xs
xsm
sm
md
lg

“สามเกรียน” ตั้งป้อม โจมตีพันธมิตรฯ - ปลุกระดม ปชช.ออกมาต้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เมื่อวันที่ 25 ส.ค.รายการ “ความจริงวันนี้” ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โดยมี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชนเป็นแขกรับเชิญประจำรายการ

สำหรับเนื้อหาในรายการได้เน้นไปที่การกล่าวถึงการนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯ ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ โดยผู้ดำเนินรายการอ้างว่าเป็นการสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศชาติ แทนที่คนไทยจะได้มีความสุข กับงานเฉลิมฉลอง 116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่อ และการเฉลิมฉลอง ความสำเร็จของนักกีฬาที่ได้รับเหรียญรางวัลมาจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก กลับต้องมาเดือดร้อนและวุ่นวายใจกับการชุมนุมปิดถนนของกลุ่มพันธมิตรฯ

ทั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการได้พยายามทำทุกวิถีทางที่จะทำลายความชอบธรรม ในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยอ้างว่า เป็นการชุมนุมที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนคนอื่นๆ นอกจากนี้ แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คน ก็ถือเป็นคนที่มีประวัติไม่ดีทั้งสิ้น เช่น นายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็เป็นบุคคลล้มละลาย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็เป็นคนที่เคยมีผลงานทางการเมืองบ้าง แต่บัดนี้หมดสิ้นอำนาจแล้ว แต่อยากมีอำนาจอีกครั้งจึงเข้าสู่กระบวนการโค่นล้มรัฐบาล เพื่อหวังให้ได้มีบทบาททางการเมืองอีกครั้ง หรือ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ที่เคยเป็นแกนนำสหภาพการรถไฟฯ แต่เมื่อตำแหน่งในองค์กรที่ทำงานไม่ก้าวหน้า สุดท้ายก็เลยมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังอ้างด้วยว่า พวกตนรู้ดีว่า การที่กลุ่มพันธมิตรฯ พยายามจัดการชุมนุมใหญ่ขึ้นในครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากต้องการหาทางยุติการชุมนุมแบบไม่ต้องเสียหน้า เพราะเงินสนับสนุนการชุมนุมหมดลงแล้ว อีกทั้งยังแบ่งผลประโยชน์กันไม่ลงตัว ทำให้ขัดแย้งกันเอง ส่งผลให้ต้องยุติการชุมนุมโดยเร็ว

ต่อมาผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวชื่นชมรายการของตัวเองว่า เพราะมีรายการ “ความจริงวันนี้” ออกอากาศทางเอ็นบีที ตีแผ่ความจริงให้ประชาชนได้รู้ จึงเป็นเหมือนแรงกดดัน ที่ทำให้องค์กรอิสระทั้งหลายเช่น ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถูกตั้งข้อสังเกตจากประชาชน ว่า มีการดำเนินการคดีต่างๆ อย่างไม่โปร่งใส และมีที่มาอย่างไม่ถูกต้อง จนองค์กรเหล่านี้เริ่มจนมุม เพราะตอบคำถามต่อสังคมไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางพันธมิตรฯ จึงต้องเร่งหาทางลงให้เร็วขึ้น เพราะรู้ว่าองค์กรเหล่านี้กำลังจะหมดความเชื่อถือจากประชาชน และไม่สามารถเกื้อกูลพวกตนได้อีก

ผู้ดำเนินรายการ ระบุด้วยว่า พวกตนทราบมาว่า เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ กลุ่มพันธมิตรฯ จะไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังแยกตัวไปปิดถนนสายสำคัญๆ ของกรุงเทพฯ ซึ่งจะทำให้รถติด และส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก อีกทั้งยังจะสร้างเสียงระเบิดปลอมขึ้นมา เพื่อทำให้สถานการณ์บ้านเมืองปั่นป่วน และเกิดความรุนแรงมากขึ้นไปอีก จากนั้นก็จะส่งคนของตัวเองที่อยู่ในทั่วทุกภาค ปิดกั้นเส้นทางการเดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความวุ่นวาย เพื่อที่จะได้นำมาเป็นเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจอีกครั้ง เหมือนกับที่กลุ่มพันธมิตรฯ เคยทำสำเร็จมาแล้วเมื่อ 19 ก.ย.2549

จึงอยากเตือนประชาชนว่า พรุ่งนี้ขอให้ประชาชนทุกคน ตั้งสติ และหากได้รับความเดือดร้อนตนก็อยากจะบอกว่า อย่าไปกลัวกับคนที่ละเมิดกฎหมาย และอย่างเกรงกลัวต่อคนที่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า พวกตนต้องการปลุกระดมให้ประชาชน ออกไปสู้รบหรือก่อความรุนแรงกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพียงแต่ตนคิดว่า เมื่อใดก็ตามที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับความเดือดร้อน ก็ควรออกมาใช้สิทธิตามกฏหมาย เพื่อต่อต้านการกระทำอันไม่ถูกต้อง ของกลุ่มคนที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต

ดังนั้น พวกตนจึงอยากจะเรียกร้องไปยังประชาชนทุกคนว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ควรจะออกมาแสดงพลังความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อให้กลุ่มพันธมิตรฯ ได้รู้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไม่เห็นด้วย และจะไม่ยอมให้กลุ่มพันธมิตรฯ มากุมอำนาจทางการเมืองของประเทศได้อีกต่อไปแล้ว

ทั้งนี้ พวกตนอยากจะชี้แจงว่า สาเหตุที่รัฐบาลไม่สามารถจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ ได้โดยพละการ หรือใช้กำลังปราบปรามการชุมนุม ได้นั้น ก็เพราะรัฐบาลชุดนี้ เป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้น จึงมีหน้าที่ในการรักษาความเรียบร้อยของประเทศ อีกทั้งเมื่อเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงมีความเป็นประชาธิปไตยที่ต้องการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนก่อน ดังนั้น ในตอนนี้ พวกตนจึงอยากเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนร่วมกันแสดงความคิดเห็น หรือแนะนำรัฐบาลด้วย ว่าอยากให้รัฐบาลจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างไร

เมื่อกล่าวมาถึงช่วงนี้ นายวีระ ได้กล่าวสรรเสริญเยินยอว่า จุดยืนของรัฐบาลในครั้งนี้ ก็คือ ไม่ใช้ความรุนแรงโดยเด็ดขาด ซึ่งก็ต้องกล่าวชื่นชม นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีว่า เป็นนายกรัฐมตรีที่ใจเย็นเหลือเกิน ทั้งที่มีประชาชนเรียกร้องเป็นจำนวนมากว่าเหตุใด จึงไม่เร่งจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ นายสมัคร ก็ยังใจเย็นและเลือกที่จะใช้แนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหา

“ท่าทีของนายกรัฐมนตรี เป็นท่าทีที่ผมต้องยอมรับเลย คือ ร่วมชีวิต ร่วมทางการเมืองกันมา 30-40 ปีแล้วนะ แต่ผมยอมรับเลยว่า เยือเย็นเหมือนก้อนน้ำแข็งที่อยู่ขั้วโลก แล้วเป็นจุดยืนที่ต้องนับถือจริงๆ ว่าคนอย่าง สมัคร สุนทรเวช ใจเย็นขนาดนี้” นายวีระ กล่าว

ทั้งนี้ คำกล่าวของ นายวีระ นับว่าเป็นการเปลี่ยนท่าทีแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะในอดีตเมื่อปี พ.ศ.2519-2522 นายวีระ ได้เกิดความขัดแย้งกับนายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อนร่วมพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวทำให้ นายสมัคร เขียนหนังสือชื่อ “สันดานนักหนังสือพิมพ์” ส่วน นายวีระ ได้เขียนหนังสือโต้ตอบนายสมัคร ชื่อว่า “สันดานรัฐมนตรี” พร้อมกับได้ลงทุนสร้างภาพยนตร์ไทย ชื่อเรื่อง “ไอ้ซ่าส์...จอมเนรคุณ” กำกับโดย ชุมพร เทพพิทักษ์ แต่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกฉาย เพราะมีเนื้อหาเสียดสี นายสมัคร ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในขณะนั้น

ในช่วงท้ายรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวเล่นลิ้นว่า ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้รายการ ความจริงวันนี้ ยังจะมีอยู่อีกหรือไม่ เพราะหากมีการยึดอำนาจเกิดขึ้นจริง พวกตนก็คงไม่ได้มาจัดรายการอีก แต่อย่างไรก็ตาม พวกตนหวังว่าวันพรุ่งนี้จะได้มาเจอกับผู้ชมอีกครั้ง
นายวีระ มุสิกพงษ์
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
นายจตุพร พรหมพันธุ์
กำลังโหลดความคิดเห็น