xs
xsm
sm
md
lg

“คมนาคม-พาณิชย์”เพ้อ ฟุ้งโปรเจกต์กระตุ้น ศก.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“สันติ”ยันเดินหน้าก่อสร้างรถไฟฟ้า รอปรับแผนตามนโยบาย”สมัคร” ใน2 สัปดาห์ ไม่เบรก ประมูลสายสีม่วง สั่งทำตามแผน มั่นใจไม่มีปัญหาเงินเพราะนโยบายชัดเจน ส่วนรฟม.ยันขายซองประมูลตามแผน ขณะที่ “มิ่งขวัญ”สั่งรื้อโครงสร้างต้นทุนสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพ 30 รายการ เร่งผลักดันส่งออก เน้นสินค้าเกษตรและโอทอป ไฟเขียวเปิดสำนักงานการค้าเพิ่ม ยันไม่ทิ้งกฎหมายต่างด้าว ค้าปลีก การันตีคดีตกค้างนอมินีกุหลาบแก้ว และเพรซิเดนท์ ว่ากันตามกฎหมาย ไม่ล้วงลูกแน่ “สุวิทย์” สั่งธพว.ร่วมสสว.ศึกษาแผนปล่อยกู้ต่อยอดกองทุนหมู่บ้าน พร้อมเดินหน้าดึงเชื่อมั่นขยายการลงทุนในประเทศ ส่วนกระทรวงท่องเที่ยว เล็งปรับเป้ารายได้ปีนี้เป็น 8 แสนล้านบาท ระบุ 3 ปัจจัยเอื้อประโยชน์ให้ถึงฝัน โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนแบบเมกกะโปรเจกต์

วานนี้ (7 ก.พ.) นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนายทรงศักดิ์ ทองศรี และ นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้เข้าทำงานที่กระทรวงคมนาคมเป็นวันแรก โดยหลังจากสักการะศาลท้าวมหาพรหม และพระพุทธคมนาคมแล้ว ได้ประชุมและมอบนโยบายแก่หัวหน้าหน่วยงานกระทรวงคมนาคม โดยนายสันติ กล่าวว่า เรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการเร่งด่วนคือ การผลักดันระบบขนส่งมวลชนและระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลตามนโยบายของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี โดยเส้นทางใด ที่ไม่มีปัญหา มีความพร้อมสามารถเดินหน้าได้ก็ให้ทำตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งแผนแม่บทรถไฟฟ้าน่าจะมีความชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์นี้

โดยได้มอบหมายให้สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เร่งศึกษารายละเอียดแผนรถไฟฟ้า 9 เส้นทางตามนโยบายของนายกฯ ทั้งเส้นทาง ระยะเวลาในการดำเนินโครงการที่ชัดเจน ซึ่งจะต้องเป็นแผนที่สอดคล้องกับแผนของนายกฯ เพราะเชื่อความชำนาญด้านระบบขนส่งมวลชนของนายกฯ จะทำให้มีการปรับเปลี่ยนบ้างในส่วนการต่อเชื่อมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและต้องดีกว่าเดิม

นายสันติ กล่าวว่า ขณะนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) ระยะทาง 23 กม.มีความพร้อมและอยู่ในขั้นตอนการเตรียมประกวดราคาก็ให้เดินหน้าต่อไป ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการที่จะเข้ามารื้อ หรือให้ทบทวนโครงการที่มีอยู่ในแผนแล้วแต่จะพิจารณา และพร้อมที่จะเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคเพื่อผลักดันให้โครงการสามารถเดินหน้าไปให้ได้เห็นผลที่ชัดเจนโดยเร็วสุด และรวมไปถึงโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ด้วย

สำหรับวงเงินในการลงทุนนั้นเชื่อว่าจะไม่มีปัญหา เพราะรถไฟฟ้าเป็นนโยบายที่นายกฯให้ความสำคัญและเร่งรัดที่จะต้องทำให้สำเร็จโดยเร็ว จึงน่าจะให้การสนับสนุนด้านเงินลงทุนอย่างเต็มที่ และนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังก็เป็นเลขาธิการพรรคพลังประชาชนด้วย

ด้าน นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ขั้นตอนของรถไฟฟ้าสายสีม่วงขณะนี้รอให้ธนาคารเพื่อความร่วมมือแห่งญี่ปุ่น หรือ เจบิค ให้ความเห็นชอบเอกสารประกวดราคาก่อสร้างเท่านั้น คาดว่าจะตอบกลับภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ จากนั้นจะประกาศขายเอกสารประกวดราคาทันที โดยให้เวลา 3 เดือนในการทำเอกสารข้อเสนอ ซึ่งมี 3 ซอง คือ ด้านคุณสมบัติ เทคนิคและราคา คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนต.ค. 2551 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปีครึ่ง ส่วนเงินกู้เจบิคนั้นคาดว่า สามารถลงนามในสัญญาเงินกู้วงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาทได้ในเดือนมี.ค. 51 นี้

นายชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การดำเนินโครงการรถไฟฟ้าไม่น่าเป็นห่วง เพราะทางผู้แทนของรัฐบาลจีนได้มีการติดต่อและแสดงความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในการก่อสร้างและดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าระบบขนส่งมวลชนของไทย รวมทั้งการเสนอตัวที่จะเข้ามาลงทุนด้วย ซึ่งเป็นแนวทางที่จะมีการเสนอให้รัฐบาลประกอบการพิจารณาด้วย

เล็งรื้อใช้สนามบินดอนเมือง

นายสันติ กล่าวถึงนโยบายการใช้สนามบินดอนเมืองว่า ในหลักการจะต้องใช้ประโยชน์สนามบินดอนเมืองอย่างเต็มที่ เพราะสนามบินดอนเมืองถือเป็นทรัพยากรที่มีค่ามาก อย่างไรก็ตาม ปัญหาของทอท.ที่มีผลประกอบการลดลงนั้น จะต้องเร่งเข้าไปแก้ไขปัญหาอุปสรรคทุกอย่าง

ด้าน นางกัลยา ผกากรอง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายงานแผนงานและการเงิน บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ยืนยันว่าทอท.ได้ศึกษาและสรุปแผนการใช้ประโยชน์จากสนามบินดอนเมืองแล้ว เป็นแผนเดิมที่ทางองค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศไทย (ICAO) เคยศึกษาไว้ก่อนหน้านี้ โดยไม่ต้องรอผลการจ้างไอซีเอโอ.ศึกษาซึ่งผลจะไม่แตกต่างกันมาก ดังนั้นทาง ทอท.จะนำสรุปดังกล่าวเสนอมายังกระทรวงคมนาคมเพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งเป็นแผนที่ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากสนามบินดอนเมืองได้ทันทีในระหว่างการรอขยายสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งตามแผนจะต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2552 อยู่แล้ว

นายสันติ กล่าวถึงข้อพิพาทระหว่างทอท.กับบริษัทคิงเพาเวอร์ ว่า เรื่องนี้ อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลคงพูดมากไม่ได้ แต่เห็นว่า กรณีคิงเพาเวอร์ มีสัญญาผูกพันกันก็ต้องไปดูสัญญาโดยจะต้องทำให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการ ส่วนจะมีการเจรจากับคิงเพาเวอร์เพื่อยุติข้อพิพาทนั้น ต้องดูว่า สิ่งใดที่เป็นธรรมและรัฐได้ประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย ก็ต้องทำ ซึ่งการเจรจาเป็นไปได้หรือไม่ อยู่ที่ข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

“หมัก” ดัน “คนสนิท”คุม “เมกกะโปรเจ็ก”

นายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกฯ จะมอบหมายงานที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคมทั้งหมด เพื่อผลักดันโครงการเมกกะโปรเจ็ก ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล รวมทั้งจะแก้ปัญหาในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วม ยืนยันว่าสามารถทำงานร่วมกับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.ได้ เพราะยึดคติที่ว่าไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หากเป็นผลงานของใครก็จะให้เครดิตกับคนนั้น

“มิ่งขวัญ”รื้อโครงสร้างต้นทุนสินค้าจำเป็น 30 รายการ

นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการมอบนโยบายให้ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ ภายหลังเข้ารับตำแหน่งใหม่ วานนี้ (7 ก.พ.) ว่า ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในไปดูรายการสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพอย่างน้อย 30 รายการเช่น น้ำมันพืช ผลิตภัณฑ์นม สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ว่าราคาปัจจุบันเหมาะสมตามต้นทุนการผลิตที่แท้จริงหรือไม่ หากราคาสูงเกินกว่าต้นทุนที่แท้จริง ก็ต้องปรับลดลงมา แต่หากต้นทุนเพิ่มขึ้นจริง ก็ไม่ขัดข้องที่จะให้ปรับขึ้นราคา โดยภายในสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนถึงรายการสินค้า
 
ในด้านการส่งออกได้ขอให้ไปพิจารณารายการสินค้าตัวใหม่ๆ ที่จะผลักดันการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าเกษตร และสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน (โอทอป) เช่น มังคุด ข้าวหอมมะลิ กล้วยไม้ เครื่องเบญจรงค์ มีดอรัญญิก และผลิตภัณฑ์จากหนังจรเข้ เป็นต้น ที่จะต้องผลักดันให้มีการส่งออกให้เพิ่มขึ้น โดยหารือกับกระทรวงคมนาคม เพื่อช่วยในด้านโลจิสติกส์ จัดหาคาร์โก้ แอร์พอร์ต รวมถึงคาร์โก้ แอร์ไลน์ เพื่อมาสนับสนุนการส่งออก

นอกจากนี้ จะหาทางผลักดันการส่งออกไปยังตลาดที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ๆ หรือตลาดคนรวยใหม่ โดยดูว่าตลาดต้องการสินค้าอะไร เพื่อทดแทนตลาดหลักที่มีปัญหา ขณะเดียวกัน จะขยายสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ให้มีมากขึ้น เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันการส่งออกของไทย รวมทั้งการสนับสนุนให้ผู้ส่งออกค้าขายด้วยเงินสกุลของประเทศคู่ค้า แทนเงินสกุลเหรียญสหรัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาความผันผวนของค่าเงิน ทั้งนี้ ยังคงยืนยันเป้าหมายการส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ 10-12.85% โดยยังไม่เปลี่ยนแปลงในขณะนี้

ส่วนข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ ที่ไทยได้เซ็นสัญญาไปแล้ว ทั้งพหุภาคี ทวิภาคี และที่อยู่ระหว่างการเจรจา จะขอดูรายละเอียดในทุกๆ สัญญาว่าไทยจะได้ประโยชน์จากข้อตกลงนั้นๆ อย่างไร แล้วจะนำมาชี้แจงให้กับผู้ผลิต ผู้ส่งออกของไทยรีบไปใช้ประโยชน์ สำหรับการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สหรัฐฯ หากเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็จะเดินหน้าต่อ

นายมิ่งขวัญกล่าวว่า ในด้านการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ค้างการพิจารณามาจากรัฐบาลที่แล้ว ทั้งกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และกฎหมายค้าปลีกนั้น จะขอหารือกับปลัดกระทรวง และอธิบดีที่รับผิดชอบกฎหมายเป็นกรณีพิเศษก่อน แล้วจะตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยในส่วนของกฎหมายคนต่างด้าว จะต้องดูว่าที่ผ่านมา มีปัญหาอะไร ติดขัดตรงไหน และขัดขวางการลงทุนหรือไม่ ส่วนกฎหมายค้าปลีก ก็เช่นเดียวกัน จะดูในรายละเอียดต่างๆ ก่อน และยืนยันว่าจะไม่พิจารณาชักช้า

ส่วนที่มีการกังวลกันว่าเมื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรีแล้วจะให้ความช่วยเหลือคดีต่างๆ ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงพาณิชย์ ขอยืนยันไว้ตรงนี้ว่า จะทำงานด้วยความสะอาด โปร่งใส และตรวจสอบได้ กรณีต่างๆ ทั้งการเอาผิดการถือหุ้นแทนคนต่างชาติ (นอมินี) ของบริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด และกรณีค่าปรับของบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ที่ผิดสัญญาค้าข้าว จะพิจารณาอย่างตรงไปตรงมา ความผิดอยู่ตรงไหนก็ว่ากันไป โดยอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง

"สุวิทย์"ปล่อยกู้สานต่อกองทุนหมู่บ้าน

นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการเข้าทำงานกระทรวงวันแรกและหารือกับราชการระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมกว่า 3 ชั่วโมงวานนี้ (8ม.ค.) ว่า ได้มอบหมายให้นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะเป็นประธานคณะกรรมการบริหารธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) ไปพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการปล่อยสินเชื่อเพื่อต่อยอดให้กับโครงการกองทุนหมู่บ้านที่พัฒนาสินค้าชุมชนหรือสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP

“ มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาหนี้อะไรเพราะสิ่งที่เราจะไปส่งเสริมก็จะต้องเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว ส่วนปริมาณเงินจะเป็นเท่าใดก็คงต้องมอบให้ปลัดไปดูแลรายละเอียดมาอีกครั้ง”นายสุวิทย์ กล่าว

สำหรับแผนงานที่ให้ความสำคัญที่จะดำเนินงานคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับการลงทุนซึ่งจะมีการจัดงานปีแห่งการส่งเสริมลงทุนหรือ Thailand Investment Year ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ตลอดทั้งปีจะมีกิจกรรมที่จะช่วยทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นรวมไปถึงการโรดโชว์ต่างประเทศด้วย ส่วนรายละเอียดเป้าหมายของการดึงเงินลงทุนทางบีโอไอจะทำรายละเอียดเพื่อสรุปร่วมกันอีกครั้งในวันนี้(9ม.ค.) อย่างไรก็ตามนโยบายจะมุ่งเน้นตัวเลขการลงทุนจริงและการลงทุนที่มีศักยภาพ โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมายที่วางไว้ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก การบริการ รวมถึงอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มโดยเฉพาะเกษตรแปรรูป และพลังงานทดแทนเพื่อที่จะเพิ่มรายได้ให้กับสินค้าเกษตรกร และลดการขาดดุลทางการค้าในการนำเข้าน้ำมัน

หลังบ้าน รมว.พลังงานส่อพิรุธ

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน ตั้งข้อสังเกตว่า เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากหลังบ้านรัฐมนตรีในรัฐบาลสมัคร 1 เรียกผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่สังกัดกระทรวงพลังงาน มาสอบถามถึงการลงทุนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน โดยเฉพาะมีการสอบถามผู้บริหารในสังกัดอย่างบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่มีมูลค่าการลงทุนหลายแสนล้านบาท เพื่อไล่จี้ว่า นโยบายการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ทางด้านพลังงานมีอะไร มีความคืบหน้าแค่ไหน และจะลงทุนอะไรเพิ่มเติมอีก

“ขณะนี้ได้เกิดความอึดอัดใจของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่สังกัดกระทรวงพลังงานเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีคำสั่งจากผู้ที่อยู่ข้างหลังบ้านรัฐมนตรีให้เข้าพบ นอกสถานที่ราชการ ซึ่งมีความผิดปกติ โดยเฉพาะในรัฐบาลชุดนี้ ที่รู้กันว่าได้มีการส่งตัวแทนหรือนอมินี่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีหลายตำแหน่ง เนื่องจากรัฐมนตรีตัวจริงถูกคำสั่งเว้นวรรคทางการเมืองและเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการเดินเกมทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ” รายงานข่าวระบุและว่า ถือเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันดูว่า ประเด็นดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ ซึ่งรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเข้ามาดูแลด้านพลังงาน ต้องทำทุกอย่างให้โปร่งใส เพื่อดูแลผลประโยชน์ของประชาชน

รมว.ท่องเที่ยวปรับเป้ารายได้

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการเดินทางมารับหน้าที่ ณ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่า ในส่วนของภาคงานด้านการท่องเที่ยว มีแนวคิดว่าน่าจะมีการปรับประมาณการณ์ตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวจากตลาดต่างประเทศในปีนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็น 8 แสนล้านบาท จากที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยวางเป้าหมายไว้ที่ 6 แสนล้านบาท หรือปรับขึ้นอีกกว่า 30%

ปัจจัยที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายรายได้ดังกล่าวมี 3 ประเด็นหลักคือ 1.เทรนด์การท่องเที่ยวโลกเปลี่ยนแปลง นิยมเดินทางระยะใกล้ขึ้น ซึ่งตลาดใหม่ๆที่มีศักยภาพเดินทางท่องเที่ยวและจับจ่ายสูงก็ไม่ไกลประเทศไทย เช่น จีน อินเดีย และ ตะวันออกกลาง 2. ปัญหาซับไพร์มที่เกิดในสหรัฐ ทำให้ตลาดการลงทุนหนีออกมาหาแหล่งใหม่ๆเพื่อให้เงินที่มีอยู่ได้ทำงาน โดยการให้สินเชื่อกับสถาบันการเงินในประเทศที่มีศักยภาพ ซึ่งกระทรวงฯจะใช้โอกาสนี้ หาแหล่งเงินกู้ให้แก่เอกชนในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ 3. การบริหารจัดการทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่มีอยู่แล้วหรือทุนทางท่องเที่ยวให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ซึ่งการลงทุนเมกกะโปรเจค ที่ใช้เงินลงทุนสูงจะไม่จำเป็นมากนัก

ด้านตลาดในประเทศ เน้นเรื่องการให้คุณค่าแก่สังคม เพิ่มทางเลือกของการพักผ่อนให้แก่คนไทยแบบมีประโยชน์ ที่มากกว่าการเที่ยวสวนสนุกหรือเดินชอปปิ้ง

สำหรับงานท่องเที่ยวจะต้องทำทั้งเชิงกว้างคือการทำตลาด การพัฒนาสินค้าและบริการ และเชิงลึก ซึ่งตรงนี้การสนับสนุนอุตสาหกรรมถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่กองถ่ายทำ และคนกลุ่มนี้ก็จัดเป็นนักท่องเที่ยวแบบลองสเตย์ เพราะมาอยู่นานเฉลี่ยเกิน 7 วัน หรือเป็นเดือน มีการใช้จ่ายสูง

นอกจากนั้น ยังมีแนวคิดจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชนด้านท่องเที่ยวหรือ ก.ร.อ. โดยจะมีทั้ง ก.ร.อ.ด้านท่องเที่ยว และ ก.ร.อ.ด้านกีฬา

นายวีระศักดิ์ กล่าวถึง คดีรับสินบนของโครงการบางกอกฟิล์ม ว่า จะให้ความร่วมมือและเร่งสานงานต่อให้สรุปคดีได้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และจะไม่แทรกแซงกระบวนการทำงานใดๆทั้งสิ้น ส่วนกรณีกฤษฎีกา ตีความเรื่องให้ ททท.ต้องคืนเงินโบนัสที่แจกให้พนักงาน ททท.ในช่วงปี 2546-2548 วงเงินกว่า 150 ล้านบาท ตรงนี้รู้สึกเห็นใจ พนักงาน ททท. ซึ่งทางแก้ ควรให้ทุกฝ่ายหารือร่วมกัน พิจารณาทั้งหลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ด้านบริษัทไทยจัดการลองสเตย์ จำกัด หรือ ทีแอลเอ็ม ก็ต้องพิจารณาให้รอบครอบ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต้องศึกษามติ คณะรัฐมนตรีในขณะนั้น แล้วนำมาพิจารณาตอกย้ำลงไปก่อนตัดสินใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น