ผู้จัดการารายวัน- “AREA” เผยผลสำรวจอสังหาฯเดือนม.ค.โครงการเปิดใหม่ลดลง 3โครงการเมื่อเทียบ ธ.ค.50 ขณะที่มูลค่าขายกลุ่มสูงกว่า แจงคอนโดฯแนวรถไฟฟ้ายังครองแชมป์เปิดตัวสูงสุด 4,532 หน่วย ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยยังปรับตัวสูงขึ้น ระบุสัดส่วนการพัฒนาโครงการบริษัท อสังหาฯในตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดตัวสูงสุด
นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูล วิจัยและประเมินค่าทรัพย์สิน AREA กล่าวว่า จากผลการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเดือน ม.ค.51 ที่ผ่านมาพบว่ามีการเปิดตัวโครงการใหม่ 23 โครงการ ลดลงจากเดือนธ.ค.50จำนวน3โครงการ โดยเป็นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 22 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วย6,637 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 17,179 ล้านบาท คิดเป็น95% ของจำนวนการเปิดตัวของโครงการใหม่ทั้งหมด ส่วนอีก1 โครงการเป็นโครงการประเภทที่พักอาศัย จำนวน 359 หน่วย คิดเป็น5%
ทั้งนี้ จากจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ดังกล่าวพบว่าจำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนม.ค. เป็นการพัฒนาในประเภทอาคารชุดตากอากาศ และโฮมออฟฟิศ โดยส่วนใหญ่ยังมีการพัฒนาตามแนวรถไฟฟ้า โดยเฉพาะในพื้นที่ย่านพหลโยธิน, พญาไท, รัชดาภิเษก, สุทธิสาร, สุขุมวิท และตากสิน-สาทร ซึ่งมีจำนวนการเปิดขายอาคารชุดสูงถึง 4,532 หน่วย หรือประมาณ 69% ของจำนวนหน่วยขายทั้งหมด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ในเดือน ธ.ค.50ที่ผ่านมา มีจำนวนหน่วยขายเพิ่มขึ้น1,432 หน่วย โดยในเดือน ธ.ค.50 มีจำนวนอาคารชุดเปิดขาย 3,100 หน่วย หรือมีหน่วยขายเพิ่ม32% สะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาอาคารชุดค่อนต่อเนื่อง
ส่วนที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนการเปิดขายรองลงมาคือ โครงการทาวน์เฮาส์ ซึ่งมีอยู่ 946 หน่วย หรือประมาณ 14% ส่วนโครงการบ้านเดี่ยวมีจำนวน 760 หน่วย หรือประมาณ 12% ในขณะที่ที่อยู่อาศัยอื่นๆ ยังมีการพัฒนาอยู่ค่อนข้างน้อย คือมีเพียง 359 หน่วย หรือประมาณ 5% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในอาคารชุดตามแนวรถไฟฟ้ายังขยายตัวต่อเนื่อง เพราะผ็บริโภคต้องการหนีปัญหาการจราจร และต้นทุนในการเดินทาง
นายโสภณ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณามูลค่าโครงการโดยรวมจะสูงกว่าเดือน ธ.ค.50ที่ผ่านมาถึง 19% และมีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น เนื่องจากการพัฒนาในเดือนนี้มีจำนวนหน่วยขายที่มีระดับราคา 3-5 ล้านบาทอยู่จำนวนประมาณ 10% และที่ราคาเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไปอีกประมาณ 9% ของหน่วยขายทั้งหมด อีกทั้งยังมีมูลค่าสูงถึง 48% ของมูลค่าทั้งหมด จึงทำให้ราคาขายเฉลี่ยของเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยมีราคาขายเฉลี่ยที่ประมาณ 2.588 ล้านบาทต่อหน่วย ในขณะที่เดือน ธ.ค.50 ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่2.354 ล้านบาทต่อหน่วย
“ ในเดือนม.ค.ไม่มีโครงการใหม่ที่มีราคาต่ำกว่า 5 แสนบาท และระดับราคาที่มีจำนวนหน่วยขายมากที่สุดจะอยู่ที่ระดับราคา 1-2 ล้านบาท โดยหน่วยขาย 2,964 หน่วยหรือประมาณ 45% ของหน่วยขายทั้งหมด ราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวน 1,259 หน่วย หรือประมาณ 19% ราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 644 หน่วยหรือประมาณ 10% ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 9% จะเป็นหน่วยขายที่มีระดับราคาเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไป”
โดยรวมแล้ว พบว่าในมีหน่วยขายที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทมากที่สุด และมีมูลค่ารวมกันสูงถึง 51% ของมูลค่าทั้งหมด คือ 8,866 ล้านบาท จากมูลค่ารวม 17,179 ล้านบาท ส่วนราคา 3-5 ล้านบาทมีมูลค่ารวม14% ของมูลค่าทั้งหมด คือ2,427 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ จะพบว่าเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 6 บริษัท คือ บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) จำนวน 3 โครงการ, บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูล วิจัยและประเมินค่าทรัพย์สิน AREA กล่าวว่า จากผลการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเดือน ม.ค.51 ที่ผ่านมาพบว่ามีการเปิดตัวโครงการใหม่ 23 โครงการ ลดลงจากเดือนธ.ค.50จำนวน3โครงการ โดยเป็นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 22 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วย6,637 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 17,179 ล้านบาท คิดเป็น95% ของจำนวนการเปิดตัวของโครงการใหม่ทั้งหมด ส่วนอีก1 โครงการเป็นโครงการประเภทที่พักอาศัย จำนวน 359 หน่วย คิดเป็น5%
ทั้งนี้ จากจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ดังกล่าวพบว่าจำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนม.ค. เป็นการพัฒนาในประเภทอาคารชุดตากอากาศ และโฮมออฟฟิศ โดยส่วนใหญ่ยังมีการพัฒนาตามแนวรถไฟฟ้า โดยเฉพาะในพื้นที่ย่านพหลโยธิน, พญาไท, รัชดาภิเษก, สุทธิสาร, สุขุมวิท และตากสิน-สาทร ซึ่งมีจำนวนการเปิดขายอาคารชุดสูงถึง 4,532 หน่วย หรือประมาณ 69% ของจำนวนหน่วยขายทั้งหมด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ในเดือน ธ.ค.50ที่ผ่านมา มีจำนวนหน่วยขายเพิ่มขึ้น1,432 หน่วย โดยในเดือน ธ.ค.50 มีจำนวนอาคารชุดเปิดขาย 3,100 หน่วย หรือมีหน่วยขายเพิ่ม32% สะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาอาคารชุดค่อนต่อเนื่อง
ส่วนที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนการเปิดขายรองลงมาคือ โครงการทาวน์เฮาส์ ซึ่งมีอยู่ 946 หน่วย หรือประมาณ 14% ส่วนโครงการบ้านเดี่ยวมีจำนวน 760 หน่วย หรือประมาณ 12% ในขณะที่ที่อยู่อาศัยอื่นๆ ยังมีการพัฒนาอยู่ค่อนข้างน้อย คือมีเพียง 359 หน่วย หรือประมาณ 5% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในอาคารชุดตามแนวรถไฟฟ้ายังขยายตัวต่อเนื่อง เพราะผ็บริโภคต้องการหนีปัญหาการจราจร และต้นทุนในการเดินทาง
นายโสภณ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณามูลค่าโครงการโดยรวมจะสูงกว่าเดือน ธ.ค.50ที่ผ่านมาถึง 19% และมีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น เนื่องจากการพัฒนาในเดือนนี้มีจำนวนหน่วยขายที่มีระดับราคา 3-5 ล้านบาทอยู่จำนวนประมาณ 10% และที่ราคาเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไปอีกประมาณ 9% ของหน่วยขายทั้งหมด อีกทั้งยังมีมูลค่าสูงถึง 48% ของมูลค่าทั้งหมด จึงทำให้ราคาขายเฉลี่ยของเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยมีราคาขายเฉลี่ยที่ประมาณ 2.588 ล้านบาทต่อหน่วย ในขณะที่เดือน ธ.ค.50 ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่2.354 ล้านบาทต่อหน่วย
“ ในเดือนม.ค.ไม่มีโครงการใหม่ที่มีราคาต่ำกว่า 5 แสนบาท และระดับราคาที่มีจำนวนหน่วยขายมากที่สุดจะอยู่ที่ระดับราคา 1-2 ล้านบาท โดยหน่วยขาย 2,964 หน่วยหรือประมาณ 45% ของหน่วยขายทั้งหมด ราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวน 1,259 หน่วย หรือประมาณ 19% ราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 644 หน่วยหรือประมาณ 10% ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 9% จะเป็นหน่วยขายที่มีระดับราคาเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไป”
โดยรวมแล้ว พบว่าในมีหน่วยขายที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทมากที่สุด และมีมูลค่ารวมกันสูงถึง 51% ของมูลค่าทั้งหมด คือ 8,866 ล้านบาท จากมูลค่ารวม 17,179 ล้านบาท ส่วนราคา 3-5 ล้านบาทมีมูลค่ารวม14% ของมูลค่าทั้งหมด คือ2,427 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ จะพบว่าเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 6 บริษัท คือ บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) จำนวน 3 โครงการ, บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)