TFUND ขยายสินทรัพย์ในโครงการ เตรียมซื้อโรงงานเพิ่มเติมจาก "ไทคอน อินดัสเทรียลฯ" มูลค่า 47.41 ล้านบาท หลังก่อนหน้าประกาศตัดขายโรงงานเก่าได้เงินร่วม 55 ล้านบาท เตรียมส่งหนังสือแจ้งผู้ถือหน่วยเพื่อขอมติ 26 ก.พ.นี้ และคาดได้ข้อสรุปภายในวันที่ 17 มี.ค. 51
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) เปิดเผยว่า หลังจากที่เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน ได้จำหน่ายที่ดินพร้อมอาคารโรงงาน SF.M2.2/2-B คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 55 ล้านบาท ให้แก่ Min Aik Technology (Thailand) Company Limited ซึ่งเป็นผู้เช่าของกองทุน ทำให้บริษัทจัดการเห็นสมควรให้นำเงินจากการขายที่ดินพร้อมอาคารโรงงานดังกล่าวไปลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานอุตสาหกรรม หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในโครงการจัดการลงทุนของกองทุนรวม
ดังนั้นบริษัทจัดการจึงเห็นสมควรให้มีหนังสือแจ้งผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อขอมติพิจารณาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม ด้วยการซื้อโรงงานจำนวน 1 โรง ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551 และกำหนดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนลงมติกลับมาภายในวันที่ 14 มีนาคม 2551 ซึ่งบริษัทจัดการจะรวบรวมผลของมติเวียนและแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในวันที่ 17 มีนาคม 2551 โดยเมื่อได้รับมติจากผู้ถือหน่วยลงทุนให้ลงทุนเพิ่มเติมและแก้ไขเพิ่มเติมโครงการแล้ว บริษัทจัดการจะดำเนินการแจ้งแก้ไขเพิ่มเติมโครงการต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป
สำหรับสินทรัพย์ที่กองทุนจะเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมนั้นจะเป็นการซื้อสินทรัพย์จากบมจ. ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น ซึ่งเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมประมาณ 21% (ณ. วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551) และเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองทุน โดยสินทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปลงทุนเป็นที่ดินพร้อมอาคารโรงงาน SF.B2.1/1-H เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 28 ตารางวา พื้นที่โรงงาน 2,450 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ตำบลอุทัย อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในราคาซื้อ 47.41 ล้านบาท
ทั้งนี้คาดว่ากองทุนจะได้รับประโยชน์จากการซื้อสินทรัพย์ ในลักษณะรายได้ค่าเช่า โดย บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ได้อนุมัติรายการดังกล่าวแล้ว เนื่องจากประเมินว่าการซื้อสินทรัพย์ในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มช่องทางที่จะก่อให้เกิดรายได้และผลตอบแทนในรูปเงินปันผลเพิ่มเติมแก่ผู้ถือหน่วย และจะดำเนินการขอมติจากผู้ถือหน่วยลงทุน
นายมาริษ กล่าวต่อว่า บริษัทจัดการจะจัดส่งหนังสือแจ้งผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อขอมติ พร้อมเอกสารประกอบการพิจารณาให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนพร้อมกับการจัดส่งเอกสารดังกล่าวให้แก่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 14 วันล่วงหน้าก่อนวันที่กำหนดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนลงมติดังกล่าว และบริษัทจัดการจึงขอแจ้งวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนเพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหน่วยลงทุนในการลงมติในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าการลงมติดังกล่าวจะแล้วเสร็จ
ก่อนหน้านี้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (กองทุน) เปิดเผยว่า ได้ยื่นข้อสรุปข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไทคอนกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งเป็นที่ดินพร้อมอาคารโรงงานของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 88ตารางวา ราคาขาย 55 ล้าน บาท ให้แก่ Min Aik Technology (Thailand) Company Limited ซึ่งเป็นผู้เช่าของกองทุน โดยได้ทำรายการในวันที่ 31 มกราคม 2551 และรับชำระทั้งจำนวน 55 ล้านบาท ในวันทำสัญญาจะซื้อขายในวันที่ 21 มกราคม 2551
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) เปิดเผยว่า หลังจากที่เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน ได้จำหน่ายที่ดินพร้อมอาคารโรงงาน SF.M2.2/2-B คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 55 ล้านบาท ให้แก่ Min Aik Technology (Thailand) Company Limited ซึ่งเป็นผู้เช่าของกองทุน ทำให้บริษัทจัดการเห็นสมควรให้นำเงินจากการขายที่ดินพร้อมอาคารโรงงานดังกล่าวไปลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานอุตสาหกรรม หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในโครงการจัดการลงทุนของกองทุนรวม
ดังนั้นบริษัทจัดการจึงเห็นสมควรให้มีหนังสือแจ้งผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อขอมติพิจารณาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม ด้วยการซื้อโรงงานจำนวน 1 โรง ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551 และกำหนดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนลงมติกลับมาภายในวันที่ 14 มีนาคม 2551 ซึ่งบริษัทจัดการจะรวบรวมผลของมติเวียนและแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในวันที่ 17 มีนาคม 2551 โดยเมื่อได้รับมติจากผู้ถือหน่วยลงทุนให้ลงทุนเพิ่มเติมและแก้ไขเพิ่มเติมโครงการแล้ว บริษัทจัดการจะดำเนินการแจ้งแก้ไขเพิ่มเติมโครงการต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป
สำหรับสินทรัพย์ที่กองทุนจะเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมนั้นจะเป็นการซื้อสินทรัพย์จากบมจ. ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น ซึ่งเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมประมาณ 21% (ณ. วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551) และเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองทุน โดยสินทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปลงทุนเป็นที่ดินพร้อมอาคารโรงงาน SF.B2.1/1-H เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 28 ตารางวา พื้นที่โรงงาน 2,450 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ตำบลอุทัย อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในราคาซื้อ 47.41 ล้านบาท
ทั้งนี้คาดว่ากองทุนจะได้รับประโยชน์จากการซื้อสินทรัพย์ ในลักษณะรายได้ค่าเช่า โดย บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ได้อนุมัติรายการดังกล่าวแล้ว เนื่องจากประเมินว่าการซื้อสินทรัพย์ในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มช่องทางที่จะก่อให้เกิดรายได้และผลตอบแทนในรูปเงินปันผลเพิ่มเติมแก่ผู้ถือหน่วย และจะดำเนินการขอมติจากผู้ถือหน่วยลงทุน
นายมาริษ กล่าวต่อว่า บริษัทจัดการจะจัดส่งหนังสือแจ้งผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อขอมติ พร้อมเอกสารประกอบการพิจารณาให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนพร้อมกับการจัดส่งเอกสารดังกล่าวให้แก่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 14 วันล่วงหน้าก่อนวันที่กำหนดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนลงมติดังกล่าว และบริษัทจัดการจึงขอแจ้งวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนเพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหน่วยลงทุนในการลงมติในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าการลงมติดังกล่าวจะแล้วเสร็จ
ก่อนหน้านี้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (กองทุน) เปิดเผยว่า ได้ยื่นข้อสรุปข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไทคอนกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งเป็นที่ดินพร้อมอาคารโรงงานของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 88ตารางวา ราคาขาย 55 ล้าน บาท ให้แก่ Min Aik Technology (Thailand) Company Limited ซึ่งเป็นผู้เช่าของกองทุน โดยได้ทำรายการในวันที่ 31 มกราคม 2551 และรับชำระทั้งจำนวน 55 ล้านบาท ในวันทำสัญญาจะซื้อขายในวันที่ 21 มกราคม 2551