ผู้จัดการรายวัน – จากความนิยมตลาดน้ำอัมพวา จ.สมุทรสงคราม ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ส่งให้เกิดธุรกิจต่อเนื่องตามมามากมาย รวมถึงธุรกิจบริการห้องพักทั้งในรูปแบบโฮมสเตย์ รีสอร์ท และโรงแรม ซึ่งแต่ละแห่งล้วนมีเสน่ห์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป
อย่างในรายของ “เรือนปณาลี รีสอร์ท” ใน ต.บางกุ้ง อ.คนที จ.สมุทรสงคราม เจ้าของ คือ “ชโลทัย คุ้มทรัพย์” วัย 41 ปี นำที่ดินผืนกำเนิด และอาศัยจนเติบใหญ่ พัฒนาเป็นรีสอร์ทน้องใหม่ ในบรรยากาศร่มรื่นท่ามกลางสวนผลไม้ติดแม่น้ำแม่กลอง พร้อมบริการห้องพัก กับสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับพรีเมี่ยม
ชโลทัย เล่าแรงบันดาลใจว่า ตั้งแต่เรียนจบก็ไปใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือน ฝ่ายการตลาดในกรุงเทพฯ นานกว่า 15 ปี ตลอดเวลาคิดอยู่เสมอว่า อยากกลับมาทำงานและใช้ชีวิตที่บ้านเกิดตัวเอง จนตลาดน้ำอัมพวากลับมาได้รับความนิยม จึงมองเห็นโอกาสจะพัฒนาพื้นที่บ้าน และสวนผลไม้ของครอบครัวให้เป็นรีสอร์ทตามที่ฝันไว้
“ส่วนตัวแล้ว เวลากลับดิฉันมาอยู่บ้าน ก็จะมีความสุขมาก ไม่อยากกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ หรือพาเพื่อนๆ มาเที่ยว ทุกคนก็จะชื่นชอบบรรยากาศ และอยากกลับมาเที่ยวอีก ยิ่งทำให้เราอยากจะพัฒนาบ้านและสวนของเราให้เป็นสถานที่พักผ่อนซึ่งใครมาแล้วก็มีความสุข ยิ่งตลาดอัมพวากลับมาได้รับความนิยม ทำให้เราเห็นโอกาสชัดเจนขึ้น เลยเริ่มวางโครงการมากว่า 1 ปี พอแผนสมบูรณ์ก็ลาออกจากงานประจำ มาทำธุรกิจนี้อย่างเต็มตัว” ชโลทัย เผย
“เรือนปณาลี รีสอร์ท” ชื่อนี้สื่อถึงบรรยากาศบ้านที่อยู่ติดกับแม่น้ำ โดยเลือกจะวางตำแหน่งให้เป็นรีสอร์ทเกรดบน รองรับลูกค้าระดับบีบวกขึ้นไป เช่น กลุ่มครอบครัวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ กลุ่มสัมมนาเล็กๆ สำหรับผู้บริหาร หรือนักศึกษาปริญญาโทมารวมกลุ่มทำวิทยานิพนธ์ เป็นต้น
ชโลทัยให้เหตุผลว่า การเลือกวางตำแหน่งเช่นนี้ จะเป็นการคัดกรอกผู้เข้าพักไปในตัว เนื่องจากอยากได้แขกที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติอันเงียบสงบและร่มรื่นจริงๆ ไม่ยึดติดกับแสงสีและความบันเทิง
จุดเด่นของ “เรือนปณาลี รีสอร์ท” อยู่ที่ทำเลด้านหนึ่งติดกับแม่น้ำแม่กลอง อีกด้านติดกับสวนผลไม้ผสม อายุเป็นร้อยปี มีทั้งลิ้นจี้ ส้ม ขนุนฯลฯ ซึ่งเป็นของครอบครัวเอง ดังนั้น แขกที่เข้าพักจะมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านสวนมากกว่าพักในรีสอร์ท รวมถึง ยังได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวสวนแท้ๆ อีกด้วย
นอกจากนั้น ประสานกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวอื่นๆ ภายใน จ.สมุทรสงคราม จัดกิจกรรมเสริม เช่น ล่องเรือเที่ยวตลาดน้ำดำเนินสะดวก ตลาดน้ำอัมพวา ขี่จักรยานไหว้พระ 9 วัด ปลูกป่าชายเลน ท่องเที่ยวเชิงเกษตร เป็นต้น
ชโลทัย เล่าต่อว่า รีสอร์ทแห่งนี้ มีพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ ถ้ารวมพื้นที่สวนผลไม้ด้วย ประมาณ 20 ไร่ ใช้งบลงทุนในการปรับปรุงทัศนีย์ภาพ และก่อสร้างอาคารห้องพัก กว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นทุนส่วนตัว และอีกส่วนได้รับสินเชื่อจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เริ่มเปิดบริการให้พักเป็นบางส่วนเมื่อต้นปี (2551) ที่ผ่านมา ส่วนโครงการสมบูรณ์แบบนั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางปีนี้ ซึ่งจะมีบ้านพักทั้งหมด 5 หลัง แบ่งเป็น 15 ห้องพัก มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น สระว่ายน้ำ ศาลาบริการนวดสปา เป็นต้น รองรับแขกได้ 30-45 คน ราคาค่าพัก 2,000 – 4,000 บาทต่อคืน
ผลตอบรับ ที่ผ่านมายังไม่ได้ทำประชาสัมพันธ์ใดๆ จริงจัง แค่อาศัยบอกต่อกันในหมู่เพื่อนฝูงคนใกล้ชิดให้ลองมาพัก หลังจากนั้น แขกก็จะไปบอกต่อกันเอง จนมียอดจองห้องเต็มทุกสุดสัปดาห์ไปถึงเดือนกุมภาพันธ์แล้ว
เธอ เล่าด้วยว่า แม้ทุกวันนี้ ธุรกิจห้องพักรีสอร์ท และโรงแรมใน จ.สมุทรสงคราม จะเกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก ทว่า ไม่เกิดปัญหาแย่งลูกค้ากันเอง เพราะรู้ดีว่า ถ้าแข่งกันตัดราคา สุดท้ายจะได้ผลเสียกันเอง ดังนั้น ผู้ประกอบการพยายามสร้างเครือข่ายช่วยกระจายลูกค้าในฤดูท่องเที่ยว อีกทั้ง พยายามสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้เจาะกลุ่มลูกค้าของตัวเองได้ชัดเจน
ทั้งนี้ ส่วนตัวตั้งเป้าว่า ธุรกิจจะคืนเงินลงทุนภายใน 4-7 ปี โดยแผนการตลาด จะมีทั้งแจกแผ่นพับ ทำเว็บไซต์ ออกงานแฟร์การท่องเที่ยว และสำคัญที่สุด พยายามให้แขกที่เข้าพักเกิดความประทับใจ แล้วบอกต่อๆ กันไป
“ดิฉันอยากให้แขกที่มาพักรู้สึกว่า เขามาเที่ยวบ้านสวนของเพื่อนมากกว่ามาพักรีสอร์ท เราเองในฐานะเจ้าบ้าน เวลาแขกมาเที่ยว ก็อยากเอาสิ่งดีๆ ของบ้านเกิดให้เพื่อนได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ผลไม้อร่อยๆ หรืออาหารเด่นประจำท้องถิ่น เพื่อให้เขาใช้เวลาอยู่อย่างมีความสุข กลับไปแล้วก็ยังประทับใจ แล้วอยากกลับมาอีก” เจ้าของธุรกิจ กล่าว
โทร.02-731-8164 , 089-688-1965
อย่างในรายของ “เรือนปณาลี รีสอร์ท” ใน ต.บางกุ้ง อ.คนที จ.สมุทรสงคราม เจ้าของ คือ “ชโลทัย คุ้มทรัพย์” วัย 41 ปี นำที่ดินผืนกำเนิด และอาศัยจนเติบใหญ่ พัฒนาเป็นรีสอร์ทน้องใหม่ ในบรรยากาศร่มรื่นท่ามกลางสวนผลไม้ติดแม่น้ำแม่กลอง พร้อมบริการห้องพัก กับสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับพรีเมี่ยม
ชโลทัย เล่าแรงบันดาลใจว่า ตั้งแต่เรียนจบก็ไปใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือน ฝ่ายการตลาดในกรุงเทพฯ นานกว่า 15 ปี ตลอดเวลาคิดอยู่เสมอว่า อยากกลับมาทำงานและใช้ชีวิตที่บ้านเกิดตัวเอง จนตลาดน้ำอัมพวากลับมาได้รับความนิยม จึงมองเห็นโอกาสจะพัฒนาพื้นที่บ้าน และสวนผลไม้ของครอบครัวให้เป็นรีสอร์ทตามที่ฝันไว้
“ส่วนตัวแล้ว เวลากลับดิฉันมาอยู่บ้าน ก็จะมีความสุขมาก ไม่อยากกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ หรือพาเพื่อนๆ มาเที่ยว ทุกคนก็จะชื่นชอบบรรยากาศ และอยากกลับมาเที่ยวอีก ยิ่งทำให้เราอยากจะพัฒนาบ้านและสวนของเราให้เป็นสถานที่พักผ่อนซึ่งใครมาแล้วก็มีความสุข ยิ่งตลาดอัมพวากลับมาได้รับความนิยม ทำให้เราเห็นโอกาสชัดเจนขึ้น เลยเริ่มวางโครงการมากว่า 1 ปี พอแผนสมบูรณ์ก็ลาออกจากงานประจำ มาทำธุรกิจนี้อย่างเต็มตัว” ชโลทัย เผย
“เรือนปณาลี รีสอร์ท” ชื่อนี้สื่อถึงบรรยากาศบ้านที่อยู่ติดกับแม่น้ำ โดยเลือกจะวางตำแหน่งให้เป็นรีสอร์ทเกรดบน รองรับลูกค้าระดับบีบวกขึ้นไป เช่น กลุ่มครอบครัวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ กลุ่มสัมมนาเล็กๆ สำหรับผู้บริหาร หรือนักศึกษาปริญญาโทมารวมกลุ่มทำวิทยานิพนธ์ เป็นต้น
ชโลทัยให้เหตุผลว่า การเลือกวางตำแหน่งเช่นนี้ จะเป็นการคัดกรอกผู้เข้าพักไปในตัว เนื่องจากอยากได้แขกที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติอันเงียบสงบและร่มรื่นจริงๆ ไม่ยึดติดกับแสงสีและความบันเทิง
จุดเด่นของ “เรือนปณาลี รีสอร์ท” อยู่ที่ทำเลด้านหนึ่งติดกับแม่น้ำแม่กลอง อีกด้านติดกับสวนผลไม้ผสม อายุเป็นร้อยปี มีทั้งลิ้นจี้ ส้ม ขนุนฯลฯ ซึ่งเป็นของครอบครัวเอง ดังนั้น แขกที่เข้าพักจะมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านสวนมากกว่าพักในรีสอร์ท รวมถึง ยังได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวสวนแท้ๆ อีกด้วย
นอกจากนั้น ประสานกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวอื่นๆ ภายใน จ.สมุทรสงคราม จัดกิจกรรมเสริม เช่น ล่องเรือเที่ยวตลาดน้ำดำเนินสะดวก ตลาดน้ำอัมพวา ขี่จักรยานไหว้พระ 9 วัด ปลูกป่าชายเลน ท่องเที่ยวเชิงเกษตร เป็นต้น
ชโลทัย เล่าต่อว่า รีสอร์ทแห่งนี้ มีพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ ถ้ารวมพื้นที่สวนผลไม้ด้วย ประมาณ 20 ไร่ ใช้งบลงทุนในการปรับปรุงทัศนีย์ภาพ และก่อสร้างอาคารห้องพัก กว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นทุนส่วนตัว และอีกส่วนได้รับสินเชื่อจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เริ่มเปิดบริการให้พักเป็นบางส่วนเมื่อต้นปี (2551) ที่ผ่านมา ส่วนโครงการสมบูรณ์แบบนั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางปีนี้ ซึ่งจะมีบ้านพักทั้งหมด 5 หลัง แบ่งเป็น 15 ห้องพัก มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น สระว่ายน้ำ ศาลาบริการนวดสปา เป็นต้น รองรับแขกได้ 30-45 คน ราคาค่าพัก 2,000 – 4,000 บาทต่อคืน
ผลตอบรับ ที่ผ่านมายังไม่ได้ทำประชาสัมพันธ์ใดๆ จริงจัง แค่อาศัยบอกต่อกันในหมู่เพื่อนฝูงคนใกล้ชิดให้ลองมาพัก หลังจากนั้น แขกก็จะไปบอกต่อกันเอง จนมียอดจองห้องเต็มทุกสุดสัปดาห์ไปถึงเดือนกุมภาพันธ์แล้ว
เธอ เล่าด้วยว่า แม้ทุกวันนี้ ธุรกิจห้องพักรีสอร์ท และโรงแรมใน จ.สมุทรสงคราม จะเกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก ทว่า ไม่เกิดปัญหาแย่งลูกค้ากันเอง เพราะรู้ดีว่า ถ้าแข่งกันตัดราคา สุดท้ายจะได้ผลเสียกันเอง ดังนั้น ผู้ประกอบการพยายามสร้างเครือข่ายช่วยกระจายลูกค้าในฤดูท่องเที่ยว อีกทั้ง พยายามสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้เจาะกลุ่มลูกค้าของตัวเองได้ชัดเจน
ทั้งนี้ ส่วนตัวตั้งเป้าว่า ธุรกิจจะคืนเงินลงทุนภายใน 4-7 ปี โดยแผนการตลาด จะมีทั้งแจกแผ่นพับ ทำเว็บไซต์ ออกงานแฟร์การท่องเที่ยว และสำคัญที่สุด พยายามให้แขกที่เข้าพักเกิดความประทับใจ แล้วบอกต่อๆ กันไป
“ดิฉันอยากให้แขกที่มาพักรู้สึกว่า เขามาเที่ยวบ้านสวนของเพื่อนมากกว่ามาพักรีสอร์ท เราเองในฐานะเจ้าบ้าน เวลาแขกมาเที่ยว ก็อยากเอาสิ่งดีๆ ของบ้านเกิดให้เพื่อนได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ผลไม้อร่อยๆ หรืออาหารเด่นประจำท้องถิ่น เพื่อให้เขาใช้เวลาอยู่อย่างมีความสุข กลับไปแล้วก็ยังประทับใจ แล้วอยากกลับมาอีก” เจ้าของธุรกิจ กล่าว
โทร.02-731-8164 , 089-688-1965