วานนี้ ( 11 ก.พ) ว่าที่ พ.ต.นิพนธ์ ซิ้มประยูร ทนายความ ได้ยื่นคำร้องคัดค้าน การดำรงตำแหน่งส.ส. และรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ต่อกกต. โดยขอให้กกต.มีความเห็นสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง พร้อมส่งเรื่องไปยังศาลฎีกา และให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ว่าที่ พ.ต.นิพนธ์ ระบุว่าเนื่องจากนายสมัคร เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ว.เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 49 และได้รับการเลือกตั้งให้เป็นส.ว. กทม. และผ่านการรับรองจาก กกต.แล้ว จึงถือว่าสมาชิกภาพการเป็นส.ว.ของนายสมัคร สิ้นสุดลงแล้วยังไม่เกิน 2 ปี และยังต้องคำพิพากษาให้จำคุกในคดีอาญา ฐานหมิ่นประมาท ที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง จึงเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิสมัครเป็นส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 102 (10) และ(5) ตามลำดับ
"การที่นายสมัคร เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกนั้น แม้ว่าคดีความจะยังไม่ถึงที่สุด หรือศาลจะรอการลงโทษ หรือรอการกำหนดโทษ หรือยังไม่ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาจริงๆ นายสมัคร ก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ตามมาตรา 102 (5) ตอนแรก หรือถ้ามีการจำคุกตามคำพิพากษา ก็ต้องพ้นโทษมาแล้วถึง 5 ปี ในวันเลือกตั้ง ส.ส. และตอนท้ายของมาตรา 102(5) ที่เป็นข้อยกเว้นนั้น ก็ไม่เข้าข่ายข้อยกเว้นที่เป็นความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษแต่อย่างใด"
นอกจากนี้ การที่นายสมัคร เคยเป็นส.ว. และเคยต้องคำพิพากษาจำคุก ยังทำให้นายสมัคร เป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ที่รัฐธรรมนูญมาตรา 174 (5) และ(6) ดังนั้นจึงถือว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายสมัคร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เพราะมีลักษณะต้องห้ามที่เป็นไปตามมาตรา 182 (5)ของรัฐธรรมนูญ ซึ่ง 182 วรรค 3 กำหนดให้ กกต.เป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ส่วนที่อ้างว่าบทเฉพาะ กาลมาตรา 296วรรค 3 ยกเว้นมิให้นำ มาตรา 174(5) (6) และมาตรา 182(5) รวมถึง มาตรา102(5) (10) ก็ต้องระบุไว้ให้ชัดเจน แต่กรณีดังกล่าวกฎหมายมิได้บัญญัติไว้แต่อย่างใด จึงต้องพิจารณารัฐธรรมนูญ หมวด 9 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้บัญญัติไว้โดยชัดเจนแล้ว
"จึงขอให้กกต.ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจ และหน้าที่ตามบทบัญญัติของกฎหมาย ส่งเรื่องความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย และส่งเรื่องการเพิกถอนการดำรงตำแหน่งส.ส.ของนายสมัครไปให้ศาลฎีกาโดยด่วนที่สุดภายใน 3 วัน นับจากวันนี้ รวมทั้งยื่นขอให้ศาลฯ มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของนายสมัครไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัย"
ทั้งนี้ ว่าที่ พ.ต.นิพนธ์ ระบุว่าเนื่องจากนายสมัคร เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ว.เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 49 และได้รับการเลือกตั้งให้เป็นส.ว. กทม. และผ่านการรับรองจาก กกต.แล้ว จึงถือว่าสมาชิกภาพการเป็นส.ว.ของนายสมัคร สิ้นสุดลงแล้วยังไม่เกิน 2 ปี และยังต้องคำพิพากษาให้จำคุกในคดีอาญา ฐานหมิ่นประมาท ที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง จึงเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิสมัครเป็นส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 102 (10) และ(5) ตามลำดับ
"การที่นายสมัคร เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกนั้น แม้ว่าคดีความจะยังไม่ถึงที่สุด หรือศาลจะรอการลงโทษ หรือรอการกำหนดโทษ หรือยังไม่ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาจริงๆ นายสมัคร ก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ตามมาตรา 102 (5) ตอนแรก หรือถ้ามีการจำคุกตามคำพิพากษา ก็ต้องพ้นโทษมาแล้วถึง 5 ปี ในวันเลือกตั้ง ส.ส. และตอนท้ายของมาตรา 102(5) ที่เป็นข้อยกเว้นนั้น ก็ไม่เข้าข่ายข้อยกเว้นที่เป็นความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษแต่อย่างใด"
นอกจากนี้ การที่นายสมัคร เคยเป็นส.ว. และเคยต้องคำพิพากษาจำคุก ยังทำให้นายสมัคร เป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ที่รัฐธรรมนูญมาตรา 174 (5) และ(6) ดังนั้นจึงถือว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายสมัคร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เพราะมีลักษณะต้องห้ามที่เป็นไปตามมาตรา 182 (5)ของรัฐธรรมนูญ ซึ่ง 182 วรรค 3 กำหนดให้ กกต.เป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ส่วนที่อ้างว่าบทเฉพาะ กาลมาตรา 296วรรค 3 ยกเว้นมิให้นำ มาตรา 174(5) (6) และมาตรา 182(5) รวมถึง มาตรา102(5) (10) ก็ต้องระบุไว้ให้ชัดเจน แต่กรณีดังกล่าวกฎหมายมิได้บัญญัติไว้แต่อย่างใด จึงต้องพิจารณารัฐธรรมนูญ หมวด 9 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้บัญญัติไว้โดยชัดเจนแล้ว
"จึงขอให้กกต.ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจ และหน้าที่ตามบทบัญญัติของกฎหมาย ส่งเรื่องความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย และส่งเรื่องการเพิกถอนการดำรงตำแหน่งส.ส.ของนายสมัครไปให้ศาลฎีกาโดยด่วนที่สุดภายใน 3 วัน นับจากวันนี้ รวมทั้งยื่นขอให้ศาลฯ มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของนายสมัครไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัย"