xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ซื้อบ้านอิงทำเล-ราคาMKโว!มีชื่อเสียงไม่พอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“มั่นคงเคหะการฯ”เผยผลวิจัยลูกค้าเลือกซื้อบ้านเพราะทำเล – ราคา ระบุแบรนด์ใหญ่แค่ไหน หากทำเลไม่ดีราคาไม่เหมาะสมก็ขายไม่ออก พร้อมนำผลวิจัยปรับใช้ในการพัฒนาโครงการต่อไป เผยปีนี้เปิดใหม่แค่ 1 โครงการ ระบุมีสินค้ารอขายในมือถึง 2,000 ยูนิต ชี้ราคาที่ดินใจกลางเมืองปรับขึ้นกว่าเท่าตัว ส่วนรอบนอกเมืองปรับขึ้น 20-30% เทียบกับเมื่อ 3 ปีก่อน

นางสาวชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัทมั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยผลสำรวจของกลุ่มลูกค้า ที่มาซื้อสินค้าของบริษัทจำนวน 600 ยูนิต พบว่า สิ่งที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อบ้านอันดับแรกคือ ทำเล สูงถึง 32.20%, อันดับ 2 ซื้อเพราะราคา 20.68%, รูปแบบบ้าน 19.02%, อันดับ 3 สภาพโครงการ 6.79%, โปรโมชัน 6.79% การบริการ 6.39%, ชื่อเสียงของบริษัท 3.31% และอื่นๆ 4.81%

นอกจากนี้ จากผลการสำรวจความต้องการของผู้บริโภคภายในงาน-มหกรรมบ้านและคอนโด ยังพบว่า ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลช่วยส่งเสริมในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยมากที่สุดถึง 62.8% รองลงมาให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอน 20.9% ผ่อนเกณฑ์การตรวจสอบคุณสมบัติผู้กู้ 8.5% ส่วนสาเหตุหลังที่ทำให้ตัดสินใจซื้อบ้านมาจาก ความจำเป็นที่ต้องซื้อที่อยู่อาศัยภายในปีนี้ 32.9% อัตราดอกเบี้ยถูกลง 30.4% โปรโมชันน่าสนใจ 28.8% และมาตรการของรัฐบาลเพียง 7.9%

ผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ลูกค้าให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือราคา ในขณะที่ชื่อเสียงของบริษัทเป็นอันดับเกือบสุดท้าย สะท้อนให้เห็นว่า แม้ผู้ประกอบการจะมีชื่อเสียงเพียงใด หากทำเลที่ตั้งอยู่ไกลหรือราคาไม่เหมาะสมก็ไม่สามารถขายได้เช่นกัน นอกจากนี้ ควรมีโปรโมชันในแก่ลูกค้า เพื่อเร่งการตัดสินใจซื้อ ซึ่งผลสำรวจดังกล่าวบริษัทจะนำไปประกอบการเลือกซื้อที่ดินและพัฒนาที่อยู่อาศัยของบริษัทต่อไป

ขณะที่ผลการโหวตในเว็บไซต์ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในหัวข้อ " ท่านคิดว่า พื้นที่ใดนอกย่านใจกลางธุรกิจเดิมของกรุงเทพฯ จะมีศักยภาพด้านอสังหาริมทรัพย์ดีที่สุด ในช่วงระยะเวลา 1-2 ปี ข้างหน้า" จำนวนผู้เข้ามาโหวต 423 ตัวเลขระหว่างวันที่ 16-31 ธ.ค.2550 ทำเลพระราม 3 (20%) ,แจ้งวัฒนะ (20%) ,ตากสิน (14%) , มักกะสัน (7%) ,บางซื้อ (10%) ,บางนา 17% และ พื้นที่นอกจากนี้ (12%)

นางสาวชุติมา กล่าวว่า ในปี 2551 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่เพียง 1 แห่ง ได้แก่ โครงการชวนชื่นโมดัส แจ้งวัฒนะ ตั้งอยู่บนถนนเลี่ยงเมือง ปากเกร็ด จำนวน 260 ยูนิต บนเนื้อที่ 50 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ มีแผนเปิดเฟสใหม่ในโครงการเก่า 8 โครงการาจำนวน 900 ยูนิต ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการเก่าบริษัทจะมีโครงการเปิดขายในปีนี้รวมทั้งสิ้น 17 โครงการ จำนวน 2,000 ยูนิต

ด้านนายชูเกียรติ ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทมั่นคงเคหะการฯ กล่าวว่า ปัจจุบันราคาที่ดินได้ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทำเลในเมือง เช่น ย่านสุขุมวิท ช่วงต้นๆ ที่สามารถพัฒนาคอนโดมิเนียมได้ ปรับขึ้นกว่า 1 เท่าตัว จากเมื่อ 3 ปีก่อน ส่วนโซนรอบนอกเมืองปรับขึ้นเฉลี่ย 20-30% เทียบกับ 3 ปีก่อน ซึ่งถือว่าไม่มากนัก ส่วนทำเลแจ้งวัฒนะที่บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่นั้น ถือว่าเป็นทำเลที่ดี อีกทั้งยังมีคู่แข่งน้อยราย ซึ่งจากการเปิดขายโครงการชวนชื่นในย่านนั้นได้ผลตอบรับดีมาก

ส่วนสาเหตุที่เปิดโครงการใหม่เพียง 1 แห่งนั้น เนื่องจากที่ดินแปลงที่มีศักยภาพในการพัฒนามีเพียงแปลงเดียว และอยู่ระหว่างเจรจาอีกหลายแปลงหากซื้อได้จะต้องใช้เวลาถมดินอีก 7 เดือนจึงจะพัฒนาได้ โดยคาดว่าจะซื้อเพิ่มอีก 1 แปลงและจะสามารถเปิดขายได้ในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตามต้องขึ้นอยู่กับภาวะตลาด นอกจากนี้บริษัทยังมีเฟสใหม่ต่อเนื่องอีกส่วนหนึ่งด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ออกแบบบ้านใหม่ Tropical Modern Architecture รูปทรงเรียบง่ายแต่ดูทันสมัย เน้นลายเส้น และรูปทรงเรขาคณิต เลือกใช้วัสดุที่แสดงความเป็นโมเดิร์นสไตล์ โดยมีกลุ่มลึกค้าเป้าหมาย อายุตั้งแต่ 25-45 ปี อย่างไรก็ตาม การออกแบบบ้านใหม่เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่กลุ่มลูกค้า มิใช่เป็นการปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคใหม่ของมั่นคง เพราะฟังก์ชันการใช้สอยภายในยังคงเหมือนเดิม

ล่าสุด บริษัทฯได้รับรับรางวัลจาก โครงการประกวดบ้านจัดสรรอนุรักษ์พลังงานงานดีเด่น ปี 2550 ซึ่งจัดโดย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จำนวนทั้งสิ้น 4 รางวัล ได้แก่ รางวัลระดับดีบ้านเดี่ยวขนาดกลาง แบบ DECOZA ใน โครงการชวนชื่นรีเจนท์ รางวัลชมเชยบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก แบบ PASADENA ใน โครงการชวนชื่นรีเจนท์ แบบกุสุมา และแบบนีรภา B ในโครงการชวนชื่นวัชรพล

“ จุดเด่นที่สำคัญที่ทำให้เราได้รับรางวัลในครั้งนี้มาจาก 2 ปัจจัยด้วยกัน ปัจจัยภายนอกเริ่มตั้งแต่การวางผังโครงการซึ่งเราเลือกวาง Lay Out โดยคำนึงถึงทิศทางของลม แสงแดด รวมถึงการแก้ไขในเรื่องของข้อจำกัดของแปลงที่ดินให้ทุกแปลงสามารถได้รับแสงแดดที่เหมาะสม และระบายอากาศได้ดี ส่วนปัจจัยภายในคือฟังก์ชันและประโยชน์ใช้สอยภายใน ที่คำนึงถึงพื้นที่ใช้สอย และแสงสว่างเข้าได้ทั่วถึง รวมทั้งส่วนประกอบต่างๆ ที่ช่วยลดในเรื่องของการใช้พลังงานไม่ว่าจะเป็นช่อง ช่องแสง การระบายอากาศ นอกจากนั้นก็คือ การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างทั้งภายนอกและภายในที่มีคุณภาพและประหยัดพลังงานได้ดี ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมาตรฐานของบริษัทฯ ที่เราใช้พัฒนาในทุกๆ โครงการอยู่แล้ว”

สำหรับผลประกอบการในปี 2550 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้ 2,110 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 2549 ที่มียอดขาย 1,750 ล้านบาท และคาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 1,900 ล้านบาท นับว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ถึงแม้ในปีที่ผ่านมาสภาวะเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากสนามกอล์ฟ อีก70-80 ล้านบาทต่อปีดังนั้นในปี 2551 บริษัทจึงตั้งเป้าการเติบโตอีก 25-30% โดยมีเป้ายอดขายที่ 2,700 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น