นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ว่า สิ่งที่รัฐมนตรีทุกคนต้องทำคือการสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่ถูกตั้งข้อสังเกต หรือถูกตั้งคำถาม เพราะยังไม่เคยได้เห็นบทบาท ในการทำงานด้านนั้น ๆ ซึ่งสิ่งที่ต้องทำ 2 เรื่องหลัก ๆ คือกำหนดทิศทางการบริหาร ให้ชัดเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ารัฐบาลจะเข้ามาทำอะไร และ จะต้องยืนยันและพิสูจน์ให้เห็นว่าเข้ามาทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ได้เป็นตัวแทนของใคร หรือกลุ่มใด ซึ่งจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดข้อครหาหรือข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ
ส่วนกระแสข่าวความขัดแย้งของทีมเศรษฐกิจตั้งแต่ยังไม่ทำงานนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากแนะนำว่าเรื่องใดที่ไม่ได้ไปตกลงกันให้เป็นนโยบายของรัฐบาลก็ให้หลีกเลี่ยงที่จะแสดงความคิดเห็นไปคนละทิศคนละทาง เพราะจะไม่เป็นผลดีกับการบริหารงานในวันข้างหน้า และจะทำให้เกิดความสับสน
ส่วนการที่นายกรัฐมนตรี เรียกประชุม ครม.ในวันศุกร์ที่ 8 ก.พ.เป็นการดี ในการที่จะกำหนดทิศทางรวม หลังจากนั้นจะแถลงนโยบายและเดินหน้าตามกรอบของ นโยบายซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุด แต่ถ้าออกมาแสดงความเห็นเป็นเรื่องๆ จะเสี่ยงต่อการสร้างความสับสน และจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่ารัฐมนตรรีมีความเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อการสร้างความเชื่อมั่น
“การที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจการค้ากับการคลังแยกกันก็ไม่เป็นปัญหา วิธีการทำงานสุดแล้วแต่หัวหน้าทีมเป็นผู้กำหนด แต่หัวหน้าทีมต้องใช้ภาวะความเป็นผู้นำ ที่จะไม่ให้เกิดปัญหา ผมถึงได้เรียนว่าดีที่สุดช่วงนี้คือ พยายามอย่า ต่างคนต่างพูด เพราะจะทำให้ไม่เกิดความเชื่อมั่น ทุกคนต้องการเห็นความเชื่อมั่นเกิดขึ้น เพราะต้องการให้เศรษฐกิจเดินไปข้างหน้าได้”
ส่วนที่รัฐบาลวางกรอบไว้ว่าภายใน 6 เดือนจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะใช้เวลา 6 เดือนคงไม่ได้ คงต้องเร็วกว่านี้ แต่คิดว่าคงเป็นกรอบเวลาที่ตั้งเอาไว้สำหรับเป้าหมายในบางเรื่อง เช่นการปรับทิศทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ถือเป็นกรอบเวลาที่สมเหตุสมผล
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึง ครม.เงาของพรรคประชาธิปัตย์ว่า จะเปิดตัวได้ในวันนี้ (8 ก.พ.) และจะประชุมกันครั้งแรกในต้นสัปดาห์หน้า ซึ่งเท่าที่ดูรายชื่อของ ค.ร.ม.แล้วยังไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องมีค.ร.ม.เงาครบจำนวนหรือไม่ เพราะมีการใช้วิธีให้รองนายกรัฐมนตรีไปควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการด้วย ทั้งนี้ยอมรับว่าครม.เงาทำงาน ค่อนข้างลำบาก เพราะไม่มีทั้งงบประมาณ และไม่มีข้าราชการสนับสนุน แต่ถือเป็นการท้าทายความสามารถของบุคคล หากวันหนึ่งคิดว่าตัวเองมีความเหมาะสมที่จะไปนั่งบริหารบ้านเมือง วันนี้จะต้องสามารถทำงานภายใต้ขอบเขตที่จำกัดให้ดีซึ่งตรงนี้เป็นแนวทางที่ตนคิดว่าต้องการใช้ในการสร้างบุคลากรทางการเมือง
“การมีค.ร.ม.เงา เพราะอยากเห็นการทำงานของฝ่ายค้านที่มีความเป็นระบบ มีความครอบคลุม เข้มแข็ง สร้างสรรค์ และเมื่อเป็นองค์กรในลักษณะนี้จะต้องมีความรับผิดชอบ การจะพูดหรือวิจารณ์อะไรจะผูกมัดตัวเองมากขึ้น ดังนั้นจะทำให้การทำหน้าที่ของฝ่ายค้านมีความรับผิดชอบมากขึ้น และหากถามว่าหวังไกลขนาดไหน ก็บอกว่าตนหวังไกลว่ากลไกนี้จะพิสูจน์ว่าเป็นกลไกที่มีประโยชน์ จนวันข้างหน้ากลายเป็นประเพณี ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ฝ่ายค้านจะได้ทำอย่างนี้ เพื่อให้ระบบรัฐสภาเข้มขึ้น”
ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่าท่าดีทีเหลวนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าเป็นสิทธิที่จะวิจารณ์ และคนที่มีหน้าที่พิสูจน์ว่าดีหรือไม่ คือคนทำงาน ที่ต้องพิสูจน์ด้วยการทำงานที่เป็นประโยชน์ ซึ่งในวันจันทร์ที่ 11 ก.พ.นี้ จะเสนอมุมมองของฝ่ายค้านว่าปัญหาที่ต้องแก้ไข คืออะไร และประเด็นที่เป็นคำตอบในวันแถลงนโยบายคืออะไร เพื่อที่จะทำให้ทิศทาง ของบ้านเมืองมีความชัดเจนและปัญหาต่างๆ บริหารได้ด้วยความราบรื่น
ผู้สื่อข่าวถามว่านักวิชาการวิเคราะห์ว่ารัฐบาลชุดนี้น่าจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปีเพราะมีหลายปัญหารุมเร้านั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าไม่มีใครทราบว่าจะอยู่ครบเทอมหรือไม่ แต่สิ่งที่ตนยืนยันมาตลอดคือ ถ้ารัฐบาลทำงานดี และไม่ได้สร้างปัญหาจนบ้านเมือง ถึงขั้นเสียหาย รวมทั้งรัฐบาลไม่ทุจริต ตนคิดว่าการมีเสียงข้างมากในสภาฯทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ แต่หากรัฐบาลทุจริตก็คงต้องเริ่มนับถอยหลัง ฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นภูมิคุ้มกันรัฐบาลที่ดีที่สุดคือการทำงานเพื่อส่วนรวมด้วยความซื่อสัตย์ น้อมนำกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณตน จะเป็นตัวช่วยให้รัฐบาลทำงานได้
ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีระบุถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการนิรโทษกรรม อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยจะทำให้อายุของรัฐบาลยาวขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องรัฐธรรมนูญกับเรื่องนิรโทษกรรมเป็นคนละเรื่องกัน โดยรัฐธรรมนูญนั้นหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่ามีปัญหาในบางบทบัญญัติ ก็มาช่วยกันคิดอ่านแก้ไขกัน โดยไม่ต้องกังวลว่าแก้ไขเสร็จแล้วต้องมีการเลือกตั้ง เพราะไม่ได้มีประเด็นตรงนั้น และตนก็ไม่เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีตื่นตระหนกตกใจกับเรื่องนั้นทำไม เพราะไม่มีใครเรียกร้องว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วต้องรีบเลือกตั้ง เพียงแต่หากคิดว่าอะไรที่จะดีกว่าระยะยาวก็ควรแก้ไข ส่วนเรื่องการนิรโทษกรรม ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และไม่ใช่ปัญหาของคนส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนั้นควรเอาเวลาไปแก้ไขปัญหาคนส่วนใหญ่ของประเทศก่อนก็น่าจะเหมาะสมก่อน
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่จะทำหนังสือถึงกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อขอให้มีรายการฝ่ายค้านพบประชาชนว่า ต้องรอให้รัฐบาลแถลงนโยบายและทุกอย่างเป็นไปตามระบบเรียบร้อยก่อน ทั้งนี้ตนอยากเห็นฝ่ายค้านได้มีพื้นที่ ในการแสดงความเห็น จะเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง และจะเป็นการลดแรงกดดันความขัดแย้งต่างๆ ถ้าให้พื้นที่ทุกฝ่ายมีจุดที่สามารถแสดงออกได้ ซึ่งคงจะหาเวลาที่เหมาะสมและเรียนให้นายกรัฐมนตรีได้ทราบ แต่ตอนนี้ ต้องเปิดโอกาส ให้นายกรัฐมนตรีเร่งทำนโยบายและแถลงนโยบายอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องอื่น อย่าเพิ่งไปหยิบยกเป็นประเด็นขึ้นมา
ส่วนกระแสข่าวความขัดแย้งของทีมเศรษฐกิจตั้งแต่ยังไม่ทำงานนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากแนะนำว่าเรื่องใดที่ไม่ได้ไปตกลงกันให้เป็นนโยบายของรัฐบาลก็ให้หลีกเลี่ยงที่จะแสดงความคิดเห็นไปคนละทิศคนละทาง เพราะจะไม่เป็นผลดีกับการบริหารงานในวันข้างหน้า และจะทำให้เกิดความสับสน
ส่วนการที่นายกรัฐมนตรี เรียกประชุม ครม.ในวันศุกร์ที่ 8 ก.พ.เป็นการดี ในการที่จะกำหนดทิศทางรวม หลังจากนั้นจะแถลงนโยบายและเดินหน้าตามกรอบของ นโยบายซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุด แต่ถ้าออกมาแสดงความเห็นเป็นเรื่องๆ จะเสี่ยงต่อการสร้างความสับสน และจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่ารัฐมนตรรีมีความเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อการสร้างความเชื่อมั่น
“การที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจการค้ากับการคลังแยกกันก็ไม่เป็นปัญหา วิธีการทำงานสุดแล้วแต่หัวหน้าทีมเป็นผู้กำหนด แต่หัวหน้าทีมต้องใช้ภาวะความเป็นผู้นำ ที่จะไม่ให้เกิดปัญหา ผมถึงได้เรียนว่าดีที่สุดช่วงนี้คือ พยายามอย่า ต่างคนต่างพูด เพราะจะทำให้ไม่เกิดความเชื่อมั่น ทุกคนต้องการเห็นความเชื่อมั่นเกิดขึ้น เพราะต้องการให้เศรษฐกิจเดินไปข้างหน้าได้”
ส่วนที่รัฐบาลวางกรอบไว้ว่าภายใน 6 เดือนจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะใช้เวลา 6 เดือนคงไม่ได้ คงต้องเร็วกว่านี้ แต่คิดว่าคงเป็นกรอบเวลาที่ตั้งเอาไว้สำหรับเป้าหมายในบางเรื่อง เช่นการปรับทิศทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ถือเป็นกรอบเวลาที่สมเหตุสมผล
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึง ครม.เงาของพรรคประชาธิปัตย์ว่า จะเปิดตัวได้ในวันนี้ (8 ก.พ.) และจะประชุมกันครั้งแรกในต้นสัปดาห์หน้า ซึ่งเท่าที่ดูรายชื่อของ ค.ร.ม.แล้วยังไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องมีค.ร.ม.เงาครบจำนวนหรือไม่ เพราะมีการใช้วิธีให้รองนายกรัฐมนตรีไปควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการด้วย ทั้งนี้ยอมรับว่าครม.เงาทำงาน ค่อนข้างลำบาก เพราะไม่มีทั้งงบประมาณ และไม่มีข้าราชการสนับสนุน แต่ถือเป็นการท้าทายความสามารถของบุคคล หากวันหนึ่งคิดว่าตัวเองมีความเหมาะสมที่จะไปนั่งบริหารบ้านเมือง วันนี้จะต้องสามารถทำงานภายใต้ขอบเขตที่จำกัดให้ดีซึ่งตรงนี้เป็นแนวทางที่ตนคิดว่าต้องการใช้ในการสร้างบุคลากรทางการเมือง
“การมีค.ร.ม.เงา เพราะอยากเห็นการทำงานของฝ่ายค้านที่มีความเป็นระบบ มีความครอบคลุม เข้มแข็ง สร้างสรรค์ และเมื่อเป็นองค์กรในลักษณะนี้จะต้องมีความรับผิดชอบ การจะพูดหรือวิจารณ์อะไรจะผูกมัดตัวเองมากขึ้น ดังนั้นจะทำให้การทำหน้าที่ของฝ่ายค้านมีความรับผิดชอบมากขึ้น และหากถามว่าหวังไกลขนาดไหน ก็บอกว่าตนหวังไกลว่ากลไกนี้จะพิสูจน์ว่าเป็นกลไกที่มีประโยชน์ จนวันข้างหน้ากลายเป็นประเพณี ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล ฝ่ายค้านจะได้ทำอย่างนี้ เพื่อให้ระบบรัฐสภาเข้มขึ้น”
ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่าท่าดีทีเหลวนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าเป็นสิทธิที่จะวิจารณ์ และคนที่มีหน้าที่พิสูจน์ว่าดีหรือไม่ คือคนทำงาน ที่ต้องพิสูจน์ด้วยการทำงานที่เป็นประโยชน์ ซึ่งในวันจันทร์ที่ 11 ก.พ.นี้ จะเสนอมุมมองของฝ่ายค้านว่าปัญหาที่ต้องแก้ไข คืออะไร และประเด็นที่เป็นคำตอบในวันแถลงนโยบายคืออะไร เพื่อที่จะทำให้ทิศทาง ของบ้านเมืองมีความชัดเจนและปัญหาต่างๆ บริหารได้ด้วยความราบรื่น
ผู้สื่อข่าวถามว่านักวิชาการวิเคราะห์ว่ารัฐบาลชุดนี้น่าจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปีเพราะมีหลายปัญหารุมเร้านั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าไม่มีใครทราบว่าจะอยู่ครบเทอมหรือไม่ แต่สิ่งที่ตนยืนยันมาตลอดคือ ถ้ารัฐบาลทำงานดี และไม่ได้สร้างปัญหาจนบ้านเมือง ถึงขั้นเสียหาย รวมทั้งรัฐบาลไม่ทุจริต ตนคิดว่าการมีเสียงข้างมากในสภาฯทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ แต่หากรัฐบาลทุจริตก็คงต้องเริ่มนับถอยหลัง ฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นภูมิคุ้มกันรัฐบาลที่ดีที่สุดคือการทำงานเพื่อส่วนรวมด้วยความซื่อสัตย์ น้อมนำกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณตน จะเป็นตัวช่วยให้รัฐบาลทำงานได้
ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีระบุถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการนิรโทษกรรม อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยจะทำให้อายุของรัฐบาลยาวขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องรัฐธรรมนูญกับเรื่องนิรโทษกรรมเป็นคนละเรื่องกัน โดยรัฐธรรมนูญนั้นหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่ามีปัญหาในบางบทบัญญัติ ก็มาช่วยกันคิดอ่านแก้ไขกัน โดยไม่ต้องกังวลว่าแก้ไขเสร็จแล้วต้องมีการเลือกตั้ง เพราะไม่ได้มีประเด็นตรงนั้น และตนก็ไม่เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีตื่นตระหนกตกใจกับเรื่องนั้นทำไม เพราะไม่มีใครเรียกร้องว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วต้องรีบเลือกตั้ง เพียงแต่หากคิดว่าอะไรที่จะดีกว่าระยะยาวก็ควรแก้ไข ส่วนเรื่องการนิรโทษกรรม ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และไม่ใช่ปัญหาของคนส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนั้นควรเอาเวลาไปแก้ไขปัญหาคนส่วนใหญ่ของประเทศก่อนก็น่าจะเหมาะสมก่อน
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่จะทำหนังสือถึงกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อขอให้มีรายการฝ่ายค้านพบประชาชนว่า ต้องรอให้รัฐบาลแถลงนโยบายและทุกอย่างเป็นไปตามระบบเรียบร้อยก่อน ทั้งนี้ตนอยากเห็นฝ่ายค้านได้มีพื้นที่ ในการแสดงความเห็น จะเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง และจะเป็นการลดแรงกดดันความขัดแย้งต่างๆ ถ้าให้พื้นที่ทุกฝ่ายมีจุดที่สามารถแสดงออกได้ ซึ่งคงจะหาเวลาที่เหมาะสมและเรียนให้นายกรัฐมนตรีได้ทราบ แต่ตอนนี้ ต้องเปิดโอกาส ให้นายกรัฐมนตรีเร่งทำนโยบายและแถลงนโยบายอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องอื่น อย่าเพิ่งไปหยิบยกเป็นประเด็นขึ้นมา
