xs
xsm
sm
md
lg

จากวันที่ สมัคร “คลอดเอาเท้าออกมาก่อน” จนถึงวันนี้

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เมื่อวันอังคารที่ 29 มกราคม 2550 ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยก็ต้องถูกจารึกไว้อีกครั้งหนึ่งเมื่อประเทศไทยได้มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ที่ชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช

นายสมัคร สุนทรเวช เกิดเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2478 ตรงกับ “ปีกุน” หรือ “ปีหมู” ซึ่งตอนที่นายสมัคร สุนทรเวช เกิดนั้นมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยได้เพียงแค่ 3 ปี

พ่อและแม่ของนายสมัครมีลูกกันด้วย 9 คน ส่วนนายสมัครเป็นลูกชายคนที่ 7 แต่ตอนเกิดนั้น นายสมัครเกิดผิดกว่าลูกทุกคนและค่อนข้างจะผิดปกติกว่าผู้คนธรรมดาเขาด้วย เพราะแทนที่จะเอาหัวออกนายสมัครกลับเอาเท้าออกก่อน แล้วจึงเอาตัว ใบหน้า และหัวออกมาทีหลังตามลำดับ จนออกมาเป็นนายสมัคร สุนทรเวช ที่มีหน้าตาและจมูกชมพู่แหงนขึ้นเป็นเอกลักษณ์หายากชนิดที่ไม่ค่อยจะเหมือนมนุษย์คนไหนในประเทศนี้

แต่นายสมัครก็ดูเหมือนจะเห็นเรื่องการคลอดเอาเท้าออกมาก่อนเป็นเรื่องที่มีความน่าจดจำและน่าบันทึกเอาไว้อย่างภาคภูมิใจ จนนายสมัคร สุนทรเวช ได้บันทึกเอาไว้ด้วยตัวเองในหนังสือชื่อ การเมืองเรื่องตัณหา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 ว่าคุณแม่นายสมัครได้เคยเล่าให้ฟังเมื่อนายสมัครโตขึ้นว่าเมื่อทำคลอดเสร็จคุณหมอก็หันมาบอกคุณแม่ว่า

“คุณหญิง ลูกคุณหญิงคนนี้เอาเท้าออก ขอให้เลี้ยงเอาไว้ให้ดี วันข้างหน้าจะช่วยครอบครัว ช่วยวงศ์สกุลและจะเป็นคนช่วยบ้านช่วยเมืองได้”

นายสมัครได้เติบโตขึ้นใช้ชีวิตที่หลากหลายทั้งในฐานะนักการเมือง นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักจัดรายการทางสถานีโทรทัศน์และวิทยุ เคยผจญกับความลำบากในช่วงสงครามโลก เคยเผชิญหน้ากับความขัดแย้งทางการเมืองมาหลายยุคหลายสมัย จะว่าไปแล้วนายสมัครอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่มีความขัดแย้งอยู่มาเกือบตลอดชีวิต

จากวันนั้นถึงปีนี้นายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 เป็นผลสำเร็จในวัยที่ใกล้จะครบ 73 ปี เป็นเหตุการณ์ที่นักการเมืองอาวุโสที่มีฝีปากกล้าอย่างนายสมัครยังต้องเสียงสั่นเครือกับการพูดและยังมีเสียงหายใจสั้นถี่และแรงในการแถลงข่าวครั้งแรกหลังจากที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี

แน่นอนว่าคนที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยที่ทำงานทางการเมืองเกือบทั้งชีวิตมาจนถึงสูงวัยเช่นนี้ย่อมมีความตื่นเต้นเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ อาจจะเป็นแพราะเหตุนี้จึงทำให้เนื้อหาการให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกของนายสมัครในฐานะนายกรัฐมนตรีกลับวนเวียนและให้น้ำหนักในเรื่องความขัดแย้งในทางการเมืองมากกว่าทิศทางของประเทศไทยว่าจะเดินหน้าไปทางไหนเสียเป็นส่วนใหญ่

นายสมัคร สุนทรเวช ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการอธิบายว่าตัวเองนั้นมีความชอบธรรมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความสามารถที่มาพร้อมกับคณะบุคคลในคณะรัฐมนตรี รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง มีประสบการณ์ในการทำงานทางการเมือง ขอเวลาในการทำงาน มีความชื่นชมต่อรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ และยังสำทับว่าประชาชนเลือกพรรคพลังประชาชนมาจำนวนมากนั้นแสดงให้เห็นว่าข้อกล่าวหาและข้อสงสัยในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นประชาชนมีความรู้สึกเห็นเป็นอย่างไร?

การออกมารับประกันจิตใจความจงรักภักดีของคนอื่นดูจะเป็นเรื่องเกินงามสำหรับการแถลงข่าววันแรกในฐานะนายกรัฐมนตรี เพราะความเป็นจริงในการหยิบยกในเรื่องคะแนนเสียงว่าคือความถูกต้องแสดงถึงความจงรักภักดีดูจะเป็นตรรกะที่ไม่น่าจะใช้ได้ เพราะความจงรักภักดีนั้นขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของคนคนนั้นทั้ง กาย วาจา ใจ

ประชาชนที่ลงคะแนนรู้ถึงการปฏิบัติของคนคนนั้นครบถ้วนยังเป็นปัจจัยอีกประการหนึ่งที่มาควบคู่กับคะแนนเสียงที่ได้มานั้นมีความสุจริตเที่ยงธรรมหรือไม่ก็เป็นอีกประการหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆกับข้อเท็จจริงในเรื่องความจงรักภักดี เพราะถ้านายสมัครมีความสนใจในข้อกล่าวหาในลักษณะแบบนี้และต้องการหาข้อเท็จจริง ก็ควรที่จะไปสอบถามนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย หรือ นายโสภณ สุภาพงษ์ หรือแม้แต่คำพูดหรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมในสถานที่ต่างๆในรัฐบาลระบอบทักษิณในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องที่นายสมัครเลือกมาพูดครั้งแรกในที่สาธารณะในฐานะนายกรัฐมนตรี ดูจะไม่มีความเหมาะสมในกาลเทศะด้วยประการทั้งปวง ราวกับเป็นการส่งสัญญาณตอบแทนบุญคุณใครบางคนที่ทำให้ตัวเองให้กับการขึ้นมาได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันนี้

วันนี้ นายสมัคร สุนทรเวช ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ดังนั้นในฐานะผู้นำสูงสุดในฝ่ายบริหารของประเทศไทยต้องถือว่าการแสดงออกและการตัดสินใจของนายสมัครย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะมีบั้นปลายชีวิตและการบันทึกประวัติศาสตร์ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีประเภทใด

สำนักข่าวต่างประเทศจำนวนมาก รวมถึงสื่อสารมวลชน และนักวิชาการในประเทศไทยต่างดูตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในเวลานี้เป็นเพียงหุ่นเชิดหรือ นอมินี ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับนายสมัครที่จะเลือกเอง ถ้าต้องการประพฤติปฏิบัติตัวเองให้เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดหรือนอมินีให้กับระบอบทักษิณจนถูกคนไทยทั้งประเทศและชาวต่างชาติตราหน้าว่าเป็นนายกรัฐมนตรีหัวหลักหัวตอที่ไม่มีใครให้ความสำคัญหรือราคาค่างวดอะไร อาจจะถูกขนานนามต่อไปด้วยซ้ำว่าเป็น “นายกรัฐมนตรีหัวตอ”

“นายกรัฐมนตรีหัวตอ”
เป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นเสมือนหุ่นเชิด แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีก็ให้เป็นไปตามผู้มีอำนาจที่แท้จริง ผู้มีอำนาจที่แท้จริงคือกลุ่มบุคคลที่สามารถจัดสรรผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆให้กับนักการเมืองอย่างเพียงพอ “นายกรัฐมนตรีหัวตอ” จะไม่มีอำนาจในการจัดสรรตำแหน่งคณะรัฐมนตรี ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องใดๆ โยกย้ายข้าราชการเองไม่ได้ ไม่สามารถให้ความเห็นขัดแย้งต่อคำสั่งใดๆ จากผู้มีอำนาจได้ รับแต่เพียงคำสั่งและปฏิบัติตามโดยไม่ต้องมีวิจารณญาณใดๆ เพื่อเพียงประคองอำนาจจากเหล่านักการเมืองทั้งหลายที่อยู่ภายใต้การตัดสินใจของผู้มีอำนาจที่แท้จริง

“นายกรัฐมนตรีหัวตอ” จะเป็นที่ตลกขบขันอย่างมากสำหรับชาวต่างประเทศ ไม่มีใครอยากติดต่อเจรจาด้วยเพราะไม่ได้มีอำนาจอย่างแท้จริงได้แต่ข้ามหัวไปเหมือนหัวหลักหัวตอ แต่“นายกรัฐมนตรีหัวตอ” จะสนใจสนองตอบกับผู้ที่มีอำนาจอย่างแท้จริงเพื่อรักษาเก้าอี้เท่านั้น เพราะกลัวว่าหากขัดคำสั่งเมื่อใดก็อาจจะถูกยกมือไม่ไว้วางใจเมื่อใดก็ได้ อันเป็นผลประโยชน์ที่ลงตัวร่วมกัน

แต่เรื่องแบบนี้ตาดีได้ ตาร้ายเสีย หาก “นายกรัฐมนตรีหัวตอ” เกิดไปทำตามคำสั่งผู้มีอำนาจที่แท้จริงอย่างไม่ลืมหูลืมตา กลายเป็นรับเผือกร้อนและเป็นหนังหน้าไฟ ต้องระวังกระทำความผิดจนถึงขั้นต้องจำคุกตารางในตอนบั้นปลายชีวิตอย่างน่าเวทนา

นายสมัคร สุนทรเวช จะเป็น “นายกรัฐมนตรีหัวตอ” อย่างที่ว่าหรือไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลาที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์หลังจากนี้ โดยสามารถเริ่มต้นดูได้จากหน้าตาของคณะรัฐมนตรี ว่าจะมีผู้คนที่มีแต่สัญลักษณ์ของความอาฆาตแค้นต่ออมาตยาธิปไตยและทหาร หรือจะคัดสรรรัฐมนตรีเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติโดยไม่สนใจโควตาสัดส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ในเวลานี้ นายสมัคร สุนทเวช มีสิทธิ์จะปฏิบัติตัวเองให้เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีเกียรติ และศักดิ์ศรีที่แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาในการที่จะทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่สร้างคุณงามความดีให้กับบ้านเมืองและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิตดังที่ตัวเองได้ประกาศเอาไว้ ประเทศชาติก็จะบันทึกการทำหน้าที่ของนายสมัครเอาไว้ชั่วลูกหลานว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่คนไทยรำลึกถึงในคุณงามความดีตลอดไป

อย่างน้อยความเชื่อแต่โบราณกาลว่าการคลอดโดยเอาเท้าออกมาก่อน “จะช่วยครอบครัว ช่วยวงศ์สกุลและจะเป็นคนช่วยบ้านช่วยเมืองได้” นั้น ก็หวังแต่เพียงว่าคำพูดนี้นายสมัคร สุนทรเวช จะทำหน้าที่โดยคำนึงถึง ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิวงศ์ตระกูลของตัวเองเป็นที่ตั้ง

แม้วันนี้นายสมัคร สุนทรเวช กำลังถูกทดสอบด้วยคดี รถ-เรือดับเพลิง หรือกรณีอื่นใดในการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือแม้แต่คดีหมิ่นประมาทที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ กำลังฟ้องร้องอยู่นั้น คดีความเหล่านี้ซึ่งไม่มีใครที่จะไปเปลี่ยนข้อเท็จจริงได้ว่ามีการกระทำความผิดหรือไม่ แต่นายสมัครก็ยังมีทางเลือกที่จะทำหน้าที่ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ให้ดีที่สุดได้

เพราะถึงอย่างไรนายสมัคร สุนทรเวช ก็ยังมีข้อดีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่หลายประการ อย่างน้อยก็เป็นคนที่พูดตรงไปตรงมา อ่านง่าย ถ้าทำดีก็เห็นชัด ถ้าทำชั่วก็เห็นได้ง่าย พังเร็ว ไม่สลับซับซ้อนหลายชั้นเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

การขอเวลาและโอกาส ของนายสมัคร สุนทรเวช จึงขึ้นอยู่กับตัวเองว่าจะยอมจมปลักเป็นนายรัฐมนตรีหัวตอ ตามที่หลายคนสงสัยและตั้งคำถามหรือไม่? หรือจะปฏิบัติหน้าที่อย่างมีศักดิ์ศรี มีเกียรติ ในช่วงบั้นปลายชีวิต
กำลังโหลดความคิดเห็น