นับว่าเรียกเสียงฮือฮากันได้อีกเป็นคำรบสอง เมื่อ สมัคร สุนทรเวช ที่ถูกปรามาสมาตลอดว่าเป็นแค่ “หุ่นเชิด” ออกอาการแปลกๆ มากขึ้น ล่าสุดถึงกับโพล่งออกมากลางวง แถมออกมานอกห้องยังประกาศให้รับรู้ทั่วกันอีก เมื่อทำขึงขังสั่งเบรกเก้าอี้เลขานุการ-กุนซือเทกระโถนเสนาบดีกระทรวงต่างๆในโควตา “พลังแม้ว” เกินกว่าครึ่ง
ทำเอาหัวทิ่มกันไปตามๆ กัน
ยกข้ออ้างสารพัดทำนองผิดฝาผิดตัว มือไม่ถึง คุณสมบัติไม่เข้าท่า ตั้งคำถามให้หัวเสียประเภท “จับยัด” กันมาได้อย่างไรประมาณนี้ แถมมีการยกตัวอย่างให้เห็นเปรียบเทียบเป็นรายๆ อีกต่างหาก
เพิ่มเครดิตให้กับตัวเองได้อีกพะเรอเกวียน
หลังจากก่อนนี้ประเดิมด้วยคำพูดกระชากเรตติ้ง “ครม.ขี้เหร่” เปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์คณะรัฐมนตรีของตัวเองแบบให้เห็นภาพความไม่ได้เรื่องได้ราวของ ฯพณฯท่านบางคน แสดงอาการเหลืออดจนต้องลงมือยำเอง ขอเปลี่ยนแปลง รื้อกระทันหันในนาทีสุดท้าย
แม้ยังไม่แน่ชัดนักว่ามีการแก้ไขสับเปลี่ยนในจำนวน 12 เก้าอี้ดังที่แย้มออกมาให้สังคมรับรู้หรือไม่ เพราะไม่ค่อยมีใครรู้ว่ามีการแก้ไขในตำแหน่งไหนบ้าง
เพราะมีแค่หยิบยกเอาเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยคลัง ในโควตาพรรคเพื่อแผ่นดิน กรณีนางพยาบาล “เมียไพโรจน์ สุวรรณฉวี” มาเป็นตัวอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังผ่านฉลุย ขัดขวางไม่ได้
อย่างไรก็ดี ทั้งสองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ครม.ขี้เหร่ รื้อ 12 เก้าอี้รัฐมนตรี หรือล่าสุดสั่งเบรกเลขา-กุนซือเทกระโถนในโควตาพรรคพลังประชาชนดังกล่าว หลายฝ่ายอาจมองด้วยความสงสัย ไม่สามารถสรุปได้ว่า คนอย่างสมัคร ต้องการอะไรกันแน่
เพราะอย่างที่บอกเอาไว้ก็คือ มันเป็นแค่ “ปลาซิว ปลาสร้อย” เป็นลิ่วล้อระดับปลายแถว หรือถ้าเป็นรัฐมนตรีก็เป็นแค่เกรดซี เกรดดี ไม่ค่อยมีความหมาย
ถ้าพูดให้ตรงเป้าก็คือ มุ่งเน้นเอาเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล ประเภทโจทก์เก่าคู่อาฆาตสมัยก่อสงครามจรยุทธ “งูเห่า” ในอดีต พุ่งปลายหอกไปที่ “อาวัฒน์” วัฒนา อัศวเหม แห่งพรรคเพื่อแผ่นดินมากกว่า
เพราะในความเป็นจริงระดับเกรดเอ สายตรง นายใหญ่-นายหญิง ยังอยู่กันครบ ไม่เห็นกล้าแตะ
และขณะเดียวกันถ้าให้เดาสุ่มอีก ที่ปากบอกว่า บรรดาเลขาฯ-กุนซือประเภทจับยัดอะไรเหล่านี้ เชื่อเถอะรับรองว่าในที่สุดแล้ว ก็ยังอยู่กันเหมือนเดิม ไม่การเปลี่ยนแปลงอีกนั่นแหละ
“ลูกวัน-ลูกเหลิม” ยังอยู่ ใหญ่คับกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการ หรืออีกหลายเก้าอี้ก็ต้องเป็นแบบนี้
หรือถ้าจะมีรายการเปลี่ยนแปลงจริงๆ หวยน่าจะไปออกที่เก้าอี้ที่ปรึกษาหรือกุนซือปลายแถวมากกว่า เพราะคนเหล่านี้ไร้แรงต่อต้าน หรือไม่มีแบ็กให้พิงแข็งแรงพอ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าพิจารณามากว่าก็คือ ต้องมาโฟกัสอาการของ นายกฯสมัคร ทั้งสองครั้งว่ามีจุดประสงค์ใดกันแน่
หลายฝ่ายที่ติดตามเส้นทางมาตลอดวิเคราะห์ไปในทางเดียวกันว่า อาการที่เกิดขึ้นล่าสุดทั้งสองครั้ง มันเป็นแค่อาการ “สลัดภาพหุ่นเชิด” สร้างราคาให้สังคมได้เห็นเท่านั้น
ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าคนอย่าง สมัคร มีความใฝ่ฝันนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาตลอดชีวิต จนกระทั่งถึงกับโยนผ้ากลับไปเลี้ยงแมวอยู่บ้านแล้วเชียว
แต่บังเอิญเมื่อสถานการณ์ฉุกละหุก ถูกดันหลังขึ้นเวทีอีกรอบ จนได้ถึงฝั่งฝันสมใจ และเมื่อได้เป็นแล้ว คิดหรือว่าคนอย่างหมักจะยอมเสียศักดิ์ศรีเป็นแค่หุ่นเชิดไปวันๆ
ยอมรับคำสั่งจาก “คนหน้าเหลี่ยม” แต่เพียงอย่างเดียวกระนั้นหรือ
ทุกคนเชื่อตรงกันว่าเขาต้องใช้ตำแหน่งนายกฯสร้างชื่อไว้ลายก่อนตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสังเกตให้ดี ได้มีความพยายามรุกคืบรักษาดุลอำนาจให้กับตัวเองเพิ่มมากขึ้น
และสังเกตได้ก็คือการแบ่งงานให้กับรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีสำคัญ จะเห็นได้ว่านายกฯได้เข้ามาควบคุมหน่วยงานหลัก ที่สำคัญยิ่งยวดแทบทั้งสิ้น เข้ามากุมกระทรวงยุติธรรม คุมสำนักงบประมาณ เป็นต้น
สามารถกำหนดอนาคตชี้เป็นชี้ตายสำหรับ “คนบางคน” ได้อย่างดี
แม้ว่าในเบื้องต้นยอมให้ “น้องเขยแม้ว” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นั่งเก้าอี้รองนายกฯ อันดับ 1 สามารถรอเสียบผู้นำในฐานะนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะประชุมคณะรัฐมนตรีในช่วงที่เขาไม่อยู่ หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยกรณีใดก็ตาม
ถูกมองว่าเข้ามาบล็อก หรือ “ประกบ” คอยเป็นนายกฯเงา ไม่ให้เขาทำอะไรได้ตามใจมากนัก เข้าลักษณะประกันความชัวร์ไว้อีกชั้นหนึ่ง
แต่ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า ไม่ว่าจะเข้ามาซ้อน หรือทำอะไรก็ตาม ก็ไม่อาจจะทำได้มากนัก เพราะตามระเบียบการบริหารราชการอำนาจสูงสุดขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีนั่นเอง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าถ้าพิจารณาตามแนวโน้มแล้วน่าจะไปทางนั้น แต่มาถึงนาทีนี้ ถ้าจับอาการของ สมัคร สุนทรเวช ที่ต้องการรื้อโผรายชื่อเลขานุการ-ที่ปรึกษารัฐมนตรีในโควตาพรรคพลังประชาชนจำนวนกว่าครึ่ง นั้นเชื่อเถอะ พอเอาเข้าจริงก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้เลย หรือถ้ารื้อก็คงเป็นแค่ระดับปลายแถว ประเภทไร้กลุ่มขาดพลังต่อรอง พุ่งเป้าไปที่ตำแหน่งที่ปรึกษามากกว่า ดังที่ประเมินเอาไว้ข้างต้น
เพราะรู้ดีว่าตำแหน่งประเภทนี้ ไม่มีพาวเวอร์ ไร้ปากเสียง ต่อรองอะไรไม่ได้
พฤติกรรมของ สมัคร เที่ยวนี้จึงไม่น่าแตกต่างไปจากกรณีที่ประกาศรื้อ ครม.ขี้เหร่ 12 ตำแหน่ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ไม่ยังกล้าทำอะไรผลีผลาม
และถ้าให้หยั่งท่าทีแบบรู้ทัน เชื่อว่า สมัคร น่าจะต้องเล่นบทหลีกหนีภาพยี่ห้อนายกฯหุ่นเชิด สร้างเครดิตให้กับตัวเองแค่นั้นเอง
ขณะเดียวกัน ถ้าถามว่าเวลานี้หากพิจารณาด้วยปัจจัย และความพร้อมรอบด้านแล้ว ไม่ว่าใครก็มองออกว่าเขายังไม่พร้อมจะแตกหัก หรือต่อรองอะไรมากนัก แม้ว่าจะมีอำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีอยู่ในมือก็ตาม
เพราะยังต้องพึ่งพาเสียง ส.ส.ในสภาเป็นแรงหนุน อีกทั้งหากเผยท่าทีออกมามากนัก อาจเกิดแรงกระเพื่อมภายในจนไม่เป็นผลดีต่อเก้าอี้ที่ตัวเองใฝ่ฝันมาชั่วชีวิต
ดังนั้นเมื่อได้มาแล้วก็ต้องนั่งให้นานที่สุด และที่สำคัญต้องสร้างชื่อเสียงบันทึกไว้เป็นเกียรติให้ปรากฎในทำเนียบอดีตนายกรัฐมนตรีหลังจากพ้นจากตำแหน่งไปแล้วให้ได้
อย่างไรก็ดี นั่นเป็นการหยั่งดูอาการในภาพรวมทั้งหมดของ สมัคร สุนทรเวช ว่าพยายามทำทุกทางเพื่อดิ้นรนให้หลุดพ้นจากสภาพของ “หุ่นเชิด”
แต่จะทำได้แค่ไหน หรือจะเป็นการเร่งเกมให้ตัวเองต้องก้าวลงจากตำแหน่งนายกฯเร็วขึ้น เนื่องจากการแสดงท่าทีเป็นตัวของตัวเองยิ่งสร้างความระแวง และความไม่พอใจกับเจ้าของพรรคที่แท้จริง รวมทั้งบรรดากลุ่มก๊วนต่างๆในพรรค ซึ่งหลายคนก็เคยอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันมานาน
โดยเฉพาะกลุ่มกรุงเทพฯ ของ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ขับเคี่ยวฟาดฟันกันมาตั้งแต่พรรคพลังธรรม จนกระทั่งมาถึงยุคเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เมื่อหลายปีก่อน ที่ สุดารัตน์ ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
หลายเรื่องยังรอคิดบัญชีกันอยู่
แต่เมื่อพิจารณาทุกมุมแล้วพอสรุปว่า ยังไม่มีใครกล้าแตกหัก ต่างฝ่ายยังต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ ไม่มีใครอยากป่วนจนล้มครืนก่อนกำหนดหรอก เว้นแต่มีรายการผิดคิวจนเกิดอุบัติเหตุ “ปากพาจน” เช่น กรณีบิดเบือนเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 หรือ เกิดเหตุทำนองนี้อีกจนลุกลามควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ช่วยไม่ได้
ทำเอาหัวทิ่มกันไปตามๆ กัน
ยกข้ออ้างสารพัดทำนองผิดฝาผิดตัว มือไม่ถึง คุณสมบัติไม่เข้าท่า ตั้งคำถามให้หัวเสียประเภท “จับยัด” กันมาได้อย่างไรประมาณนี้ แถมมีการยกตัวอย่างให้เห็นเปรียบเทียบเป็นรายๆ อีกต่างหาก
เพิ่มเครดิตให้กับตัวเองได้อีกพะเรอเกวียน
หลังจากก่อนนี้ประเดิมด้วยคำพูดกระชากเรตติ้ง “ครม.ขี้เหร่” เปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์คณะรัฐมนตรีของตัวเองแบบให้เห็นภาพความไม่ได้เรื่องได้ราวของ ฯพณฯท่านบางคน แสดงอาการเหลืออดจนต้องลงมือยำเอง ขอเปลี่ยนแปลง รื้อกระทันหันในนาทีสุดท้าย
แม้ยังไม่แน่ชัดนักว่ามีการแก้ไขสับเปลี่ยนในจำนวน 12 เก้าอี้ดังที่แย้มออกมาให้สังคมรับรู้หรือไม่ เพราะไม่ค่อยมีใครรู้ว่ามีการแก้ไขในตำแหน่งไหนบ้าง
เพราะมีแค่หยิบยกเอาเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยคลัง ในโควตาพรรคเพื่อแผ่นดิน กรณีนางพยาบาล “เมียไพโรจน์ สุวรรณฉวี” มาเป็นตัวอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังผ่านฉลุย ขัดขวางไม่ได้
อย่างไรก็ดี ทั้งสองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ครม.ขี้เหร่ รื้อ 12 เก้าอี้รัฐมนตรี หรือล่าสุดสั่งเบรกเลขา-กุนซือเทกระโถนในโควตาพรรคพลังประชาชนดังกล่าว หลายฝ่ายอาจมองด้วยความสงสัย ไม่สามารถสรุปได้ว่า คนอย่างสมัคร ต้องการอะไรกันแน่
เพราะอย่างที่บอกเอาไว้ก็คือ มันเป็นแค่ “ปลาซิว ปลาสร้อย” เป็นลิ่วล้อระดับปลายแถว หรือถ้าเป็นรัฐมนตรีก็เป็นแค่เกรดซี เกรดดี ไม่ค่อยมีความหมาย
ถ้าพูดให้ตรงเป้าก็คือ มุ่งเน้นเอาเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล ประเภทโจทก์เก่าคู่อาฆาตสมัยก่อสงครามจรยุทธ “งูเห่า” ในอดีต พุ่งปลายหอกไปที่ “อาวัฒน์” วัฒนา อัศวเหม แห่งพรรคเพื่อแผ่นดินมากกว่า
เพราะในความเป็นจริงระดับเกรดเอ สายตรง นายใหญ่-นายหญิง ยังอยู่กันครบ ไม่เห็นกล้าแตะ
และขณะเดียวกันถ้าให้เดาสุ่มอีก ที่ปากบอกว่า บรรดาเลขาฯ-กุนซือประเภทจับยัดอะไรเหล่านี้ เชื่อเถอะรับรองว่าในที่สุดแล้ว ก็ยังอยู่กันเหมือนเดิม ไม่การเปลี่ยนแปลงอีกนั่นแหละ
“ลูกวัน-ลูกเหลิม” ยังอยู่ ใหญ่คับกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการ หรืออีกหลายเก้าอี้ก็ต้องเป็นแบบนี้
หรือถ้าจะมีรายการเปลี่ยนแปลงจริงๆ หวยน่าจะไปออกที่เก้าอี้ที่ปรึกษาหรือกุนซือปลายแถวมากกว่า เพราะคนเหล่านี้ไร้แรงต่อต้าน หรือไม่มีแบ็กให้พิงแข็งแรงพอ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าพิจารณามากว่าก็คือ ต้องมาโฟกัสอาการของ นายกฯสมัคร ทั้งสองครั้งว่ามีจุดประสงค์ใดกันแน่
หลายฝ่ายที่ติดตามเส้นทางมาตลอดวิเคราะห์ไปในทางเดียวกันว่า อาการที่เกิดขึ้นล่าสุดทั้งสองครั้ง มันเป็นแค่อาการ “สลัดภาพหุ่นเชิด” สร้างราคาให้สังคมได้เห็นเท่านั้น
ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าคนอย่าง สมัคร มีความใฝ่ฝันนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาตลอดชีวิต จนกระทั่งถึงกับโยนผ้ากลับไปเลี้ยงแมวอยู่บ้านแล้วเชียว
แต่บังเอิญเมื่อสถานการณ์ฉุกละหุก ถูกดันหลังขึ้นเวทีอีกรอบ จนได้ถึงฝั่งฝันสมใจ และเมื่อได้เป็นแล้ว คิดหรือว่าคนอย่างหมักจะยอมเสียศักดิ์ศรีเป็นแค่หุ่นเชิดไปวันๆ
ยอมรับคำสั่งจาก “คนหน้าเหลี่ยม” แต่เพียงอย่างเดียวกระนั้นหรือ
ทุกคนเชื่อตรงกันว่าเขาต้องใช้ตำแหน่งนายกฯสร้างชื่อไว้ลายก่อนตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสังเกตให้ดี ได้มีความพยายามรุกคืบรักษาดุลอำนาจให้กับตัวเองเพิ่มมากขึ้น
และสังเกตได้ก็คือการแบ่งงานให้กับรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีสำคัญ จะเห็นได้ว่านายกฯได้เข้ามาควบคุมหน่วยงานหลัก ที่สำคัญยิ่งยวดแทบทั้งสิ้น เข้ามากุมกระทรวงยุติธรรม คุมสำนักงบประมาณ เป็นต้น
สามารถกำหนดอนาคตชี้เป็นชี้ตายสำหรับ “คนบางคน” ได้อย่างดี
แม้ว่าในเบื้องต้นยอมให้ “น้องเขยแม้ว” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นั่งเก้าอี้รองนายกฯ อันดับ 1 สามารถรอเสียบผู้นำในฐานะนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะประชุมคณะรัฐมนตรีในช่วงที่เขาไม่อยู่ หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยกรณีใดก็ตาม
ถูกมองว่าเข้ามาบล็อก หรือ “ประกบ” คอยเป็นนายกฯเงา ไม่ให้เขาทำอะไรได้ตามใจมากนัก เข้าลักษณะประกันความชัวร์ไว้อีกชั้นหนึ่ง
แต่ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า ไม่ว่าจะเข้ามาซ้อน หรือทำอะไรก็ตาม ก็ไม่อาจจะทำได้มากนัก เพราะตามระเบียบการบริหารราชการอำนาจสูงสุดขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีนั่นเอง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าถ้าพิจารณาตามแนวโน้มแล้วน่าจะไปทางนั้น แต่มาถึงนาทีนี้ ถ้าจับอาการของ สมัคร สุนทรเวช ที่ต้องการรื้อโผรายชื่อเลขานุการ-ที่ปรึกษารัฐมนตรีในโควตาพรรคพลังประชาชนจำนวนกว่าครึ่ง นั้นเชื่อเถอะ พอเอาเข้าจริงก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้เลย หรือถ้ารื้อก็คงเป็นแค่ระดับปลายแถว ประเภทไร้กลุ่มขาดพลังต่อรอง พุ่งเป้าไปที่ตำแหน่งที่ปรึกษามากกว่า ดังที่ประเมินเอาไว้ข้างต้น
เพราะรู้ดีว่าตำแหน่งประเภทนี้ ไม่มีพาวเวอร์ ไร้ปากเสียง ต่อรองอะไรไม่ได้
พฤติกรรมของ สมัคร เที่ยวนี้จึงไม่น่าแตกต่างไปจากกรณีที่ประกาศรื้อ ครม.ขี้เหร่ 12 ตำแหน่ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ไม่ยังกล้าทำอะไรผลีผลาม
และถ้าให้หยั่งท่าทีแบบรู้ทัน เชื่อว่า สมัคร น่าจะต้องเล่นบทหลีกหนีภาพยี่ห้อนายกฯหุ่นเชิด สร้างเครดิตให้กับตัวเองแค่นั้นเอง
ขณะเดียวกัน ถ้าถามว่าเวลานี้หากพิจารณาด้วยปัจจัย และความพร้อมรอบด้านแล้ว ไม่ว่าใครก็มองออกว่าเขายังไม่พร้อมจะแตกหัก หรือต่อรองอะไรมากนัก แม้ว่าจะมีอำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีอยู่ในมือก็ตาม
เพราะยังต้องพึ่งพาเสียง ส.ส.ในสภาเป็นแรงหนุน อีกทั้งหากเผยท่าทีออกมามากนัก อาจเกิดแรงกระเพื่อมภายในจนไม่เป็นผลดีต่อเก้าอี้ที่ตัวเองใฝ่ฝันมาชั่วชีวิต
ดังนั้นเมื่อได้มาแล้วก็ต้องนั่งให้นานที่สุด และที่สำคัญต้องสร้างชื่อเสียงบันทึกไว้เป็นเกียรติให้ปรากฎในทำเนียบอดีตนายกรัฐมนตรีหลังจากพ้นจากตำแหน่งไปแล้วให้ได้
อย่างไรก็ดี นั่นเป็นการหยั่งดูอาการในภาพรวมทั้งหมดของ สมัคร สุนทรเวช ว่าพยายามทำทุกทางเพื่อดิ้นรนให้หลุดพ้นจากสภาพของ “หุ่นเชิด”
แต่จะทำได้แค่ไหน หรือจะเป็นการเร่งเกมให้ตัวเองต้องก้าวลงจากตำแหน่งนายกฯเร็วขึ้น เนื่องจากการแสดงท่าทีเป็นตัวของตัวเองยิ่งสร้างความระแวง และความไม่พอใจกับเจ้าของพรรคที่แท้จริง รวมทั้งบรรดากลุ่มก๊วนต่างๆในพรรค ซึ่งหลายคนก็เคยอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันมานาน
โดยเฉพาะกลุ่มกรุงเทพฯ ของ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ขับเคี่ยวฟาดฟันกันมาตั้งแต่พรรคพลังธรรม จนกระทั่งมาถึงยุคเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เมื่อหลายปีก่อน ที่ สุดารัตน์ ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
หลายเรื่องยังรอคิดบัญชีกันอยู่
แต่เมื่อพิจารณาทุกมุมแล้วพอสรุปว่า ยังไม่มีใครกล้าแตกหัก ต่างฝ่ายยังต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ ไม่มีใครอยากป่วนจนล้มครืนก่อนกำหนดหรอก เว้นแต่มีรายการผิดคิวจนเกิดอุบัติเหตุ “ปากพาจน” เช่น กรณีบิดเบือนเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 หรือ เกิดเหตุทำนองนี้อีกจนลุกลามควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ช่วยไม่ได้