นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงความคืบหน้า กรณีการยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย เนื่องจากนาย สุนทร วิลาวัลย์ ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และถูก กกต.สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งว่า ขณะนี้คณะกรรมการด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ ที่มีนายบุญทัน ดอกไธสง เป็นประธาน ได้เสนอความเห็นในด้านกฎหมายมาแล้ว
ส่วนกรณีสถานะว่า นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ยังคงเป็นหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตยหรือไม่ ก็ได้มีการสอบปากคำพยานเกือบครบทุกปากแล้ว รวมถึงนายสุนทร ที่ทางพรรคฯ มีการอ้างเป็นพยาน ดังนั้นคาดว่าทางคณะกรรมการฯ สอบสวนฯ ก็จะสรุปผลแล้วนำเสนอที่ประชุม กกต. พิจารณาว่าตกลงแล้ว นายประชัย ยังคงมีสถานะเป็นหัวหน้าพรรคมัชฌิมาฯหรือไม่ พร้อมๆ กับพิจารณาว่า การถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายสุนทร พรรคมัชฌิมาฯ มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้อง จนกกต.ต้องพิจารณาสั่งยุบพรรคหรือไม่ในสัปดาห์นี้
"ทราบมาว่าในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการด้านกิจการพรรคฯ ได้มีการชี้ผลให้ยุบพรรคมัชฌิมาด้วย แต่ข้อสรุปของคณะกรรมการฯ จะไม่มีผลผูกพันให้ กกต. ต้องตัดสินตามคณะกรรมการฯ ซึ่ง กกต.จะพิจารณาอีกครั้งโดยจะตัดสินทุกอย่างตามขั้นตอน ยึดตามกฎหมาย อันไหนผิดก็ว่าไปตามผิด และไม่คิดว่าผลของการยุบพรรคจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะหากมัวแต่คิดถึงผลกระทบ ก็คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดี"
ส่วนกรณีที่นายมณเฑียร สงฆ์ประชา กรรมการบริหารพรรค และว่าที่ ส.ส.พรรคชาติไทย ที่ถูก กกต.สั่งเพิกถอนสิทธิเช่นเดียวกับนายสุนทร นั้น นางสดศรี กล่าวว่า เรื่องของนายมณเฑียร คงไม่ต้องให้คณะกรรมการด้านกิจการพรรคการเมืองพิจารณา และเสนอความเห็นต่อ กกต. อีก เนื่องจากความผิดของนายมณเฑียร เป็นลักษณะเดียวกับความผิดของนายสุนทร ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องมีการพิจารณาในซ้ำอีก เพราะกกต.จะตัดสินตามมาตรฐานเดียวกัน
เมื่อถามว่าหาก กกต.ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบทั้ง 2 พรรค เกรงหรือไม่ว่าบ้านเมืองจะเดินต่อไปไม่ได้ นางสดศรี กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย กกต. เองก็ไม่ได้อยากให้บ้านเมืองเดินไปไม่ได้ แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน ผิดก็ว่าไปตามผิด
**เล็งตั้งสถาบันพัฒนานักการเมือง
นางสดศรี กล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีแนวคิดที่จะตั้งสถาบันพัฒนานักการเมืองขึ้นมา เพื่อเป็นสถาบันในการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ระหว่างการวางหลักสูตรว่าควรมีลักษณะอย่างไร โดยมี ดร. บุญทัน ดอกไทธง ที่ปรึกษากกต. เป็นผู้ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตร คาดว่าภายปีนี้น่าจะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น โดยสถาบันนี้มีแนวคิดว่าจะใช้เงินจากกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาลให้พรรคการเมืองต่างๆ ที่มีส.ส.ได้นำเงินไปใช้ในการพัฒนาทางการเมือง แต่ที่ผ่านมามักมีปัญหาว่าพรรคการเมืองใช้เงินจากกองทุนไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุน ตนจึงอยากให้เกิดการนำประโยชน์ในการพัฒนาไปใช้อย่างแท้จริง
"แนวคิดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะเห็นว่านักการเมืองไม่มีคุณภาพ หรืออะไร นักการเมืองบางคนเป็นคนที่มีคุณภาพสูง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน เราจึงอยากให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง และก็อยากให้นักการเมืองรุ่นเก่ามาช่วยสอนอบรมความรู้ทางการเมืองนี้ให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ด้วยซ้ำ เพราะบางคนมีประสบการณ์ ความรู้มาก ซึ่งหากรวมหลักสูตรกับของนักการเมืองต่างประเทศว่าของเขาเป็นอย่างไร จะทำให้เกิดเป็นอาหารสมอง และเป็นการสร้างบุคลากรที่เข้าใจระบอบการเมืองที่แท้จริง หลักสูตรนี้ก็จะคล้ายกับของสถาบันพระปกเกล้า แต่เฉพาะเจาะจงในสิ่งที่นักการเมืองควรรู้" นางสดศรี กล่าวและว่า นอกจากพัฒนานักการเมืองแล้ว ยังเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าหน้าที่กกต. ที่ต้องทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองมากขึ้นตามรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ กกต.ส่วนใหญ่ไม่ได้จบกฎหมาย แต่จบรัฐศาสตร์ การมีหลักสูตรนี้จะเป็นการพัฒนากกต.ไปด้วย อีกทั้งยังเป็นสถาบันเพื่อการศึกษาวิจัยของกิจการการเมืองด้านต่างๆ ทั้งระดับท้องถิ่น ไปถึงระดับชาติ
ส่วนกรณีสถานะว่า นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ยังคงเป็นหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตยหรือไม่ ก็ได้มีการสอบปากคำพยานเกือบครบทุกปากแล้ว รวมถึงนายสุนทร ที่ทางพรรคฯ มีการอ้างเป็นพยาน ดังนั้นคาดว่าทางคณะกรรมการฯ สอบสวนฯ ก็จะสรุปผลแล้วนำเสนอที่ประชุม กกต. พิจารณาว่าตกลงแล้ว นายประชัย ยังคงมีสถานะเป็นหัวหน้าพรรคมัชฌิมาฯหรือไม่ พร้อมๆ กับพิจารณาว่า การถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายสุนทร พรรคมัชฌิมาฯ มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้อง จนกกต.ต้องพิจารณาสั่งยุบพรรคหรือไม่ในสัปดาห์นี้
"ทราบมาว่าในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการด้านกิจการพรรคฯ ได้มีการชี้ผลให้ยุบพรรคมัชฌิมาด้วย แต่ข้อสรุปของคณะกรรมการฯ จะไม่มีผลผูกพันให้ กกต. ต้องตัดสินตามคณะกรรมการฯ ซึ่ง กกต.จะพิจารณาอีกครั้งโดยจะตัดสินทุกอย่างตามขั้นตอน ยึดตามกฎหมาย อันไหนผิดก็ว่าไปตามผิด และไม่คิดว่าผลของการยุบพรรคจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะหากมัวแต่คิดถึงผลกระทบ ก็คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดี"
ส่วนกรณีที่นายมณเฑียร สงฆ์ประชา กรรมการบริหารพรรค และว่าที่ ส.ส.พรรคชาติไทย ที่ถูก กกต.สั่งเพิกถอนสิทธิเช่นเดียวกับนายสุนทร นั้น นางสดศรี กล่าวว่า เรื่องของนายมณเฑียร คงไม่ต้องให้คณะกรรมการด้านกิจการพรรคการเมืองพิจารณา และเสนอความเห็นต่อ กกต. อีก เนื่องจากความผิดของนายมณเฑียร เป็นลักษณะเดียวกับความผิดของนายสุนทร ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องมีการพิจารณาในซ้ำอีก เพราะกกต.จะตัดสินตามมาตรฐานเดียวกัน
เมื่อถามว่าหาก กกต.ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบทั้ง 2 พรรค เกรงหรือไม่ว่าบ้านเมืองจะเดินต่อไปไม่ได้ นางสดศรี กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย กกต. เองก็ไม่ได้อยากให้บ้านเมืองเดินไปไม่ได้ แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน ผิดก็ว่าไปตามผิด
**เล็งตั้งสถาบันพัฒนานักการเมือง
นางสดศรี กล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีแนวคิดที่จะตั้งสถาบันพัฒนานักการเมืองขึ้นมา เพื่อเป็นสถาบันในการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ระหว่างการวางหลักสูตรว่าควรมีลักษณะอย่างไร โดยมี ดร. บุญทัน ดอกไทธง ที่ปรึกษากกต. เป็นผู้ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตร คาดว่าภายปีนี้น่าจะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น โดยสถาบันนี้มีแนวคิดว่าจะใช้เงินจากกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาลให้พรรคการเมืองต่างๆ ที่มีส.ส.ได้นำเงินไปใช้ในการพัฒนาทางการเมือง แต่ที่ผ่านมามักมีปัญหาว่าพรรคการเมืองใช้เงินจากกองทุนไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุน ตนจึงอยากให้เกิดการนำประโยชน์ในการพัฒนาไปใช้อย่างแท้จริง
"แนวคิดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะเห็นว่านักการเมืองไม่มีคุณภาพ หรืออะไร นักการเมืองบางคนเป็นคนที่มีคุณภาพสูง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน เราจึงอยากให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง และก็อยากให้นักการเมืองรุ่นเก่ามาช่วยสอนอบรมความรู้ทางการเมืองนี้ให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ด้วยซ้ำ เพราะบางคนมีประสบการณ์ ความรู้มาก ซึ่งหากรวมหลักสูตรกับของนักการเมืองต่างประเทศว่าของเขาเป็นอย่างไร จะทำให้เกิดเป็นอาหารสมอง และเป็นการสร้างบุคลากรที่เข้าใจระบอบการเมืองที่แท้จริง หลักสูตรนี้ก็จะคล้ายกับของสถาบันพระปกเกล้า แต่เฉพาะเจาะจงในสิ่งที่นักการเมืองควรรู้" นางสดศรี กล่าวและว่า นอกจากพัฒนานักการเมืองแล้ว ยังเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าหน้าที่กกต. ที่ต้องทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองมากขึ้นตามรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ กกต.ส่วนใหญ่ไม่ได้จบกฎหมาย แต่จบรัฐศาสตร์ การมีหลักสูตรนี้จะเป็นการพัฒนากกต.ไปด้วย อีกทั้งยังเป็นสถาบันเพื่อการศึกษาวิจัยของกิจการการเมืองด้านต่างๆ ทั้งระดับท้องถิ่น ไปถึงระดับชาติ