xs
xsm
sm
md
lg

สภาอุตฯ หวั่น ศก.ไม่ฟื้นเชื่อมั่นวูบขาดมืออาชีพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน – สภาอุตฯหวั่นทีมเศรษฐกิจ รัฐบาลสมัคร 1 ไม่ใช่มืออาชีพอาจทำเศรษฐกิจไม่ฟื้น หวั่นประชานิยมรูปแบบแจกเงิน ทำรากหญ้าคิดไม่เป็นเหมือนลูกง่อยรอแต่แม่หาเลี้ยง ชี้‘หมอเลี้ยบ’ ด้อยประสบการณ์ ต้องทำงานหนัก ด้านนักลงทุนร้องยี้แต่พร้อมให้โอกาสหนุนรีบทำเมกะโปรเจกต์ ส่วนศึกษาอาการหนัก องค์กรครูไม่ปลื้มเสมา 1 ด้านไอซีที ขาใหญ่โทรคมทั้งเอไอเอส ดีแทคประสานเสียงเชื่อทำวงการสื่อสารเดินหน้า

นายสมมาต ขุนเศรษฐ รองเลขาธิการสายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า โฉมหน้าคณะรัฐมนตรี(ครม.) ของรัฐบาลสมัคร 1 ที่ออกมานั้นภาพรวมแล้วต้องยอมรับว่าไม่สามารถเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนโดยรวมได้เพราะแทบจะไม่มีมือเศรษฐกิจที่เป็นมืออาชีพให้เห็น แต่ทั้งนี้คงต้องให้เวลาพิสูจน์ฝีมือเพราะหากไม่ใช่มือเศรษฐกิจอาชีพก็สามารถเป็นนักบริหารที่สามารถหาทีมเศรษฐกิจเป็นที่ยอมรับมาปฏิบัติงานแทนได้ แต่หากไม่สามารถเป็นทั้งมืออาชีพและไม่สามารถเป็นนักบริหารที่ดีได้ก็คงจะหมดอนาคตแน่

หวั่นประชานิยมรูปแบบแจกเงิน

สำหรับนโยบายภาพรวมแล้วยังคงมีนโยบายเกี่ยวกับประชานิยมอยู่ซึ่งหากรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ปรับปรุงข้อผิดพลาดของรัฐบาลยุคทักษิณและเดินหน้าในรูปแบบเดิมด้วยการมุ่งเน้นเงินผ่อนกองทุนหมู่บ้านแล้วก็นำเงิน 1 ล้านบาทจัดสรรด้วยการนำชาวบ้านหารแล้วแบ่งเงินให้โดยไม่ได้คำนึงว่าเงินนั้นไปทำกิจกรรมใดก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้รากหญ้าคิดไม่เป็น คล้ายกับลูกที่เป็นง่อยคอยให้แม่หาเลี้ยง ซึ่งการจัดสรรเงินให้หมู่บ้านจะต้องทำให้เกิดการต่อยอดในการสร้างงานและให้ประชาชนคิดเป็น ทำเป็นเพื่อสร้างรายได้เลี้ยงตนเองได้อย่างพอเพียงจึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า คงต้องให้เวลาในการทำงานของทีมเศรษฐกิจชุดนี้ระยะหนึ่งภายใน 3-6 เดือนน่าจะเห็นอะไรที่ชัดเจน แต่ประเด็นที่ต้องทำเร่งด่วน คือ สร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ทั้งในส่วนของประชาชน ผู้ประกอบการในประเทศ รวมไปถึงนักลงทุนต่างประเทศ, ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ไม่ผันผวนจนภาคธุรกิจปรับตัวไม่ได้

ส่วนนายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.อุตสาหกรรม ก็เป็นคนมีฝีมือใช้ได้ แต่ทั้งหมดต้องให้เวลารัฐบาลชุดนี้ 2-3 เดือน แต่ภาพรวมแล้วคงต้องมีทีมที่ปรึกษาเข้ามาดูแลช่วยดูแลด้านเศรษฐกิจมาช่วยปฏิบัติงาน

แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นคณะรัฐมนตรีต่างตอบแทน แม้ว่าจะเป็นเสียงข้างมากที่ได้รับเลือกเข้ามาบริหารประเทศ ก็ใช่ว่าจะทำทุกอย่างได้ถูกต้องไปเสียทั้งหมด ขณะเดียวกันต่างชาติก็จับตามมองเราอยู่ หากทำอะไรผิดพลาดลงไปนักลงทุนเหล่านั้นก็ไม่มีความเชื่อมั่น พร้อมชะลอ หรือถอนการลงทุนได้เช่นกัน

หวั่น รมว.คลังด้อยประสบการณ์

นายสมศักดิ์ บริสุทธนะกุล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก ส.อ.ท. กล่าวว่า คงต้องรอดูผลงานของรัฐบาลสมัคร1 ก่อน แต่สิ่งที่เป็นห่วงคือกระทรวงการคลังที่มีนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นรัฐมนตรีว่าการ เนื่องจากไม่เคยผ่านงานด้านการเงินมาเลย จำเป็นต้องทำงานอย่างหนัก ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ มั่นใจว่านายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์น่าจะทำงานได้ดี เพราะเป็นนักการตลาดอยู่แล้วและเคยผ่านการทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นอย่างโตโยต้ามาก่อน

นอกจากนี้ อยากให้นายกฯสมัคร สุนทรเวช และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ลดความร้อนแรงในการพูดจา เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างกัน ทำให้นักธุรกิจไม่ต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง จะได้มุ่งหน้าทำงานนำพาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไป

AOC จี้แก้ปัญหาสุวรรณภูมิก่อนโคม่า

นายชัยวัฒน์ นวราช ประธานคณะกรรมการดำเนินการธุรกิจการบิน (AOC) กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาสนามบินสุวรรณภูมิอย่างจริงจังและจัดเป็นนโยบายลำดับต้นๆ เพราะขณะนี้ปัญหาของสุวรรณภูมิกำลังจะถึงขั้นแย่มากแล้ว ซึ่งไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดได้ครบแต่ปัญหาหลัก ๆ เช่น ผู้โดยสารต้องใช้เวลาในการผ่านเข้าออกด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) นานนับชั่วโมง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่พอในการให้บริการ รวมถึงการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. มีความล่าช้า ทำให้เกิดปัญหาสะสม เช่น การจัดซื้อไฟรันเวย์ เป็นต้น

ทุกฝ่ายทราบดีว่า ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวนมาก และสนามบินสุวรรณภูมิถือเป็นประตูบ้าน เมื่อประตูบ้านไม่มีความเรียบร้อยไม่สะดวก ก็ไม่ดี ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับสนามบินสุวรรณภูมิให้สมกับที่เป็นวาระแห่งชาติ นอกจากนี้ รัฐบาลควรมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการขยายขีดความสามารถสนามบินสุวรรณภูมิและการใช้สนามบินดอนเมือง ซึ่งต้องยอมรับว่า 1 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีความคืบหน้า เพื่อให้สายการบินได้เตรียมความพร้อมเลย

นายเกียรติพงษ์ น้อยใจบุญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ มาดูแลกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ถือว่าใช้ได้ เพราะมีประสบการณ์ระดับหนึ่งอยู่แล้ว รวมถึงพรรคเพื่อแผ่นดิน เคยมีทีมงานที่ผ่านงานด้านอุตสาหกรรมมาก่อน และถือว่าตั้งใจจะมาอยู่กระทรวงนี้ไม่ใช่ถูกบังคับมา แต่ทั้งหมดต้องให้เวลาระยะหนึ่งก่อนเพื่อดูผลงาน ไม่อยากตีตนไปก่อนไข้

ยี้ ครม.หมัก 1 แต่พร้อมให้โอกาส

นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ครม.ชุดใหม่ไม่ค่อยถูกใจมากนัก เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมายและตัวเลือกน้อยลงจากกรณีที่บุคคลบ้านเลขที่ 111 ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ต้องให้โอกาสทำงานและให้มองการทำงานเป็นทีมมากกว่าตัวบุคคล

"ผมมองว่ารัฐบาลใหม่ต้องกล้าคิดนอกกรอบและกล้าตัดสินใจ ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคกับการลงทุน ขณะเดียวกันรัฐต้องเป็นผู้นำในการลงทุน สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ รวมทั้งต้องทำความเข้าใจกับนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อเศรษฐกิจดีตลาดทุนก็จะได้รับผลดีตามไปด้วย"

นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า บุคคลที่เข้ามารับตำแหน่งในครม.ชุดใหม่อาจจะไม่โดดเด่นและถูกใจนักลงทุนมากนัก แต่ต้องรอดูผลงานในอนาคต โดยรัฐบาลควรเร่งเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์ และกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า เพื่อกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคในประเทศทดแทนการส่งออกที่จะชะลอตัวลงตามปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ขาใหญ่ยังไม่มั่นใจการเมือง

ขณะที่นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวให้ความเห็นว่า รายชื่อครม.เป็นกลุ่มการเมืองเดิมที่ได้รับจากตอบแทนจากที่ช่วยให้พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกให้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หากมองในด้านดี การได้ครม.อย่างเป็นทางการที่มาจากการเลือกตั้งถือเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างให้น้ำหนักประเด็นดังกล่าวในการพิจารณาเข้ามาลงทุน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะได้ครม.อย่างที่หลายฝ่ายต้องการ แต่การที่ได้รัฐมนตรีแบบตอบแทนบุญคุณนั้น เชื่อว่าอีกไม่นานจะมีการปรับเปลี่ยนครม.หรือปรับเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อนโยบายในการทำงานในแต่ละกระทรวง

"ผมเชื่อว่าอีกไม่นานคงจะต้องมีการปรับครม.ครั้งใหญ่ อาจจะรวมถึงตัวนายกฯ ด้วย ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายบ่อยๆ อาจจะส่งผลกระทบต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงกลุ่มทุนจากต่างประเทศที่เตรียมเข้ามาลงทุนไม่มีความมั่นใจ อาจจะทำให้มีการชะลอการลงทุนออกไปได้อีก"

โทรคมขานรับ รมว.ไอซีที

นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า นโยบายของรัฐบาลใหม่ และนายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีทีสอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชนและประเทศ เนื่องจากมีนโยบายสร้างซูเปอร์ไฮเวย์บรอดแบนด์ โครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงทั้งตามสายและไร้สาย และจะเร่งผลักดันให้เกิดเทคโนโลยีไว-แม็กซ์ 3 จี และไว-ไฟ

โดยรัฐบาลชุดใหม่ระบุว่าการพัฒนาระบบไอซีทีเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับการพัฒนาและผลักดันให้เกิดความน่าสนใจในสายตานักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากต่างชาติให้ความสำคัญกับความรวดเร็วในการติดต่อที่รวดเร็วเป็นหลัก ปัจจุบันต่างชาติมองว่าไทยเป็นประเทศที่มีการพัฒนาด้านไอซีทีตามหลังประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ

“จากการรับรู้นโยบายของรัฐบาลและรมว.ไอซีทีคนใหม่ นับว่าเป็นทิศทางที่ดี และเห็นในทิศทางเดียวกับที่เอกชนและประเทศไทยต้องการ เนื่องจากรมว.คนใหม่ต้องการผลักดันให้เกิดเทคโนโลยี 3 จีไว-แม็กซ์ เพื่อสร้างซูปเปอร์ไฮเวย์บรอดแบนด์จูงใจต่างชาติเข้ามาลงทุน”

นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทคกล่าวว่า การที่นายมั่น รมว.ไอซีทีคนใหม่เข้ามาบริหารจะส่งผลในทิศทางบวกแก่อุตสาหกรรมโทรคมนาคม เนื่องจากนายมั่นเป็นนักการเมืองมืออาชีพ ซึ่งมีจุดเด่น ตรงความสามารถในการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และกระทรวงการคลังรวมทั้ง ความเป็นนักการเมืองมืออาชีพมักจะเข้าใจความต้องการของประชาชนเป็นอย่างดี

ทั้งนี้ หากนายมั่นเลือก ทีมงานและที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาช่วยหนุนการทำงานก็จะช่วยให้การดำเนินงานของกระทรวงไอซีทีเป็นไปอย่างรวดเร็วและถูกทางมากขึ้น ทั้งนี้หากทีมงานหรือที่ปรึกษาไม่มีความเชี่ยวชาญด้านไอซีทีอาจจะส่งผลทำความเข้าใจเนื้องานของกระทรวงเป็นเวลานานเพราะเรื่องที่ค้างอยู่อย่างเรื่องอินเตอร์คอนเน็คชั่นชาร์จ หรือไอซี และแอ็คเซ็สชาร์จ หรือเอซีเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก

นายธนา กล่าวต่อว่า หาก รมว.คนใหม่สามารถใช้ชั้นเชิงนักการเมืองให้ถูกทางและมีทีมทำงานที่เชียวชาญไอซีที ประกอบกับ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่มีความรู้เรื่องโทรคมนาคมเนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งรมว.ไอซีทีมาก่อนหน้านี้ และรัฐบาลชุดนี้ยังประกาศชัดเจนว่าการพัฒนาไอซีทีในประเทศให้มีความสำคัญเทียบเท่ากับการสร้างรถไฟฟ้า เพื่อสร้างการเข้าถึงข้อมูลที่ทั่วถึงของคนต่างจังหวัด ตนจึงมีความคิดเห็นในทางบวกว่า อุตสาหกรรมโทรคมนาคมและไอซีทีของประเทศจะเป็นไปในทิศทางบวก

“ผมมีความคิดเห็นในทิศทางบวกกับรมว.ไอซีที คนใหม่เนื่องจากเชื่อมั่นว่านักการเมืองมืออาชีพมีความสามารถในการติดต่อประสานงานที่ดี จึงเชื่อว่าจะเกิดการหารือร่วมกันระหว่างไอซีที รมว.ครั้งซึ่งมีความรู้เรื่องไอซีทีเป็นอย่างดี และกทช.แก้ไขปัญหาที่ค้างมานานได้ประกอบกับรัฐบาลชุดนี้มีนโยบายพัฒนาไอซีทีไทยเหมือนกับการเร่งสร้างรถไฟฟ้า”

แบงก์หนุนรถไฟฟ้า

นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศนั้นจะต้องขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจสามารถเดินต่อไปได้ด้วยการผลักดันให้มีการลงทุนในโครงการใหญ่ขึ้นมา โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ เพราะเป็นสิ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นและเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการเห็นมากที่สุดในเวลานี้ จึงอยากให้ทุกฝ่ายให้โอกาสและเวลาในการทำงานกับรัฐบาลชุดนี้ก่อน เพราะรัฐบาลชุดนี้ถือว่ามาจากการคัดเลือกของประชาชน ซึ่งหลังจากที่ได้ทำงานไปแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างนั้นก็ค่อยมาประเมินกันอีกที แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลและประชาชนยังต้องใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในการทำงานและดำรงชีวิตต่อไป

ส่วนนายอภิชาต จูตระกูล กรรมการและประธานอำนวยการ บริษัท แสนศิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โดยส่วนตัวมองว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้ เป็นบุคคลที่ประชาชนให้การสนับสนุนเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ แต่ขอให้ตั้งใจทำงานเพื่อประเทศ โดยสิ่งแรกที่อยากให้ทำคือต้องมีนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่องในเรื่องของการลงทุน เช่น การลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะต้องผลักดันให้เกิดการลงทุนให้ได้ เพราะจะเป็นผลดีทำให้มีเม็ดเงินเกิดขึ้นและมีการหมุนเวียนภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจของเราสามารถเติบโตได้เอง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตลาดนอกประเทศเพียงอย่างเดียว

“หากเรามีการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็คต์เกิดขึ้น ก็จะเป็นผลดีต่อสภาพเศรษฐกิจ เพราะจะเป็นการช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ อีกทั้งจะทำให้เราสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นด้วยการใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”

องค์กรครูไม่ปลื้ม! เสมา 1

นายนิพนธ์ ชื่นตา ประธานสหภาพครูแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีรัฐบาลชุดนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาการ (ศธ.) ทั้ง 3 คนว่า การจัดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ค่อนข้างจะขี้เหร่ในภาพรวม ในส่วนของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาการนั้น ยอมรับว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ใช่ด้านการศึกษา ซึ่งรัฐบาลใช้คนไม่ถูกกับงาน การแต่งตั้งรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้เป็นการสร้างภาระให้กับกระทรวง สร้างภาระให้แก่คนในวงการศึกษา เพราะเอาคนที่ไม่รู้เรื่องการศึกษามากำหนดนโยบาย และต้องอธิบายกันนานกว่าจะรู้เรื่องและก็ไม่ทราบว่าจะเข้าใจตรงกันหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่มีรัฐมนตรียังจะดีกว่าจะได้ไม่ต้องเสียเวลา

การให้คนที่ไม่มีพื้นฐานด้านการศึกษาจะมีปัญหาเรื่องการทำความเข้าใจกับงานจะต้องฟังคนที่จะมาสรุปงานให้ฟัง ถ้าฟังคนถูกก็ดีไป แต่ถ้าฟังคนไม่ถูกก็จะพากันเข้าป่า มันเสียเวลาของประเทศ และถ้าปรับ ครม.อีกครั้งควรจะให้ความสำคัญในการจัดคนมาดูแลกระทรวงศึกษาเพราะเป็นกระทรวงใหญ่ที่จะต้องพัฒนาอนาคตของชาติไม่ใช่ทำเสร็จใครเสร็จมัน และไม่ว่าจะอยู่ 2-3 เดือนก็เสียเวลาเพราะการศึกษาจะต้องเรียนรู้ทุกวันไม่ใช่กระทรวงอื่นจะมารอได้

“รัฐมนตรีที่จะมาดูแลเรื่องการศึกษาถ้าไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็จะทำให้เกิดภาระกับโรงเรียน กระทรวง ผมเห็นใจแท่งต่างๆ มากที่จะต้องคอยมาให้ข้อมูลทำความเข้าใจให้ตรงกัน งานก็จะช้าและเสียเวลาไปอีก และงานที่จะทำไปข้างหน้าก็ไม่ได้คิดเองเพราะไม่มีความรู้ ให้คนอื่นคิด คนหนึ่งคิด คนหนึ่งทำบางทีมันไม่ก้าวหน้า และยังจะต้องเพิ่มภาระให้กับข้าราชการประจำอีก”

ให้เวลา 6 เดือนพิสูจน์ฝีมือ

นายธีรภัทร คำคูบอน ประธานที่ปรึกษาสหภาพครูแห่งชาติ กล่าวว่า องค์กรครูจะให้เวลารัฐมนตรีว่าการ ศธ.พิสูจน์ผลงาน 6 เดือน โดยจะไม่ยุ่งเกี่ยวการบริหารงานใดๆ จากนั้นจะวิเคราะห์การดำเนินงานว่าบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ หากภายในระยะเวลา 6 เดือนยังไม่มีนโยบายชัดเจนในการผลักดันการศึกษาให้ก้าวหน้าได้ องค์กรครูจะทบทวนบทบาทรัฐมนตรีว่าการ ศธ. และพูดคุยปัญหาที่ติดขัดและหาทางออก พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะ ว่าสิ่งไหนควรหรือไม่ควรปฏิบัติเพื่อให้งานเดินหน้าต่อไป

“การบริหารงานด้านการศึกษาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเข้าใจบริบทที่หลากหลาย ซึ่งองค์กรครูยินดีช่วยทุกปัญหาที่จะทำให้การผลักดันกฎหมายต่างๆ นำไปสู่การปฏิบัติสำเร็จ การให้เวลารัฐมนตรีว่าการ ศธ. คนใหม่ 6 เดือนพิสูจน์ตนเอง ถือว่ายุติธรรม และเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมในการพิสูจน์กึ๋นของรัฐมนตรีว่าการ ศธ. ขอยืนยันว่าไม่ได้ต้องการเป็นตัวตั้งตัวตีจับผิดรัฐมนตรีว่าการ ศธ.”

นายเยี่ยมยอด ศรีมันตะ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับทีมงานที่พรรคพลังประชาชนจัดตั้งมาดำรงตำแหน่ง รมว.ศธ. และ รมช.ศธ. เพราะทั้ง 3 ท่านเป็นคนที่ครูไม่รู้จักไม่คุ้นเคยว่าท่านเป็นใครมาจากไหน และที่สำคัญคือทั้ง 3 ท่านไม่มีความรู้ และประสบการณ์ด้านการศึกษา เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน อดีต รมว.ศธ. และ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีต รมช.ศธ.ซึ่งแม้จะมาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลเผด็จการก็ยังเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ในการบริหารงานด้านการศึกษาซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคม และที่สำคัญการที่ รมว.ศธ.นั่งควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้วยนั้น ถือว่าเป็นการให้ความสำคัญกับกระทรวงศึกษาน้อยเกินไป

“ฝากให้ รมว.ศธ.และ รมช.ศธ.ทั้ง 3 ท่าน เร่งศึกษาภาระงานที่จะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ปี 50 กำหนดไว้ และเรื่องการดำเนินงานตามนโยบายของปีงบประมาณ 2551 ซึ่งขณะนี้ก็ผ่านมา 5 เดือนแล้ว เหลือระยะเวลาอีกประมาณ 7 เดือน คณะรัฐมนตรีใหม่จะต้องมาสานต่อและทำอะไรอีกบ้าง เพื่อให้งานของ ศธ.เดินหน้าต่อไปได้”

ค้านนโยบายพักหนี้ครู

นายบำเรอ ภานุวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยหากจะมีนโยบายพักชำระหนี้ครู เพราะครูมีเงินเดือนประจำจนถึงเกษียณอายุราชการ และเท่าที่ลงพื้นที่พูดคุยกับครูและบุคลากรทางการศึกษา เขาต้องการให้แหล่งเงินกู้ลดดอกเบี้ย ขยายฐานวงเงินกู้เพิ่มมากขึ้น และลดขั้นตอนการขอกู้เงินเพื่อให้อนุมัติวงเงินรวดเร็วขึ้น

“การพักหนี้ครูต่างจากพักหนี้ให้แก่เกษตรกร ครูมีรายได้มีเงินเดือนประจำทุกเดือนสามารถผ่อนจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ได้ และอดีตรัฐมนตรีช่วย นายวรากรณ์ สามโกเศศ วางแผนการชำระหนี้ ตนว่าดีที่สุด จึงอยากให้สานนโยบายนี้ ขณะที่เกษตรกร ไม่มีรายได้ประจำ เขาไม่รู้ว่าแต่ละเดือนจะมีเงินเข้ากระเป๋าเท่าไหร่ ซึ่งขึ้นอยู่กับผลผลิตในแต่ละปี ปีไหนน้ำท่วม แล้ง พืช สิ่งเพาะปลูกเสียหาย เขาก็ไม่มีเงินที่จะมาชำระหนี้คืนให้แก่เจ้าหนี้”

นายบำเรอ กล่าวด้วยว่า ถ้าหากมีการพักชำระหนี้ให้แก่ครูจริงๆ ภาพลักษณ์ของครูจะถูกมองไปในทางไม่ดีนัก เนื่องจากครูใกล้ชิดและเป็นตัวอย่างให้แก่เยาวชน สังคม นอกจากนี้ การพักชำระหนี้เป็นเพียงการหยุดจ่ายเงินชั่วคราวเท่านั้น และหนี้ก้อนนั้นก็ไม่ได้ลดลง ยิ่งยืดระยะเวลาออกไปมีผลช่วงเกษียณอายุ ครูจะต้องถูกหักหนี้แล้วจะเหลือเงินหลังเกษียณน้อยลง

แพทยสภาเตือนระวังเป็นหุ่นเชิด

นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า ตนไม่ทราบประวัติ รัฐมนตรีสาธารณสุข คนใหม่ ไม่รู้จักมาก่อน จึงไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่หากไม่เคยจับงานด้านกระทรวงสาธารณสุขมาก่อน อาจทำให้งานล่าช้าในการตัดสินใจเพราะต้องเรียนรู้งานก่อน และอาจกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดข้าราชการได้ อย่างไรก็ดีหากมีที่ปรึกษารัฐมนตรีที่ดีก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะสามารถที่จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องกับปัญหาต่างๆ และให้ข้อมูลประกอบในการตัดสินใจ ส่วนรัฐมนตรีก็มอบนโยบาย วางหลักเกณฑ์ และตัดสินใจ ดังนั้น ที่สำคัญคือ ควรจะต้องเป็นผู้ที่รับฟังเสียงส่วนใหญ่

“อย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรกว่ารัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเป็นหมอ ไม่จำเป็นต้องคอยตอบข้อซักถามรายละเอียดเกี่ยวกับโรค เพราะคงไม่น่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันการเป็นคนนอกก็มีข้อดี ไม่ต้องมีการแบ่งพรรคแบ่งพวก มีความเป็นกลาง หากเป็นคนดีตั้งใจทำงานเพื่อประเทศ ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง ในส่วนการทำงานร่วมกันกับแพทยสภาก็ไม่มีอะไรขัดข้อง แต่ขอเสนอให้รัฐมนตรีใหม่วางระบบการทำงานในเชิงป้องกันสุขภาพในระยะยาวของประชาชนมากกว่างานแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่าหาเสียงโดยใช้เงินแจกๆ เพราะจะไม่ได้อะไรเลย”นพ.สมศักดิ์ กล่าว

แนะ รมต.มือใหม่หาคนช่วย

นายโคทม อารียา ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) ให้ความเห็นเกี่ยวกับครม.ใหม่ว่า ตนยังเป็นห่วงอยู่ว่ารัฐมนตรีบางคนจะเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่หรือไม่ ได้แต่คาดหวังว่าผู้ที่เข้ามาทำงานจะมีความสามารถในการใช้คนทำงานเป็น โดยจะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในภาระงานต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบเข้ามาช่วยงานที่รมต.ไม่ถนัดและจะให้บางคนมาเริ่มต้นงานตั้งแต่ ก.ไก่ก็คงยาก

รมต.กระทรวงไหนรู้ว่าไม่เคยสัมผัสงานมาก่อนมีอาชีพ มีประสบการณ์ หรือเล่าเรียนมาอีกอย่างก็ต้องคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนอัจฉริยะ เหมือนในรัฐบาล พล.อ.เปรม ที่ท่านรู้จักใช้คนเพราะยอมรับว่าตัวเองไม่ได้รู้ไปเสียหมด แต่ต้องหาคนที่เก่งและไว้ใจได้มาช่วยงาน ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิชาการเสมอไป แต่อาจเป็นคนที่มีประสบการณ์ในด้านนั้นๆ อาจเป็นนักธุรกิจหรือผู้ทำงานด้านประชาสังคมมาก่อนแล้วแต่ความเหมาะสมโดยอาจทำหน้าที่ให้ความเห็น คำแนะนำ หรือหากมีความสามารถในขั้นปฏิบัติการด้วยจะยิ่งดี เพื่อชดเชยกับสิ่งที่ รมต.แต่ละคนขาด

ประธาน สป. กล่าวว่า ส่วนตัวเป็นห่วงการทำงานของ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งให้น้ำหนักว่าเป็นกระทรวงเกรดเอ ทั้งนี้ เนื่องจากกระทรวงศึกษาฯ ที่ดูแลการศึกษาของประเทศมีปัญหามาโดยตลอดแม้จะมีความพยายามปฏิรูปการศึกษา แต่ก็ยังต้องอาศัยความเร่งรัดและจริงจัง ในขณะที่กระทรวงต่างประเทศ อยู่ในฐานะโฆษกของประเทศที่ต้องสร้างความเชื่อถือให้กับอีกร้อยกว่าประเทศ มีภาระหน้าที่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่จำต้องพึ่งพาการนำเข้าส่งออกในขณะนี้ รวมถึงจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้านโดยเฉพาะมาเลเซียและพม่าเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนของทั้งสองฝ่าย

สำหรับกระทรวงมหาดไทยนั้นจะต้องเจอกับเรื่องท้าทายหลายประการ เพราะขณะนี้มีกฎหมายองค์กรชุมชนบังคับใช้แล้ว กระทรวงมหาดไทยจะต้องหันมาส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจัง ในขณะที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างจะให้น้ำหนักกับการปกครองส่วนท้องที่เสียมากกว่า

ด้าน นายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการที่นายสมัคร นายกรัฐมนตรีนั่งควบตำแหน่งรมว.กลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่งว่า ถือว่าเป็นพลเรือนคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยมีปัจจัยหนุนจากการที่พรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งการเข้ามานั่งในตำแหน่งนี้ของตัวนายสมัครเองก็เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้ทหารทำการยึดอำนาจอีกครั้ง โดยหลังจากนี้รมต.พลเรือนจะเข้ามาทำหน้าที่ถ่วงดุลโดยการปรับโยกย้าย ซึ่งอาจดึงเอาให้นายทหารอีกขั้วหนึ่งเข้ามามีบทบาทามากขึ้น

เนื่องจากมีกฎหมายฉบับใหม่ที่จะบังคับใช้ในรัฐบาลชุดนี้ 2 ฉบับ ได้แก่ กม.ความมั่นคงภายใน และกม.จัดระเบียบบริหารราชการกลาโหมที่อาจทำให้ฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารทำงานร่วมกันได้ใกล้ชิดและราบเรียบขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

นายปณิธาน ตั้งข้อสังเกตว่า การที่นายสมัครควบตำแหน่ง รมว.กลาโหมก็เพื่อสร้างฐานอำนาจของตัวเองขึ้นมา เพราะตัวเองไม่ได้มีกลุ่มทางการเมืองหนุนหลัง การเป็นรมว.กลาโหมก็เท่ากับมีแขนขาที่พร้อมจะอาสาเข้ามาช่วยเหลือ โดยผู้ที่เข้ามาใกล้ชิดก็จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทั้งนี้รมว.กลาโหมที่เป็นพลเรือนซึ่งมีความเชี่ยวชาญไม่มากในขณะที่เวลาก็มีน้อยเพราะตัวเองต้องรับผิดชอบงานกว้างขวางในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงน่าจะต้องมีรัฐมนตรีช่วยหรือไม่ก็มีคณะที่ปรึกษา "คณะเสนาธิการของรัฐมนตรีจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดโดยเฉพาะตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีที่จะต้องคอยประสานงานกับนายทหารในส่วนต่างๆ"
กำลังโหลดความคิดเห็น