ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลาง จำหน่ายคดี"โกวิท"ฟ้องนายกฯ ออกจากสารบบความ
วานนี้ ( 23 ม.ค) ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลางให้จำหน่ายคดีที่ พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยื่นฟ้อง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กรณีมีคำสั่งให้มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และให้พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ที่ปรึกษา (สบ 10) เป็นผู้รักษาราชการแทน
ทั้งนี้ คำสั่งศาลปกครองสูงสุดระบุว่า คดีนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 122/2550 ลงวันที่ 22 เม.ย. 50 แต่งตั้ง พล.ต.อ.โกวิท ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ ระดับ 11 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และต่อมานายกฯโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 222/2550 ลงวันที่ 28 ส.ค. 50 ให้ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 122/2550 ลงวันที่ 22 เม.ย. 50 โดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ 22 เม.ย. 50 เมื่อ พล.ต.อ.โกวิท ได้ยื่นฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งสำนักนายกฯ ที่ 122/2550 ลงวันที่ 22 เม.ย.50
เนื่องจากเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อคำสั่งที่เป็นข้อพิพาทในคดีนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว จึงถือว่าเหตุแห่งการฟ้องคดีได้ระงับสิ้นไปไม่มีเหตุที่ศาลจะกำหนดคำบังคับในคดีนี้ให้กับ พล.ต.อ.โกวิท ดังนั้นการ ที่ พล.ต.อ.โกวิท ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไป จึงรับฟังไม่ขึ้น
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.โกวิท อ้างว่าคำสั่งของนายกฯ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ตนได้รับความเสียหายและเสียสิทธิต่างๆ ในตำแหน่งหน้าที่ราชการนั้น เห็นว่า หาก คำสั่งของนายกฯ เป็นการกระทำละเมิดต่อ พล.ต.อ.โกวิท ก็อาจยื่นคำขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 หรืออาจใช้สิทธิทางศาลเพื่อเรียกให้นายกฯ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วแต่กรณีได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผลแห่งคดีนี้แต่อย่างใด
ดังนั้นการที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นพ้องด้วย
วานนี้ ( 23 ม.ค) ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลางให้จำหน่ายคดีที่ พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยื่นฟ้อง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กรณีมีคำสั่งให้มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และให้พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ที่ปรึกษา (สบ 10) เป็นผู้รักษาราชการแทน
ทั้งนี้ คำสั่งศาลปกครองสูงสุดระบุว่า คดีนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 122/2550 ลงวันที่ 22 เม.ย. 50 แต่งตั้ง พล.ต.อ.โกวิท ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ ระดับ 11 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และต่อมานายกฯโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 222/2550 ลงวันที่ 28 ส.ค. 50 ให้ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 122/2550 ลงวันที่ 22 เม.ย. 50 โดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ 22 เม.ย. 50 เมื่อ พล.ต.อ.โกวิท ได้ยื่นฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งสำนักนายกฯ ที่ 122/2550 ลงวันที่ 22 เม.ย.50
เนื่องจากเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อคำสั่งที่เป็นข้อพิพาทในคดีนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว จึงถือว่าเหตุแห่งการฟ้องคดีได้ระงับสิ้นไปไม่มีเหตุที่ศาลจะกำหนดคำบังคับในคดีนี้ให้กับ พล.ต.อ.โกวิท ดังนั้นการ ที่ พล.ต.อ.โกวิท ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไป จึงรับฟังไม่ขึ้น
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.โกวิท อ้างว่าคำสั่งของนายกฯ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ตนได้รับความเสียหายและเสียสิทธิต่างๆ ในตำแหน่งหน้าที่ราชการนั้น เห็นว่า หาก คำสั่งของนายกฯ เป็นการกระทำละเมิดต่อ พล.ต.อ.โกวิท ก็อาจยื่นคำขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 หรืออาจใช้สิทธิทางศาลเพื่อเรียกให้นายกฯ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วแต่กรณีได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผลแห่งคดีนี้แต่อย่างใด
ดังนั้นการที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นพ้องด้วย