ เพราะปัจจุบันการทำตลาดถูกกลไกตลาดควบคุมอยู่แล้ว
สำหรับนโยบายของบริษัท อีก 6 เดือนข้างหน้า จะปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 3-5% ส่วนกลยุทธ์การตลาดบริษัทจะเน้นการทำไซส์ซิ่งและการบรรจุภัณฑ์ชนิดเติมเป็นหลัก เพื่อให้มีความหลากหลายสอดคล้องกับกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง โดยบริษัทจะออกผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กลง และส่วนรีฟิลจะเพิ่มขนาดสำหรับครอบครัว เพื่อความประหยัด
นอกจากนั้นบริษัทยังมุ่งเน้นกลยุทธ์ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง หรือการนำดาราเกาหลีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ภายใต้การใช้งบการตลาด 300-400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มทเวลพลัส ใช้งบ 150 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ 2-3 คน หลังจากที่กลยุทธ์ดังกล่าวมาใช้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และวางแผนเปิดตัวสินค้าสูตรใหม่ เพื่อผลักดันแป้งและโรลออนเป็นผู้นำจากปัจจุบันเป็นอันดับสองของตลาด โดยกลุ่มแป้งทเวลพลัสมีส่วนแบ่ง 21-22% ส่วนโพรเทคส์ผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 28% ส่วนโคลโลญจ์ทเวลพลัสเป็นผู้นำตลาดอยู่แล้ว และล่าสุดได้ทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท ปรับระบบการทำงานใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้น
“ในภาวะที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ได้นำระบบการจัดจำหน่ายโดยใช้บริษัทจัดจำหน่ายและทางเอเยนต์มาขนส่งสินค้าที่บริษัท ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาร่วม 2-3 ปีแล้ว ทำให้ใช้รถขนส่งลดลงจากเดิม 100 คัน เป็นเหลือ 30 คัน ซึ่งช่วยลดต้นทุนการส่งขนได้ถึง 50% “
แนวโน้มการแข่งขันสินค้าอุปโภคบริโภคปีนี้ สงครามราคาหรือการทำโปรโมชันจะลดลง เนื่องจากต้นทุนสูงขึ้น ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามคงต้องรอรัฐบาลอัดงบประมาณและนโยบาย กระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าปีนี้จีดีพีเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% สำหรับผลประกอบการกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 8% จากในปีที่ผ่านมีรายได้ 5,000-6,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 15%
นายวิเชียร กล่าวถึงแนวทางการทำสินค้าเฮาส์แบรนด์ของรัฐบาลว่า อาจจะได้ผลดีในกลุ่มสินค้าน้ำตาล น้ำดื่ม ข้าวสาร แต่หากเป็นกลุ่มของใช้ส่วนบุคคลหรือกลุ่มของใช้ในครัวเรือน ผงซักฟอก สบู่ แชมพู อาจไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าเฮาส์แบรนด์จากโมเดิร์นเทรดก็ไม่ประสบความสำเร็จ
**ยูนิลีเวอร์จ่อคิวลดราคาไม่เกิน10%**
นางพงษ์ทิพย์ เทศะภู ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์บริษัทยูนิลีเวอร์ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า จากการประชุมเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า ทางกรมการภายในต้องการให้ผู้ผลิตทั้ง 10 ราย ลดราคาสินค้าลง สำหรับพร้อมที่จะให้ความร่วมมือแต่จะผลิตเป็นสินค้าราคาพิเศษออกมาจำหน่าย โดยลดลงไม่เกิน 10% จากราคาโรงงาน และจะตรึงราคา 3-6 เดือนส่วนจะเป็นกลุ่มสินค้าใดต้องหารือกับฝ่ายโรงงาน และภายในวันที่ 3 หรือ 4 มีนาคม นี้ จะต้องยื่นรายการสินค้าไปให้กับกรมกาาค้าภายใน
ที่ผ่านมาผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้ามาตลอด 2 ปี โดยผู้บริโภคซื้อสินค้าสบู่ ผงซักฟอก แชมพู น้ำยาล้างจาย ลดลงตั้งแต่ปี 2549-2551 นอกจากนี้การผลิตต่อตันของบริษัทในปี2549 ลดลงจาก 3.6% และในปี 2550 ลดลง 2% แต่ข้อมูลโครงสร้างของสินค้าอุปโภคบริโภคกรมการค้าภายในหารือกับผู้ผลิตระบุว่า ผงซักฟอก แชมพู สบู่ ยาสีฟัน มีกำไรจากการขาย 9.92% 15.73% 9.09% และ 18.8% ตามลำดับ และมีส่วนเหลื่อมของกำไรกับต้นทุนผลิต 72.1% 194.65%157.53% และ 13.36%
**สหพัฒน์ ร่วมมือลดราคา 3-4บาท **
นายประพจน์ นันทวัฒนศิริ นายกสมาคมสบู่ผงซักฟอกและชำระล้าง และกรรมการผู้จัดการ บริษัทสหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ผลิต10 รายกำลังพิจารณานำสินค้ามาจำหน่ายในราคาถูก แต่สำหรับในเครือสหพัฒนฯ สินค้าแต่ละรายการปรับลดลงได้อีก 3-4 บาท โดยลดจากราคาขายปลีก อย่างไรก็ตามสินค้าที่ลดราคาอาจจะติดสติ๊กเกอร์บนบรรจุภัณฑ์ จำหน่ายผ่านช่องทางปกติและจะไม่นำสินค้าเข้าร่วมรายการธงฟ้า ทั้งนี้บริษัทจะให้ความร่วมมือทั้งลดและตรึงราคาสินค้าเป็นเวลา6เดือน
นายวิเชียร สันติมหกุลเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า ขณะนี้ต้นทุนการผลิตสินค้าปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องยื่นต่อกรมการค้าภายในเพื่อขอปรับราคาสินค้าขึ้น กรณีดังกล่าวบริษัทมองว่าในช่วงนี้ สถานการณ์การเมืองยังไม่นิ่ง ต้องให้รัฐบาลตั้งไข่ก่อน 6 เดือน จึงค่อยทยอยปรับราคา นอกจากนี้กำลังการซื้อของผู้บริโภคในไตรมาสแรกก็ไม่ดีมากนัก แต่น่าจะเริ่มฟื้นในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน แต่หากรายใดจะปรับเพิ่มขึ้นก็แล้วแต่ เพราะปัจจุบันการทำตลาดถูกกลไกตลาดควบคุมอยู่แล้ว
สำหรับนโยบายของบริษัท อีก 6 เดือนข้างหน้า จะปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 3-5% ส่วนกลยุทธ์การตลาดบริษัทจะเน้นการทำไซส์ซิ่งและการบรรจุภัณฑ์ชนิดเติมเป็นหลัก เพื่อให้มีความหลากหลายสอดคล้องกับกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง โดยบริษัทจะออกผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กลง และส่วนรีฟิลจะเพิ่มขนาดสำหรับครอบครัว เพื่อความประหยัด
นอกจากนั้นบริษัทยังมุ่งเน้นกลยุทธ์ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง หรือการนำดาราเกาหลีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ภายใต้การใช้งบการตลาด 300-400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มทเวลพลัส ใช้งบ 150 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ 2-3 คน หลังจากที่กลยุทธ์ดังกล่าวมาใช้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และวางแผนเปิดตัวสินค้าสูตรใหม่ เพื่อผลักดันแป้งและโรลออนเป็นผู้นำจากปัจจุบันเป็นอันดับสองของตลาด โดยกลุ่มแป้งทเวลพลัสมีส่วนแบ่ง 21-22% ส่วนโพรเทคส์ผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 28% ส่วนโคลโลญจ์ทเวลพลัสเป็นผู้นำตลาดอยู่แล้ว และล่าสุดได้ทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท ปรับระบบการทำงานใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้น
“ในภาวะที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ได้นำระบบการจัดจำหน่ายโดยใช้บริษัทจัดจำหน่ายและทางเอเยนต์มาขนส่งสินค้าที่บริษัท ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาร่วม 2-3 ปีแล้ว ทำให้ใช้รถขนส่งลดลงจากเดิม 100 คัน เป็นเหลือ 30 คัน ซึ่งช่วยลดต้นทุนการส่งขนได้ถึง 50% “
แนวโน้มการแข่งขันสินค้าอุปโภคบริโภคปีนี้ สงครามราคาหรือการทำโปรโมชันจะลดลง เนื่องจากต้นทุนสูงขึ้น ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามคงต้องรอรัฐบาลอัดงบประมาณและนโยบาย กระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าปีนี้จีดีพีเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% สำหรับผลประกอบการกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 8% จากในปีที่ผ่านมีรายได้ 5,000-6,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 15%
นายวิเชียร กล่าวถึงแนวทางการทำสินค้าเฮาส์แบรนด์ของรัฐบาลว่า อาจจะได้ผลดีในกลุ่มสินค้าน้ำตาล น้ำดื่ม ข้าวสาร แต่หากเป็นกลุ่มของใช้ส่วนบุคคลหรือกลุ่มของใช้ในครัวเรือน ผงซักฟอก สบู่ แชมพู อาจไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าเฮาส์แบรนด์จากโมเดิร์นเทรดก็ไม่ประสบความสำเร็จ
**ยูนิลีเวอร์จ่อคิวลดราคาไม่เกิน10%**
นางพงษ์ทิพย์ เทศะภู ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์บริษัทยูนิลีเวอร์ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า จากการประชุมเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า ทางกรมการภายในต้องการให้ผู้ผลิตทั้ง 10 ราย ลดราคาสินค้าลง สำหรับพร้อมที่จะให้ความร่วมมือแต่จะผลิตเป็นสินค้าราคาพิเศษออกมาจำหน่าย โดยลดลงไม่เกิน 10% จากราคาโรงงาน และจะตรึงราคา 3-6 เดือนส่วนจะเป็นกลุ่มสินค้าใดต้องหารือกับฝ่ายโรงงาน และภายในวันที่ 3 หรือ 4 มีนาคม นี้ จะต้องยื่นรายการสินค้าไปให้กับกรมกาาค้าภายใน
ที่ผ่านมาผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้ามาตลอด 2 ปี โดยผู้บริโภคซื้อสินค้าสบู่ ผงซักฟอก แชมพู น้ำยาล้างจาย ลดลงตั้งแต่ปี 2549-2551 นอกจากนี้การผลิตต่อตันของบริษัทในปี2549 ลดลงจาก 3.6% และในปี 2550 ลดลง 2% แต่ข้อมูลโครงสร้างของสินค้าอุปโภคบริโภคกรมการค้าภายในหารือกับผู้ผลิตระบุว่า ผงซักฟอก แชมพู สบู่ ยาสีฟัน มีกำไรจากการขาย 9.92% 15.73% 9.09% และ 18.8% ตามลำดับ และมีส่วนเหลื่อมของกำไรกับต้นทุนผลิต 72.1% 194.65%157.53% และ 13.36%
**สหพัฒน์ ร่วมมือลดราคา 3-4บาท **
นายประพจน์ นันทวัฒนศิริ นายกสมาคมสบู่ผงซักฟอกและชำระล้าง และกรรมการผู้จัดการ บริษัทสหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ผลิต10 รายกำลังพิจารณานำสินค้ามาจำหน่ายในราคาถูก แต่สำหรับในเครือสหพัฒนฯ สินค้าแต่ละรายการปรับลดลงได้อีก 3-4 บาท โดยลดจากราคาขายปลีก อย่างไรก็ตามสินค้าที่ลดราคาอาจจะติดสติ๊กเกอร์บนบรรจุภัณฑ์ จำหน่ายผ่านช่องทางปกติและจะไม่นำสินค้าเข้าร่วมรายการธงฟ้า ทั้งนี้บริษัทจะให้ความร่วมมือทั้งลดและตรึงราคาสินค้าเป็นเวลา6เดือน