มีคนสรุปว่า ชัยชนะของพรรคพลังประชาชนที่มีนายสมัคร สุนทรเวชเป็นหัวหน้าพรรคในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เป็นชัยชนะทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของขบวนการประชาธิปไตยนับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
อ่านแล้วก็ขำ เพราะหากเชื่ออย่างนั้น เราคงต้องสรุปได้ว่า สมัคร บรรหาร เสนาะ เฉลิม ยงยุทธ เนวิน เหล่านี้คือ วีรบุรุษประชาธิปไตย
บางคนก็ว่า ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนเปรียบเหมือนผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหาร แต่ถามจริงเถอะครับว่า ประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชาชนกับที่ไม่เลือกพรรคพลังประชาชนฝ่ายไหนมากกว่ากัน
ในเมื่อมีสื่อมวลชนและนักวิชาการอีแอบช่วยกันชูแคมเปญว่า ถ้าต่อต้านรัฐประหารต้องเลือกพรรคพลังประชาชน
คนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชาชนมีจำนวน 12 ล้านคนเศษเท่าๆ กัน แล้วคนที่เลือกพรรคชาติไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาฯ พรรครวมใจไทยฯ พรรคประชาราช ที่เข้าร่วมกับพรรคพลังประชาชนด้วยอำนาจเงินนั้น ก็ล้วนแล้วแต่ประกาศตัวว่า จะไม่ร่วมกับพรรคพลังประชาชนทั้งสิ้นไม่ใช่หรือ
เขตเลือกตั้งในกรุงเทพฯ และภาคตะวันออก และเขตรอบในเทศบาลเมืองเกือบทุกเขต พรรคพลังประชาชนพ่ายแพ้การเลือกตั้ง สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นข้อคิดและคำตอบกับเรื่องใดได้บ้าง
หรือว่าเราต่อต้านอำนาจจากปากกระบอกปืน แต่เราสนับสนุนอำนาจจากนายเงิน
จริงๆ แล้วการที่สมัครเป็นนายกฯ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ขัดข้องหมองใจอะไรหรอกครับ ถ้าเราเลือกวิถีทางนี้และคิดว่า ประชาธิปไตยคือ การหย่อนบัตรเลือกตั้งเท่านั้น
มีก็แต่ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่รังเกียจสนธิ ลิ้มทองกุล และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เขียนบทความเรื่อง สมัคร สุนทรเวช - อีกหนึ่งความภูมิใจของพันธมิตรประชาชนเพื่อการรัฐประหาร" ในทำนองว่า สมัครเข้ามาสู่อำนาจได้ เป็นเพราะคณะพันธมิตรเขาเล่นเกมชูเจ้า ทักษิณเขาก็แก้เกมด้วยการเอาคนทรงเจ้าเข้ามา เป็นเกราะกำบังของเขา มันเลยทำให้ เราได้นายกฯ หน้าตาเป็นอย่างนี้
ผมไม่เถียงสุภลักษณ์หรอกครับว่า ทักษิณเลือกสมัครเพราะต้องการแก้ข้อกล่าวหาเรื่องไม่จงรักภักดี แต่ข้อกล่าวหานี้เกิดขึ้น เพราะใครเสกสรรปั้นแต่งขึ้นหรือเกิดจากพฤติกรรมของทักษิณเอง สุภลักษณ์ก็น่าจะหาคำตอบได้ไม่ยาก
แต่ผมคิดว่า สุภลักษณ์สรุปเอาง่ายๆ เกินไปว่า ข้ออ้างดังกล่าวในเวลาต่อมาได้รับการพิสูจน์ว่าเหลวใหล อัยการไม่ยอมทำตามประสงค์ของคณะรัฐประหาร ไม่ฟ้องทักษิณในข้อหานี้ ทำให้ความชอบธรรมในการรัฐประหารลดลงไปโขเลยทีเดียว
สุภลักษณ์เชื่อเช่นนั้นจริงๆ หรือว่า ข้อกล่าวหาต่อทักษิณเป็นเรื่องที่เหลวใหล เพียงเพราะอัยการสั่งไม่ฟ้องในเวลาต่อมา ถ้าหากตัดความคิดที่ว่า เราต้องยึดถือความเห็นของอัยการเพราะเป็นกติกาของสังคม และตัดความคิดของสุภลักษณ์ที่เป็นพวกต่อต้านระบอบกษัตริย์ออกไป
สุภลักษณ์ บอกว่า ผลของการชูธงสีเหลืองกลับยืนยาวกว่าที่คาดเอาไว้ และคนที่หยิบธงผืนนี้มาโบกสะบัดมีราคาที่จะต้องจ่ายด้วย เมื่อหัวหอกของขบวนผู้ประกอบการถูกศาลพิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญาในคดีหมิ่นประมาทเพราะหยิบยกเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตน ซึ่งมีราคาที่ต้องจ่าย เพราะพวกขวาด้วยกันคิดว่าเป็นของปลอม ไม่เชื่อว่า นี่เป็นสินค้าแบรนด์เนมตามที่โฆษณา
ในประเด็นนี้ ผมไม่มีหน้าที่ที่จะไปโต้แทนสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า เขาเป็นของปลอมหรือของจริง สนธิอาจไม่รู้หรือใส่ใจด้วยซ้ำว่า สุภลักษณ์เคยหมิ่นแคลนเขาต่อสาธารณะเช่นนี้มาหลายครั้งหลายหน
ผมเพียงต้องการถามว่า สนธิควรมีสิทธิ์ที่จะมีมุมมองต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แบบที่ตัวเองมองหรือต้องมองแบบที่สุภลักษณ์มอง และหวังว่าถ้าสุภลักษณ์เชื่อว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเหลวใหล เพราะอัยการสั่งไม่ฟ้อง สุภลักษณ์จะเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมในทุกๆ เรื่องต่อไป
ประเด็นต่อมาที่ผมต้องแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ก็คือว่า ในฐานะที่เป็นส่วนเล็กๆ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมรู้สึกว่า สุภลักษณ์หมิ่นแคลนขบวนการประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวร่วมกันนับหมื่นนับแสนคนจนเกินไป เพราะเป้าหมายแรกสุดของพวกเราก็คือ ต้องสู้กับรัฐบาลที่ฉ้อฉล และกลุ่มโจรการเมืองที่สวมเครื่องแบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ชอบธรรมพอที่เราจะออกมาขับไล่ระบอบทักษิณ
เป้าหมายของพวกเรา คือ ขับไล่รัฐบาลประชาธิปไตยที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของของประชาชน แทรกแซงสื่อ แทรกแซงองค์กรอิสระ ซึ่งเป็นการแสดงออกขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย
และเรื่องต่อมาก็คือ ผมเป็นคนหนึ่งที่แสดงความเห็นเรื่องการเป็นนอมินีทักษิณของสมัคร และพูดถึงเรื่องคดีติดคัวของสมัครและคุณสมบัติของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี
เพราะสุภลักษณ์บอกว่า การสะดีดสะดิ้งแสดงการไม่ยอมรับ เพราะอ้างว่าเป็นนอมินีทักษิณบ้าง มีคดีติดตัวบ้าง เป็นจริตทางการเมืองเล็กๆ น้อยๆ ที่จะทำให้ตัวดูเป็นคนดีอยู่บ้างเท่านั้น แต่มันไม่ได้ทำให้พวกเขาต่างจากสมัครเลยนั้น
แม้ว่าผมอาจจะไม่เป็นคนดีเลิศเท่าสุภลักษณ์ แต่ผมว่ามันตลกนะครับ ถ้าสุภลักษณ์จะยัดเยียดให้ได้ว่า พวกเราต้องรับผิดชอบที่สมัครได้เป็นนายกฯ ทั้งๆ ที่คนที่อึดอัดใจที่สุดที่สมัครเป็นนายกฯ ก็คือ สุภลักษณ์เองที่หลงเชียร์พรรคพลังประชาชน เพราะเชื่อว่านี่คือ ป้อมปราการของระบอบประชาธิปไตย
เดี๋ยวจะถูกกล่าวหาว่า จับประเด็นไม่เป็น ผมเข้าใจนะครับว่า ความเห็นของสุภลักษณ์ในบทความนั้นก็คงประมาณว่า ถ้าทักษิณไม่ถูกกล่าวหาเรื่องความจงรักภักดี เราก็คงไม่มีนายกฯชื่อสมัคร ดังนั้นจึงแดกดันว่า คนที่ต้องรับผิดชอบ คือ พันธมิตร ไม่ใช่ทักษิณหรือประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชาชน
แต่ว่าก็ว่าเถอะ อาจจะเป็นด้วยสติปัญญาอันตื้นเขินของตัวเอง เกือบทุกครั้งที่อ่านบทความของสุภลักษณ์ ที่เรียกตัวเองว่า "ซ้ายพฤษภาิ" ผมมักจะเจอกับตรรกอันอลเวง ยึดติดอยู่กับเรื่องซ้ายขวา เหมือนกับเป็นปมด้อยที่โตไม่ทันเข้าป่า แม้แต่บทความชิ้นนี้เดี๋ยวก็บอกว่า พวกเราดีใจไชโยจนสุดเสียง ที่สมัครได้เป็นนายกฯ แต่พอแสดงความเห็นอีกท่อนหนึ่งกลับบอกว่า พวกเราจะเป็นจะตายกัน
แถมคนที่เข้าไปแสดงความเห็นโต้แย้งสุภลักษณ์ท้ายบทความจะถูกหมิ่นแคลนจากสุภลักษณ์ ทำนองว่า "ผมทบทวนวิชา logic ให้ ไม่ต้องมั๊ง เก่งแล้วนี่" "หัดจับประเด็นให้แม่นๆ หน่อยก็ใช้ได้แล้ว" "คุณเรียนวิชารัฐศาสตร์มาจากไหน หรืออ่านหนังสือเล่มไหน" หรือ "จะมาตะแบงหาสวรรค์วิมานอะไร" ฯลฯ
ส่วนข้อกล่าวหาที่บอกว่า พวกเราเป็นคนเชื้อเชิญคณะรัฐประหารเมื่อ 19 กันยานั้น ถึงวันนี้คงได้บทสรุปแล้วว่า ทหารทำเพื่อข้ออ้าง 4 ข้อที่เขียนขึ้นมา หรือเพื่อรักษาอำนาจของทักษิณกันแน่
อ่านแล้วก็ขำ เพราะหากเชื่ออย่างนั้น เราคงต้องสรุปได้ว่า สมัคร บรรหาร เสนาะ เฉลิม ยงยุทธ เนวิน เหล่านี้คือ วีรบุรุษประชาธิปไตย
บางคนก็ว่า ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนเปรียบเหมือนผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหาร แต่ถามจริงเถอะครับว่า ประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชาชนกับที่ไม่เลือกพรรคพลังประชาชนฝ่ายไหนมากกว่ากัน
ในเมื่อมีสื่อมวลชนและนักวิชาการอีแอบช่วยกันชูแคมเปญว่า ถ้าต่อต้านรัฐประหารต้องเลือกพรรคพลังประชาชน
คนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชาชนมีจำนวน 12 ล้านคนเศษเท่าๆ กัน แล้วคนที่เลือกพรรคชาติไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาฯ พรรครวมใจไทยฯ พรรคประชาราช ที่เข้าร่วมกับพรรคพลังประชาชนด้วยอำนาจเงินนั้น ก็ล้วนแล้วแต่ประกาศตัวว่า จะไม่ร่วมกับพรรคพลังประชาชนทั้งสิ้นไม่ใช่หรือ
เขตเลือกตั้งในกรุงเทพฯ และภาคตะวันออก และเขตรอบในเทศบาลเมืองเกือบทุกเขต พรรคพลังประชาชนพ่ายแพ้การเลือกตั้ง สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นข้อคิดและคำตอบกับเรื่องใดได้บ้าง
หรือว่าเราต่อต้านอำนาจจากปากกระบอกปืน แต่เราสนับสนุนอำนาจจากนายเงิน
จริงๆ แล้วการที่สมัครเป็นนายกฯ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ขัดข้องหมองใจอะไรหรอกครับ ถ้าเราเลือกวิถีทางนี้และคิดว่า ประชาธิปไตยคือ การหย่อนบัตรเลือกตั้งเท่านั้น
มีก็แต่ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่รังเกียจสนธิ ลิ้มทองกุล และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เขียนบทความเรื่อง สมัคร สุนทรเวช - อีกหนึ่งความภูมิใจของพันธมิตรประชาชนเพื่อการรัฐประหาร" ในทำนองว่า สมัครเข้ามาสู่อำนาจได้ เป็นเพราะคณะพันธมิตรเขาเล่นเกมชูเจ้า ทักษิณเขาก็แก้เกมด้วยการเอาคนทรงเจ้าเข้ามา เป็นเกราะกำบังของเขา มันเลยทำให้ เราได้นายกฯ หน้าตาเป็นอย่างนี้
ผมไม่เถียงสุภลักษณ์หรอกครับว่า ทักษิณเลือกสมัครเพราะต้องการแก้ข้อกล่าวหาเรื่องไม่จงรักภักดี แต่ข้อกล่าวหานี้เกิดขึ้น เพราะใครเสกสรรปั้นแต่งขึ้นหรือเกิดจากพฤติกรรมของทักษิณเอง สุภลักษณ์ก็น่าจะหาคำตอบได้ไม่ยาก
แต่ผมคิดว่า สุภลักษณ์สรุปเอาง่ายๆ เกินไปว่า ข้ออ้างดังกล่าวในเวลาต่อมาได้รับการพิสูจน์ว่าเหลวใหล อัยการไม่ยอมทำตามประสงค์ของคณะรัฐประหาร ไม่ฟ้องทักษิณในข้อหานี้ ทำให้ความชอบธรรมในการรัฐประหารลดลงไปโขเลยทีเดียว
สุภลักษณ์เชื่อเช่นนั้นจริงๆ หรือว่า ข้อกล่าวหาต่อทักษิณเป็นเรื่องที่เหลวใหล เพียงเพราะอัยการสั่งไม่ฟ้องในเวลาต่อมา ถ้าหากตัดความคิดที่ว่า เราต้องยึดถือความเห็นของอัยการเพราะเป็นกติกาของสังคม และตัดความคิดของสุภลักษณ์ที่เป็นพวกต่อต้านระบอบกษัตริย์ออกไป
สุภลักษณ์ บอกว่า ผลของการชูธงสีเหลืองกลับยืนยาวกว่าที่คาดเอาไว้ และคนที่หยิบธงผืนนี้มาโบกสะบัดมีราคาที่จะต้องจ่ายด้วย เมื่อหัวหอกของขบวนผู้ประกอบการถูกศาลพิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญาในคดีหมิ่นประมาทเพราะหยิบยกเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตน ซึ่งมีราคาที่ต้องจ่าย เพราะพวกขวาด้วยกันคิดว่าเป็นของปลอม ไม่เชื่อว่า นี่เป็นสินค้าแบรนด์เนมตามที่โฆษณา
ในประเด็นนี้ ผมไม่มีหน้าที่ที่จะไปโต้แทนสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า เขาเป็นของปลอมหรือของจริง สนธิอาจไม่รู้หรือใส่ใจด้วยซ้ำว่า สุภลักษณ์เคยหมิ่นแคลนเขาต่อสาธารณะเช่นนี้มาหลายครั้งหลายหน
ผมเพียงต้องการถามว่า สนธิควรมีสิทธิ์ที่จะมีมุมมองต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แบบที่ตัวเองมองหรือต้องมองแบบที่สุภลักษณ์มอง และหวังว่าถ้าสุภลักษณ์เชื่อว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเหลวใหล เพราะอัยการสั่งไม่ฟ้อง สุภลักษณ์จะเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมในทุกๆ เรื่องต่อไป
ประเด็นต่อมาที่ผมต้องแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ก็คือว่า ในฐานะที่เป็นส่วนเล็กๆ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมรู้สึกว่า สุภลักษณ์หมิ่นแคลนขบวนการประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวร่วมกันนับหมื่นนับแสนคนจนเกินไป เพราะเป้าหมายแรกสุดของพวกเราก็คือ ต้องสู้กับรัฐบาลที่ฉ้อฉล และกลุ่มโจรการเมืองที่สวมเครื่องแบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ชอบธรรมพอที่เราจะออกมาขับไล่ระบอบทักษิณ
เป้าหมายของพวกเรา คือ ขับไล่รัฐบาลประชาธิปไตยที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของของประชาชน แทรกแซงสื่อ แทรกแซงองค์กรอิสระ ซึ่งเป็นการแสดงออกขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย
และเรื่องต่อมาก็คือ ผมเป็นคนหนึ่งที่แสดงความเห็นเรื่องการเป็นนอมินีทักษิณของสมัคร และพูดถึงเรื่องคดีติดคัวของสมัครและคุณสมบัติของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี
เพราะสุภลักษณ์บอกว่า การสะดีดสะดิ้งแสดงการไม่ยอมรับ เพราะอ้างว่าเป็นนอมินีทักษิณบ้าง มีคดีติดตัวบ้าง เป็นจริตทางการเมืองเล็กๆ น้อยๆ ที่จะทำให้ตัวดูเป็นคนดีอยู่บ้างเท่านั้น แต่มันไม่ได้ทำให้พวกเขาต่างจากสมัครเลยนั้น
แม้ว่าผมอาจจะไม่เป็นคนดีเลิศเท่าสุภลักษณ์ แต่ผมว่ามันตลกนะครับ ถ้าสุภลักษณ์จะยัดเยียดให้ได้ว่า พวกเราต้องรับผิดชอบที่สมัครได้เป็นนายกฯ ทั้งๆ ที่คนที่อึดอัดใจที่สุดที่สมัครเป็นนายกฯ ก็คือ สุภลักษณ์เองที่หลงเชียร์พรรคพลังประชาชน เพราะเชื่อว่านี่คือ ป้อมปราการของระบอบประชาธิปไตย
เดี๋ยวจะถูกกล่าวหาว่า จับประเด็นไม่เป็น ผมเข้าใจนะครับว่า ความเห็นของสุภลักษณ์ในบทความนั้นก็คงประมาณว่า ถ้าทักษิณไม่ถูกกล่าวหาเรื่องความจงรักภักดี เราก็คงไม่มีนายกฯชื่อสมัคร ดังนั้นจึงแดกดันว่า คนที่ต้องรับผิดชอบ คือ พันธมิตร ไม่ใช่ทักษิณหรือประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชาชน
แต่ว่าก็ว่าเถอะ อาจจะเป็นด้วยสติปัญญาอันตื้นเขินของตัวเอง เกือบทุกครั้งที่อ่านบทความของสุภลักษณ์ ที่เรียกตัวเองว่า "ซ้ายพฤษภาิ" ผมมักจะเจอกับตรรกอันอลเวง ยึดติดอยู่กับเรื่องซ้ายขวา เหมือนกับเป็นปมด้อยที่โตไม่ทันเข้าป่า แม้แต่บทความชิ้นนี้เดี๋ยวก็บอกว่า พวกเราดีใจไชโยจนสุดเสียง ที่สมัครได้เป็นนายกฯ แต่พอแสดงความเห็นอีกท่อนหนึ่งกลับบอกว่า พวกเราจะเป็นจะตายกัน
แถมคนที่เข้าไปแสดงความเห็นโต้แย้งสุภลักษณ์ท้ายบทความจะถูกหมิ่นแคลนจากสุภลักษณ์ ทำนองว่า "ผมทบทวนวิชา logic ให้ ไม่ต้องมั๊ง เก่งแล้วนี่" "หัดจับประเด็นให้แม่นๆ หน่อยก็ใช้ได้แล้ว" "คุณเรียนวิชารัฐศาสตร์มาจากไหน หรืออ่านหนังสือเล่มไหน" หรือ "จะมาตะแบงหาสวรรค์วิมานอะไร" ฯลฯ
ส่วนข้อกล่าวหาที่บอกว่า พวกเราเป็นคนเชื้อเชิญคณะรัฐประหารเมื่อ 19 กันยานั้น ถึงวันนี้คงได้บทสรุปแล้วว่า ทหารทำเพื่อข้ออ้าง 4 ข้อที่เขียนขึ้นมา หรือเพื่อรักษาอำนาจของทักษิณกันแน่