"บิ๊กธอส." คาดธปท.ลดดอกเบี้ยตามเฟดอย่างน้อย 0.25% ระบุส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งผู้ประกอบการและคนกู้ซื้อบ้าน เล็งปรับนโยบายปล่อยสินเชื่อให้ทันสมัยแข่งแบงก์พาณิชย์ได้ เริ่มจากกู้มากโขกดอกสูง กู้น้อยคิดดอกน้อย เล็งปล่อยกู้ลูกค้าบริษัทรับสร้างบ้านหวังขยายฐานลูกค้า ล่าสุดคณะกรรมกฤษฎีกาอนุมัติตั้งบริษัทประกันสินเชื่อ ด้านเอกชนชี้ดอกเบี้ยกำลังซื้อผู้บริโภคเพิ่ม พร้อมตั้งข้อสังเกตพรรคใหญ่ไม่มีมือดีด้านการเงินการคลัง
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ลง 0.75% จาก 4.25% เหลือ 3.50% เนื่องจากเฟดเล็งเห็นว่า เศรษฐกิจในสหรัฐฯปัจจุบันจะต้องทำการแก้ไขอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยลงมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยระดับดังกล่าวอยู่ใกล้กับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับ 3.25% ซึ่งอาจทำให้เกิดการไหลเข้าของเม็ดเงินจากต่างชาติ จึงเชื่อว่าภายในเดือนเมษายนนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกประมาณ 0.25% เพราะในเดือนเมษายนจะมีการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งหากธปท.ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ธอส.ก็จะพิจารณาปรับลดตาม
อย่างไรก็ตาม หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับลดลง เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น รวมถึงต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการลดลง แม้ว่าต้นทุนก่อสร้างจะปรับขึ้นก็ตาม โดยสินค้าที่อยู่อาศัยที่จะขายได้ จะต้องอยู่ในทำเลที่ดี มีศักยภาพ ราคาย่อมเยา
"นโยบายของรัฐบาลใหม่ ที่คาดว่านพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี จะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวว่าจะใช้การลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่เฟดก็ลดอัตราดอกเบี้ย จึงมีความเป็นไปได้มากว่า ธปท.จะลดดอกเบี้ยลงอีก" นายขรรค์กล่าว
ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่ชะลอตัวถึงตกต่ำ ทำให้ไม่เหมาะสมที่จะทำการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (ซีเคียวริไทเซชัน) ในช่วงเวลานี้ อย่างไรก็ตามขั้นตอนต่างที่จะนำไปสู่การทำซีเคียวริไทเซชันจะดำเนินการต่อไป เพราะหากตลาดเปิดช่วงไหนก็จะสามารถดำเนินการได้ทันที และหากตลาดไม่เปิดก็สามารถระงับแผนได้ ขึ้นอยู่กับภาวะ และสามารถขายได้ทั้งภายในและต่างประเทศ
ปรับรูปแบบคิดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
นอกจากนี้ ธอส.ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ปรับนโยบายการปล่อยสินเชื่อให้เหมาะสมกับตลาด เพื่อให้สามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ได้ โดยเริ่มจากการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยตามวงเงินกู้ โดยขอสินเชื่อมากจะคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูง หากวงเงินสินเชื่อไม่มากจะคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ แต่จะมีช่องว่างไม่มากนัก ซึ่งจะต้องพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง อีกทั้งยังอยู่ระหว่างพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าบริษัทรับสร้างบ้าน ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาอัตราดอกเบี้ยว่าจะเป็นเท่าใดโดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็วนี้
"ที่ผ่านมาเราประสบปัญหาลูกค้าหนีไปแบงก์อื่น แต่ปัจจุบันมีน้อยลง ทำให้เราต้องเร่งปรับตัวเองใหม่ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับตลาดและสามารถแข่งกับแบงก์อื่นๆได้ ส่วนการปล่อยกู้ให้แก่ลูกค้าบริษัทรับสร้างบ้านนั้น ตอนนี้กำลังเจรจากับสมาคมรับสร้างบ้านว่า จะคิดดอกเบี้ยเท่าใด ซึ่งจะทำให้ธอส.มีลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มเข้ามา" นายขรรค์กล่าว
นายขรรค์ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกา ธอส.สามารถเรียกผู้ถือหุ้นหารือเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น ให้จัดตั้งบริษัทค้ำประกันเงินกู้ (มอร์เกจอินชัวร์รัน) ซึ่งภายหลังจากคณะกรรมการกฤษฎีกาประกาศออกมาเป็นกฤษฎีกาแล้วธอส.สามารถเรียกผู้ถือหุ้นมาร่วมพิจารณาถือสัดส่วนการถือหุ้น โดยธอส. ถือ 25% ส่วนที่เหลือเป็นบริษัทปันภัย ประกันชีวิต ธนาคารของรัฐ ธนาคารพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งบริษัทประกันเงินกู้ จะต้องขอมติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติให้ตั้งบริษัทประกันใหม่ได้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่อนุมัติให้มีการตั้งบริษัทประกันใหม่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ครม.จะอนุมัติเพราะถือว่าเป็นกรณีพิเศษ
"ผู้ถือหุ้นจะเป็นธอส. 25% ส่วนรายอื่นจะเป็นธุรกิจประกันชีวิต ที่ปัจจุบันร่วมทำธุรกิจกับธอส.อยู่ 11 ราย บริษัทประกันภัย 23 ราย บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (SMC ) และหากธนาคารพาณิชย์สนใจก็สามารถเข้ามาร่วมได้" นายขรรค์กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานของธอส. ในปี 2550 สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 94,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ 95,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2551 อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะปล่อยสินเชื่อระหว่าง 90,000 - 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องพิจารณาจากคณะรัฐบาลใหม่โดยเฉพาะรัฐมนตรีกระทรวงการคลังว่าจะเป็นใคร ซึ่งใครจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งก็ได้ แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านการเงินการคลัง อีกยังต้องได้รับการยอมรับจากภาคประชาชน วงการการเงิน และนักลงทุนด้วย
สำหรับนโยบายที่ต้องการฝากให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการ คือ 1.การสนับสนุนให้มีการออมก่อนกู้ซื้อบ้าน ซึ่งที่ผ่านมา ธอส.มีโปรแกรมนี้โดยลูกค้าสามารถฝากเงินออมเป็นเวลา 5 ปี และขอกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษคงที่ 7 ปี 2. สนับสนุนให้เกิดการคำประกันเงินกู้ และ 3. จัดหาสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านอัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะยาว
เอกชนชี้ดอกเบี้ยลดอสังหาฯดีแน่
นายอิสระ บุญยัง อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวแสดงความเห็นว่า การที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยมี 2 ประเด็น คือ 1. เฟดและรัฐบาลสหรัฐฯยอมรับว่า เศรษฐกิจมีการถดถอยจริง ซึ่งเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 23-24 ปี และ2. เฟดและรัฐบาล รวมไปถึงสภาคอง เกรส ซึ่งเป็นความเห็นพ้องกันของทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหา เป็นเรื่องที่ดีว่า ปัญหาต่างๆที่มีอยู่จะเริ่มคลี่คลายลงไป โดยเฉพาะในเรื่องของซับไพรม์ เพราะเมื่อดอกเบี้ยนโยบายลดแล้ว ดอกเบี้ยประเภทย่อมลดตาม จะทำให้ภาระการผ่อนชำระของผู้กู้ลดลง อีกทั้งการอัดฉีดเม็ดเงินของเฟด รวมถึงธนาคารของญี่ปุ่นจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯดีขึ้น
สำหรับผลต่อประเทศไทย ที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนั้นจะทำได้ยากขึ้น เพราะอัตราดอกเบี้ยของไทยและเฟดใกล้เคียงกัน ส่วนผลทางอ้อมนั้นเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯดี ภาวะการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯประมาณ 30% ของการส่งออกทั้งหมดก็จะดีขึ้น
ส่วนว่าที่รัฐมนตรีฯคลังมีแนวคิดที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ยิ่งเป็นผลดีต่อผู้กู้ซื้อบ้านจะทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น โดยดอกเบี้ยลดทุกๆ 1% จะทำให้กำลังเพิ่มขึ้น 6-7% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะต้องพิจารณาหลายๆส่วนประกอบ เพราะหากลดลงมากอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้
นายอิสสระ กล่าวว่า สำหรับบุคคลที่จะมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องยอมรับ เพราะมาตามวิถีแห่งระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าจะไม่เต็มร้อยก็ตาม ต้องยอมรับว่าคนเมืองกับคนชนบทมีแนวคิดที่ต่างกัน แม้แต่คนเมืองในต่างจังหวัดเองก็ตาม ซึ่งต้องมีการแก้ไขต่อไปเพื่อให้มีแนวคิดที่ใกล้เคียงกันระหว่างคนเมืองและคนชนบท
ส่วนตัวของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังนั้น ต้องให้โอกาสได้แสดงความสามารถ เชื่อว่า เมื่อมีการตั้งข้อสังเกตในตัวนายสุรพงษ์ว่า มีความรู้ความสามารถไม่ตรงกับตำแหน่ง จะทำให้นายสุรพงษ์พิสูจน์ตัวเอง และใช้ความพยายามหลายเท่า นอกจากนี้ยิ่งมีการตั้งข้อสังเกตก็จะยิ่งระมัดระวังในการดำเนินงานมากขึ้น และหากเป็นปัญหาทางเทคนิคก็จะสามารถใช้ทีมที่ปรึกษาได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวรัฐมนตรีเอง
"รัฐมนตรีคลังเป็นใครก็ต้องยอมรับ แต่หากเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถด้านการเงิน และการคลังก็จะดีกว่า แต่เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า พรรคใหญ่ที่ได้รับเสียงข้างมากจนจัดตั้งรัฐบาลจะไม่มีคนที่มีความรู้ความสามารถในด้านนี้เลย จนต้องให้คนจากสาขาอาชีพอื่นมาเป็นแทน" นายอิสสระกล่าว
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ลง 0.75% จาก 4.25% เหลือ 3.50% เนื่องจากเฟดเล็งเห็นว่า เศรษฐกิจในสหรัฐฯปัจจุบันจะต้องทำการแก้ไขอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยลงมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยระดับดังกล่าวอยู่ใกล้กับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับ 3.25% ซึ่งอาจทำให้เกิดการไหลเข้าของเม็ดเงินจากต่างชาติ จึงเชื่อว่าภายในเดือนเมษายนนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกประมาณ 0.25% เพราะในเดือนเมษายนจะมีการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งหากธปท.ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ธอส.ก็จะพิจารณาปรับลดตาม
อย่างไรก็ตาม หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับลดลง เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น รวมถึงต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการลดลง แม้ว่าต้นทุนก่อสร้างจะปรับขึ้นก็ตาม โดยสินค้าที่อยู่อาศัยที่จะขายได้ จะต้องอยู่ในทำเลที่ดี มีศักยภาพ ราคาย่อมเยา
"นโยบายของรัฐบาลใหม่ ที่คาดว่านพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี จะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวว่าจะใช้การลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่เฟดก็ลดอัตราดอกเบี้ย จึงมีความเป็นไปได้มากว่า ธปท.จะลดดอกเบี้ยลงอีก" นายขรรค์กล่าว
ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่ชะลอตัวถึงตกต่ำ ทำให้ไม่เหมาะสมที่จะทำการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (ซีเคียวริไทเซชัน) ในช่วงเวลานี้ อย่างไรก็ตามขั้นตอนต่างที่จะนำไปสู่การทำซีเคียวริไทเซชันจะดำเนินการต่อไป เพราะหากตลาดเปิดช่วงไหนก็จะสามารถดำเนินการได้ทันที และหากตลาดไม่เปิดก็สามารถระงับแผนได้ ขึ้นอยู่กับภาวะ และสามารถขายได้ทั้งภายในและต่างประเทศ
ปรับรูปแบบคิดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
นอกจากนี้ ธอส.ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ปรับนโยบายการปล่อยสินเชื่อให้เหมาะสมกับตลาด เพื่อให้สามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ได้ โดยเริ่มจากการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยตามวงเงินกู้ โดยขอสินเชื่อมากจะคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูง หากวงเงินสินเชื่อไม่มากจะคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ แต่จะมีช่องว่างไม่มากนัก ซึ่งจะต้องพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง อีกทั้งยังอยู่ระหว่างพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าบริษัทรับสร้างบ้าน ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาอัตราดอกเบี้ยว่าจะเป็นเท่าใดโดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็วนี้
"ที่ผ่านมาเราประสบปัญหาลูกค้าหนีไปแบงก์อื่น แต่ปัจจุบันมีน้อยลง ทำให้เราต้องเร่งปรับตัวเองใหม่ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับตลาดและสามารถแข่งกับแบงก์อื่นๆได้ ส่วนการปล่อยกู้ให้แก่ลูกค้าบริษัทรับสร้างบ้านนั้น ตอนนี้กำลังเจรจากับสมาคมรับสร้างบ้านว่า จะคิดดอกเบี้ยเท่าใด ซึ่งจะทำให้ธอส.มีลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มเข้ามา" นายขรรค์กล่าว
นายขรรค์ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกา ธอส.สามารถเรียกผู้ถือหุ้นหารือเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น ให้จัดตั้งบริษัทค้ำประกันเงินกู้ (มอร์เกจอินชัวร์รัน) ซึ่งภายหลังจากคณะกรรมการกฤษฎีกาประกาศออกมาเป็นกฤษฎีกาแล้วธอส.สามารถเรียกผู้ถือหุ้นมาร่วมพิจารณาถือสัดส่วนการถือหุ้น โดยธอส. ถือ 25% ส่วนที่เหลือเป็นบริษัทปันภัย ประกันชีวิต ธนาคารของรัฐ ธนาคารพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งบริษัทประกันเงินกู้ จะต้องขอมติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติให้ตั้งบริษัทประกันใหม่ได้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่อนุมัติให้มีการตั้งบริษัทประกันใหม่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ครม.จะอนุมัติเพราะถือว่าเป็นกรณีพิเศษ
"ผู้ถือหุ้นจะเป็นธอส. 25% ส่วนรายอื่นจะเป็นธุรกิจประกันชีวิต ที่ปัจจุบันร่วมทำธุรกิจกับธอส.อยู่ 11 ราย บริษัทประกันภัย 23 ราย บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (SMC ) และหากธนาคารพาณิชย์สนใจก็สามารถเข้ามาร่วมได้" นายขรรค์กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานของธอส. ในปี 2550 สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 94,000 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ 95,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2551 อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะปล่อยสินเชื่อระหว่าง 90,000 - 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องพิจารณาจากคณะรัฐบาลใหม่โดยเฉพาะรัฐมนตรีกระทรวงการคลังว่าจะเป็นใคร ซึ่งใครจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งก็ได้ แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านการเงินการคลัง อีกยังต้องได้รับการยอมรับจากภาคประชาชน วงการการเงิน และนักลงทุนด้วย
สำหรับนโยบายที่ต้องการฝากให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการ คือ 1.การสนับสนุนให้มีการออมก่อนกู้ซื้อบ้าน ซึ่งที่ผ่านมา ธอส.มีโปรแกรมนี้โดยลูกค้าสามารถฝากเงินออมเป็นเวลา 5 ปี และขอกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษคงที่ 7 ปี 2. สนับสนุนให้เกิดการคำประกันเงินกู้ และ 3. จัดหาสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านอัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะยาว
เอกชนชี้ดอกเบี้ยลดอสังหาฯดีแน่
นายอิสระ บุญยัง อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวแสดงความเห็นว่า การที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยมี 2 ประเด็น คือ 1. เฟดและรัฐบาลสหรัฐฯยอมรับว่า เศรษฐกิจมีการถดถอยจริง ซึ่งเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 23-24 ปี และ2. เฟดและรัฐบาล รวมไปถึงสภาคอง เกรส ซึ่งเป็นความเห็นพ้องกันของทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหา เป็นเรื่องที่ดีว่า ปัญหาต่างๆที่มีอยู่จะเริ่มคลี่คลายลงไป โดยเฉพาะในเรื่องของซับไพรม์ เพราะเมื่อดอกเบี้ยนโยบายลดแล้ว ดอกเบี้ยประเภทย่อมลดตาม จะทำให้ภาระการผ่อนชำระของผู้กู้ลดลง อีกทั้งการอัดฉีดเม็ดเงินของเฟด รวมถึงธนาคารของญี่ปุ่นจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯดีขึ้น
สำหรับผลต่อประเทศไทย ที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนั้นจะทำได้ยากขึ้น เพราะอัตราดอกเบี้ยของไทยและเฟดใกล้เคียงกัน ส่วนผลทางอ้อมนั้นเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯดี ภาวะการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯประมาณ 30% ของการส่งออกทั้งหมดก็จะดีขึ้น
ส่วนว่าที่รัฐมนตรีฯคลังมีแนวคิดที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ยิ่งเป็นผลดีต่อผู้กู้ซื้อบ้านจะทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น โดยดอกเบี้ยลดทุกๆ 1% จะทำให้กำลังเพิ่มขึ้น 6-7% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะต้องพิจารณาหลายๆส่วนประกอบ เพราะหากลดลงมากอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้
นายอิสสระ กล่าวว่า สำหรับบุคคลที่จะมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องยอมรับ เพราะมาตามวิถีแห่งระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าจะไม่เต็มร้อยก็ตาม ต้องยอมรับว่าคนเมืองกับคนชนบทมีแนวคิดที่ต่างกัน แม้แต่คนเมืองในต่างจังหวัดเองก็ตาม ซึ่งต้องมีการแก้ไขต่อไปเพื่อให้มีแนวคิดที่ใกล้เคียงกันระหว่างคนเมืองและคนชนบท
ส่วนตัวของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังนั้น ต้องให้โอกาสได้แสดงความสามารถ เชื่อว่า เมื่อมีการตั้งข้อสังเกตในตัวนายสุรพงษ์ว่า มีความรู้ความสามารถไม่ตรงกับตำแหน่ง จะทำให้นายสุรพงษ์พิสูจน์ตัวเอง และใช้ความพยายามหลายเท่า นอกจากนี้ยิ่งมีการตั้งข้อสังเกตก็จะยิ่งระมัดระวังในการดำเนินงานมากขึ้น และหากเป็นปัญหาทางเทคนิคก็จะสามารถใช้ทีมที่ปรึกษาได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวรัฐมนตรีเอง
"รัฐมนตรีคลังเป็นใครก็ต้องยอมรับ แต่หากเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถด้านการเงิน และการคลังก็จะดีกว่า แต่เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า พรรคใหญ่ที่ได้รับเสียงข้างมากจนจัดตั้งรัฐบาลจะไม่มีคนที่มีความรู้ความสามารถในด้านนี้เลย จนต้องให้คนจากสาขาอาชีพอื่นมาเป็นแทน" นายอิสสระกล่าว