xs
xsm
sm
md
lg

มั่นคงฯ ฟุ้งคนเร่งซื้อบ้านหนีต้นทุนใหม่ ดันแบล็คล็อคในมือเพิ่มกว่า 1,600 ล้านบาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มั่นคงฟุ้งยอดขายส่วนกระแสคนแห่ซื้อบ้านก่อนขึ้นราคา ส่งผลยอดรับรู้รายได้ครึ่งปีแรก 838 ล้านบาท แจงแบล็คล็อคในมืออีก 1,600 ล้านบาท คาดทั้งปีรับรู้ 2,500 ล้านบาท เผยปี51เล็งเปิดโครงการใหม่ 3-4 แห่งมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท
 
นางสาวชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะมีการชะลอตัวจากปัจจัยลบด้านต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ต้นทุนการก่อสร้างปรับสูงข้น จนเป็นเหตุให้ราคาบ้านปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาวะดังกล่าวส่งผลให้ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อบ้านอยู่เดิมเร่งตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น เพราะเกรงว่าหากซื้อช้ากว่านี้จะต้องซื้อบ้านในราคาที่สูงขึ้น
 
ภาวะดังกล่าวสะท้อนได้จากยอดขายของบริษัท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกมียอดขาย 1,480 ล้านบาท สามารถรับรู้รายได้ 838 ล้านบาท โดยยอดขายที่ปรับขึ้นมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม ที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ ชวนชื่น โมดัส แจ้งวัฒนะ ทำให้ยอดขายในเดือนดังกล่าวสูงกว่า 300 ล้านบาท ส่วนในเดือนสิงหาคมมียอดขายแล้ว 250 ล้านบาท
   
อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่าจะมียอดขายทั้งปีไม่น้อยกว่า 2,700 ล้านบาท เป็นยอดรับรู้รายได้ 2,500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบล็คล็อค) 1,600 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้ได้ในปีนี้ 1,400 ล้านบาท แบ่งเป็นไตรมาส 3 จำนวน 700 ล้านบาท ไตรมาส 4 อีก 700 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 200  ล้านบาท รับรู้ในไตรมาสแรกปีหน้า
 
นอกจากนี้ เพื่อให้ทันกับมาตรการด้านภาษีที่จะหมดอายุในสิ้นเดือนมีนาคม 2552 บริษัทได้เร่งพัฒนาบ้าน สร้างเสร็จก่อนขายออกมาเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนนี้จะทำให้บริษัทมียอดขายที่สามารถรับรู้ได้เลยอีกไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีสินค้ารอขายในมือ จำนวน 1,700 ล้านบาท มูลค่าเกือบ 5,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นบ้านระหว่างสร้างจำนวน 230 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 3.6-3.7 ล้านบาท อัตราการขายเฉลี่ยเดือนละ30-40 ยูนิตต่อเดือน  
 
ส่วนต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ประมาณ 5-8% นั้นได้ส่งผลต่อต้นทุนราคาขายปรับขึ้นประมาณ 3-5% ซึ่งในแบบบ้านใหม่บริษัทได้ปรับขึ้นราคามาแล้วประมาณ 3% ส่วนแบบบ้านเก่ายังขายในราคาเดิม และส่วนหนึ่งได้รับประโยชน์ในด้านภาษีทำให้สามารถคงราคาขายเดิมไว้ได้บางส่วน และอีกบางส่วนนำไปเป็นส่วนลดหรือโปรโมชั่นให้แก่ลูกค้า ส่งผลให้บริษัทยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับ 39.80% ส่วนกำไรสุทธิ 16.68%
 
นายชุติมา กล่าวต่อว่า ในปีนี้อัตราการขายสินค้าของบริษัทยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ส่วนหนึ่งนาจะมาจากมาตรการการกระตุ้นทางภาษี ทำให้แม้ว่าบริษัทจะเปิดโครงการใหม่เพียงแห่งเดียวคือ ชวนชื่น โมดัส แต่ก็ยังมียอดขายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่มีนโยบายเปิดโครงการใหม่เพิ่มภายในปีนี้
 
สำหรับในปีหน้าหากรัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการภาษีภาคอสังหาฯ บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่อีก 3-4 แห่ง มูลค่า ประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นยอดขาย เพราะเมื่อมีการเปิดตัวโครงการใหม่ จะมียอดขายที่เพิ่มขึ้นมาก ปัจจุบันบริษัทได้ซื้อที่ดินเข้ามาแล้ว 2 แปลง ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างเจรจา
กำลังโหลดความคิดเห็น