ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (15 ก.พ.) นาย นาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ได้เรียกกรรมการคตส.ประชุมนัดพิเศษตั้งแต่ เวลา 11.00น.-16.00น. รวม 5 ชั่วโมงเพื่อหารือถึงกรณีที่นาย วัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด (รอง อสส.) ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างรุนแรงในการทำงานของ คตส. หลังจากที่คตส.ได้ทำหนังสือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อขอสำเนาสำนวนคดีการออกสลากพิเศษเลขท้าย2-3 ตัว (หวยบนดิน) คืน และขอทราบข้อเท็จจริงในการมอบอำนาจของนายชัยเกษม นิติศิริ อัยการสูงสุดให้นายวัยวุฒิป ฏิบัติราชการแทน
นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคตส.แถลงภายหลังการประชุมว่า คตส.ยังไม่สามารถมีมติให้ความเห็นในกรณีดังกล่าวได้ เนื่องจากการประชุมคตส.เมื่อวันที่ 15 ก.พ. มีกรรมการมาประชุมคตส.เพียง 7 คน เพราะมีกรรมการคตส.หลายคน ติดภารกิจ โดยขาดนายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการคตส. นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการ คตส. และ นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการคตส.
ดังนั้น ในวันที่ 18ก.พ.นี้ คตส.จะมีความชัดเจนในเรื่องนี้พร้อมกับหารือว่า การอออกมาให้ความเห็นดังกล่าวนั้นเป็นการทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คตส.ยังยืนยันว่า หากไม่ได้แจ้งและส่งเอกสารเกี่ยวกับการมอบอำนาจ ให้รองอัยการสูงสุดมาให้ คตส.จะถือว่าการลงนามในหนังสือของรองอัยการสูงสุดนั้นเป็นความเห็นและการดำเนินการของอัยการสูงสุด และถ้าข้อเท็จจริงในการปฎิบัติราชการแทนไม่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นผลให้การดำเนินคดีต้องบกพร่องจะเป็นความรับผิดชอบของอัยการสูงสุด เช่นเดียวกับการขอสำเนาสำนวนคดีหวยบนดินคืนต่อศาลด้วย เพราะหากความลับในสำนวนถูกเปิดเผยสำนักงานอัยการสูงสุดต้องรับผิดชอบ
ด้านนายอุดม เฟื่องฟุ้ง คตส.กล่าวว่า การพิจารณาสำนวนเพื่อสั่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอาจต้องเลื่อนออกไปเป็นเดือนมีนาคมแทนจากเดิมที่มีการกำหนดเอาไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนกรณีของ นายวัยวุฒิส่วนตัวไม่อยากออกมาตอบโต้อะไรเพราะเห็นความเห็นของนายวัยวุฒิเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับนาย ชัยเกษม นิติศิริ อัยการสูงสุด
นาย บรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการคตส. กล่าวว่า ในที่ประชุมคตส.ได้หารือกันในหลักของกฎหมายเป็นหลัก ซึ่งก็ยืนยันว่ากฎหมายมี 2 ระบบ คือ ระบบพนักงานสอบสวน และระบบของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งยืนยันคตส.สามารถตั้งทนายความฟ้องเองได้ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในกรณีที่อัยการสูงสุดเห็นไม่สั่งฟ้องคดีต่อศาล
“ทั้งนี้ที่ประชุมคตส.แสดงความเห็นห่วงอัยการสูงสุดว่า หากตีความเช่นนี้จะเกิดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของอัยการสูงสุด รวมไปถึงเป็นห่วง ความไม่สอดคล้องในข้อกฎหมายที่จะเกิดขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามการทำงานคตส. ทำเพื่อผลประโยชน์ของแผ่นดิน เพราะถ้าหาทางออกไม่ได้ก็จะเกิดผลกระทบทั้งหมด เพราะคตส.อยากให้มีสะพานเชื่อมไปถึงศาล” นายบรรเจิด กล่าว
แหล่งข่าวคตส. กล่าวว่า การประชุมคตส.ครั้งนี้ได้มีการเชิญผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุดมาชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับคตส.ต่อเรื่องดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมคตส.แสดงความห่วงใยไปทางอัยการสูงสุดโดยคตส.ยืนยันในที่ประชุมคตส.ต่อหน้าผู้แทนจากอัยการสูงสุดว่า ไม่ต้องการให้ทั้ง 2 องค์กรเกิดความขัดแย้งกัน และไม่อยากให้สังคมมองในแง่ลบ ขณะเดียวกัน หากคตส.เอาคดีนี้ มาฟ้องเองเกรงว่าจะทำให้อัยการสูงสุดเกิดความเสียหาย เพราะมีหน้าที่แต่ไม่ทำตามหน้าที่
นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคตส.แถลงภายหลังการประชุมว่า คตส.ยังไม่สามารถมีมติให้ความเห็นในกรณีดังกล่าวได้ เนื่องจากการประชุมคตส.เมื่อวันที่ 15 ก.พ. มีกรรมการมาประชุมคตส.เพียง 7 คน เพราะมีกรรมการคตส.หลายคน ติดภารกิจ โดยขาดนายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการคตส. นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการ คตส. และ นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการคตส.
ดังนั้น ในวันที่ 18ก.พ.นี้ คตส.จะมีความชัดเจนในเรื่องนี้พร้อมกับหารือว่า การอออกมาให้ความเห็นดังกล่าวนั้นเป็นการทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คตส.ยังยืนยันว่า หากไม่ได้แจ้งและส่งเอกสารเกี่ยวกับการมอบอำนาจ ให้รองอัยการสูงสุดมาให้ คตส.จะถือว่าการลงนามในหนังสือของรองอัยการสูงสุดนั้นเป็นความเห็นและการดำเนินการของอัยการสูงสุด และถ้าข้อเท็จจริงในการปฎิบัติราชการแทนไม่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นผลให้การดำเนินคดีต้องบกพร่องจะเป็นความรับผิดชอบของอัยการสูงสุด เช่นเดียวกับการขอสำเนาสำนวนคดีหวยบนดินคืนต่อศาลด้วย เพราะหากความลับในสำนวนถูกเปิดเผยสำนักงานอัยการสูงสุดต้องรับผิดชอบ
ด้านนายอุดม เฟื่องฟุ้ง คตส.กล่าวว่า การพิจารณาสำนวนเพื่อสั่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอาจต้องเลื่อนออกไปเป็นเดือนมีนาคมแทนจากเดิมที่มีการกำหนดเอาไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนกรณีของ นายวัยวุฒิส่วนตัวไม่อยากออกมาตอบโต้อะไรเพราะเห็นความเห็นของนายวัยวุฒิเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับนาย ชัยเกษม นิติศิริ อัยการสูงสุด
นาย บรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการคตส. กล่าวว่า ในที่ประชุมคตส.ได้หารือกันในหลักของกฎหมายเป็นหลัก ซึ่งก็ยืนยันว่ากฎหมายมี 2 ระบบ คือ ระบบพนักงานสอบสวน และระบบของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งยืนยันคตส.สามารถตั้งทนายความฟ้องเองได้ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในกรณีที่อัยการสูงสุดเห็นไม่สั่งฟ้องคดีต่อศาล
“ทั้งนี้ที่ประชุมคตส.แสดงความเห็นห่วงอัยการสูงสุดว่า หากตีความเช่นนี้จะเกิดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของอัยการสูงสุด รวมไปถึงเป็นห่วง ความไม่สอดคล้องในข้อกฎหมายที่จะเกิดขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามการทำงานคตส. ทำเพื่อผลประโยชน์ของแผ่นดิน เพราะถ้าหาทางออกไม่ได้ก็จะเกิดผลกระทบทั้งหมด เพราะคตส.อยากให้มีสะพานเชื่อมไปถึงศาล” นายบรรเจิด กล่าว
แหล่งข่าวคตส. กล่าวว่า การประชุมคตส.ครั้งนี้ได้มีการเชิญผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุดมาชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับคตส.ต่อเรื่องดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมคตส.แสดงความห่วงใยไปทางอัยการสูงสุดโดยคตส.ยืนยันในที่ประชุมคตส.ต่อหน้าผู้แทนจากอัยการสูงสุดว่า ไม่ต้องการให้ทั้ง 2 องค์กรเกิดความขัดแย้งกัน และไม่อยากให้สังคมมองในแง่ลบ ขณะเดียวกัน หากคตส.เอาคดีนี้ มาฟ้องเองเกรงว่าจะทำให้อัยการสูงสุดเกิดความเสียหาย เพราะมีหน้าที่แต่ไม่ทำตามหน้าที่