“ยามเฝ้าแผ่นดิน”ชี้ พปช.ดัน “ยงยุทธ”นั่งประธานสภาฯ พร้อมส่งอดีตแกนนำม็อบไล่ป๋า เป็นรองประธานฯ เป็นสัญลักษณ์มุ่งเอาชนะ ไม่สนใจถูกผิด อัด กกต.หลายมาตรฐาน รีบปล่อย “ยุทธตู้เย็น” แต่กลับถ่วงเรื่องคดีนอมินี เชื่อทหารเดินเกมรอมชอม“แม้ว” ยกความปลอดภัยต่อรองแลกเก้าอี้ รมว.กลาโหม
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 22 ม.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางจันดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ เริ่มด้วยการกล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ผลการลงมติที่ออกมาทำให้ได้ประธานสภาที่มีตำหนิ เนื่องจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาฯ คนใหม่นั้น ยังมีเรื่องถูกร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งที่เชียงราย มีคดีที่พาตำรวจไปยิงชาวบ้านที่อยุธยา
นอกจากนี้ยังสะท้อนว่า การเลือกประธานสภาครั้งนี้เป็นการมุ่งเอาชนะคะคานกันโดยไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน ทำให้มองว่าสภานี้มีคนนายยงยุทธ ที่ยังมีปัญหาติดตัวหลายเรื่อง นอกจากนี้ คนที่เป็นรองประธานสภาคนที่ 2 ก็สะท้อนว่าต้องการเอาชนะคะคานเช่นกัน เพราะ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย นั้น เคยเป็นแกนนำ นปก.รุ่น 2 เคยขึ้นเวทีกล่าวโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอย่างรุนแรง ทั้งที่คนในสภามีตั้งมากมายไม่ยอมเลือก เมื่อรวมถึงตัวนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยโจมตีพล.อ.เปรมเช่นกัน ทำให้เห็นว่านี่ เป็นสัญลักษณ์ของการเอาชนะทางการเมืองของฝ่ายระบอบทักษิณต่อระบอบอำมาตยาธิปไตย
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการ ยังได้กล่าวถึงคำพูดของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ที่เสนอว่า การนัดประชุมสภาครั้งต่อไปเพื่อเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีนั้น ควรจะรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ก่อน แล้วให้ประธานสภาฯ คนใหม่นัด แต่มีบางคนที่ถือฤกษ์ถือยามรีบนัดไว้แล้ว ทำให้ซ้ำรอยการประชุมสภาชุดที่ 22 เมื่อปี 2548 ซึ่งมีการประชุมเพื่อเลือกประธานสภาในวันที่ 7 มีนาคม หลังจากนั้นได้นัดวันประชุมเลือกนายกฯทันทีในวันที่ 9 มีนาคม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องลงพระปรมาภิไทยฯ แต่งตั้งประธานสภาฯ ในวันที่ 8 มีนาคมเวลากลางคืน
อีกประเด็นที่ทำให้การประชุมสภาฯ ครั้งนี้ มีมลทิน คือ การประชุมครั้งนี้ไม่มีการถ่ายทอดสดทั้งที่เป็นการประชุมนัดแรก ควรจะให้ประชาชนได้รู้ว่าผู้ที่จะมาประธานมีความสง่างามแค่ไหน ให้เห็นคุณภาพของ ส.ส.ชุดนี้ ว่าเป็นอย่างไร การไม่ถ่ายทอด เท่ากับเป็นการเบิกฤกษ์รัฐบาลใหม่ ที่ประชาชนไม่มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูล
“บรรยากาศเดิมๆ เริ่มกลับมา ที่ทุกคนสามารรถลงคะแนนไปทางเดียวกัน โดยไม่สนใจกระแสสังคม ว่าเขาจะเห็นความสง่างามหรือไม่ จนบางคนบอกว่า เป็นการโหวตโดยไร้สติ แต่มีสตางค์”ผู้ดำเนินรายการ กล่าว
ต่อมาผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึง ความคืบหน้าการสอบสวนกรณีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีตามคำร้องเรียนของนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่นว่า ล่าสุด คณะอนุกรรมการที่มีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธาน ได้ขอเลื่อนการสรุปสำนวนออกไปอีก 1 เดือน โดยที่นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายกิจการสืบสวนสอบสวน อ้างว่า เนื่องจากมีพยานจำนวนมาก อาจจะสอบสวนไม่เสร็จตามกำหนดเดิมในวันที่ 27 ม.ค. ซึ่งแม้จะเลื่อนไปจากเดิมก็ไม่ส่งผลกระทบ เพราะถึงอย่างไร ก็ต้องเสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอยู่แล้ว
อัด กกต.หลายมาตรฐาน
กรณีที่นายสมชัยอ้างว่า การพิจารณาเรื่องนี้ต้องใช้เวลา อย่าทำตามกระแส ควรจะทำให้เสร็จสมบูรณ์ดีกว่า ผู้ดำเนินรายการเห็นว่า ถ้าใช้มาตรฐานนี้ ทำไม่จึงรับรองนายยงยุทธ ติยะไพรัช ไปก่อนทั้งที่การสอบสวนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่กลับรีบรับรองเพราะกลัวจะไม่ทันเปิดประชุมสภา อย่างนี้จะเรียกว่าทำตามกรคะแสหรือไม่
“กกต.ต้องถูกสังคมตั้งคำถามว่า คดีนายยงยุทธ ได้ทำให้สมบูรณ์หรือยัง หรือว่าเป็นการอ่อนข้อ ยอมแพ้ ศิโรราบให้กับระบอบทักษิณทุกทาง หรือเป็นการรอมชอม โดยไม่สนใจความผิดถูก”
ทหารขอรอมชอม “แม้ว”
ผู้ดำเนินรายการกล่าวอีกว่า แม้กระทั่ง คมช.ขณะนี้ ก็มีข้อสังเกตว่า กำลังรอมชอมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากการให้สัมภาษณ์ของ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก คมช. หลังจากมีการประชุมครั้งสุดท้ายของ คมช. ที่บอกว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาแล้ว จะถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสมานฉันท์และสามัคคีกันได้
นอกจากนี้ เมื่อดูจากความพยายามที่ คมช.จะเสนอให้รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่เป็นทหารที่เป็นทหาร ไม่สังกัดพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดนั้น เหมือนกับว่า คมช.กำลังต่อรอง หรือต้องการสมยอมโดยมีข้อแลกเปลี่ยน ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง คมช.ไม่มีสิทธิที่จะเสนออะไรอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการเจรจากันตรงนี้ ก็เท่ากับว่า ประเทศไทยเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณกับ คมช.ที่จะคุยกันเท่านั้น ยิ่งเมื่อย้อนไปดูกรณีเอกสารลับที่พรรคพลังประชาชนนำไปเปิดเผย ซึ่งจะต้องมีฉบับใดฉบับหนึ่งเป็นของปลอม แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบไป แสดงว่าตกลงกันได้แล้วใช่หรือไม่
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า รัฐมนตรีการกระทรวงกลาโหมที่ คมช.ต้องการนั้น มีการพูดถึงชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยเอาความปลอดภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นเครื่องต่อรอง เชื่อว่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับในเดือนเมษายนนั้น คงต้องการจะรอให้การแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพเสร็จเรียบร้อยก่อน
อย่างไรก็ตามชื่อของ พล.อ.ประวิตร อาจไม่เป็นที่พอใจของคนที่อยู่ฮ่องกง เพราะยังกลัวจะปฏิวัติอยู่ อาจจะต้องหาคนกลางจริงๆ เช่น พล.อ.สำเภา ชูศรี, พล.อ.สมทัต อัตตะนันท์, พล.อ.อู้ด เบื้องบน เป็นต้น ทั้งนี้เชื่อว่าฝ่ายพรรคพลังประชาชนคงต้องการเสนอชื่อ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ แต่ คมช.ก็คงไม่ต้องการเช่นกัน
“สัญญาณที่ คมช.ชื่นชม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า จะสร้างความสมานฉันท์ได้ และอยากได้คนกลางมาเป็น รมว.กลาโหม คือ สัญญาณการใกล้แพ้ ของ คมช. เป็นการยอมศิโรราบ พร้อมเจรจาเรื่องความปลอดภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ แลกกับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม” ผู้ดำเนินรายการ กล่าว
คำทำนาย“สนธิ”เป็นจริง
ในช่วงที่ 2 ของรายการ ได้มีการนำเทปที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยทำนายถึงโครงสร้างของการเมืองไทย ในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2550 โดนายสนธิเชื่อว่า หลังจากทหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายนแล้ว ทุนใหม่ยังคงพยายามเข้าหา คมช.ผ่านคนในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เป้ฯตัวแทนทุนเก่า และเทคโนโนแครต ซึ่งสุดท้ายแล้วทุนใหม่-ทุนเก่าและเทคโนแครตก็ร่วมมือกันและถีบภาคประชาชน-ชนชั้นกลางที่มีความรู้คือพันธมิตรฯ ออกมา
เห็นได้จากการที่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ เร่งให้มีการเลือกตั้งโดยไม่ปฏิรูปการเมืองและปล่อยเกียร์ว่างเรื่องการตรวจสอบทุจริต ทำให้ระบอบทักษิณกลับมาเหมือนเดิม การเมืองไทยกลับสู่สภาพเดิมคือรากหญ้าก็รอแต่เงินซื้อเสียง กับนโยบายประชานิยม ทุนใหม่ทุนเก่าก็ไม่รังเกียจกัน มารวมกันอยู่ได้ในรูปของรัฐบาลผสม ที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มทุน ส่วนทหารก็ยังคงมีอำนาจภายใต้การควบคุมของพรรคไทยรักไทยซึ่งจะไม่เข้าไปยุ่งมาก โดยอาจเสนอผลประโยชน์บางอย่างให้
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ปัจจุบันเท่ากับว่าพวกเราถูกเตะออกมาแล้ว และยังเป็นกลุ่มเดียวที่ยังยืนหยัดสู้ร่วมกับ คตส. ขณะที่หน่วยงานอื่นๆ เปลี่ยนไปหมดแล้ว แม้แต่ทหารก็ไปเยินยอ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อขอแลกกับตำแหน่ง รมว.กลาโหม
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการได้นำเทปที่นายสนธิ เคยพูดในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 ซึ่งสนธิ ได้พูดว่า ประชาชนที่มีความคิดและมีปัญญากำลังมีปัญหากับรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ และ คมช.เพราะไม่สามารถครอบงำ หรือสั่งซ้ายหันขวาหันได้ ถึงเวลาที่ต้องปล่อยให้ พล.อ.สุรยุทธ์ กับ คมช.เผชิญหน้ากับระบอบทักษิณเอาเอง ประชาชนต้องถอยออกมาเป็นอีกก๊กหนึ่ง และสามัคคีกันไว้ไม่ให้ใครมารังแก
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 22 ม.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางจันดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ เริ่มด้วยการกล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ผลการลงมติที่ออกมาทำให้ได้ประธานสภาที่มีตำหนิ เนื่องจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาฯ คนใหม่นั้น ยังมีเรื่องถูกร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งที่เชียงราย มีคดีที่พาตำรวจไปยิงชาวบ้านที่อยุธยา
นอกจากนี้ยังสะท้อนว่า การเลือกประธานสภาครั้งนี้เป็นการมุ่งเอาชนะคะคานกันโดยไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน ทำให้มองว่าสภานี้มีคนนายยงยุทธ ที่ยังมีปัญหาติดตัวหลายเรื่อง นอกจากนี้ คนที่เป็นรองประธานสภาคนที่ 2 ก็สะท้อนว่าต้องการเอาชนะคะคานเช่นกัน เพราะ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย นั้น เคยเป็นแกนนำ นปก.รุ่น 2 เคยขึ้นเวทีกล่าวโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอย่างรุนแรง ทั้งที่คนในสภามีตั้งมากมายไม่ยอมเลือก เมื่อรวมถึงตัวนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยโจมตีพล.อ.เปรมเช่นกัน ทำให้เห็นว่านี่ เป็นสัญลักษณ์ของการเอาชนะทางการเมืองของฝ่ายระบอบทักษิณต่อระบอบอำมาตยาธิปไตย
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการ ยังได้กล่าวถึงคำพูดของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ที่เสนอว่า การนัดประชุมสภาครั้งต่อไปเพื่อเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีนั้น ควรจะรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ก่อน แล้วให้ประธานสภาฯ คนใหม่นัด แต่มีบางคนที่ถือฤกษ์ถือยามรีบนัดไว้แล้ว ทำให้ซ้ำรอยการประชุมสภาชุดที่ 22 เมื่อปี 2548 ซึ่งมีการประชุมเพื่อเลือกประธานสภาในวันที่ 7 มีนาคม หลังจากนั้นได้นัดวันประชุมเลือกนายกฯทันทีในวันที่ 9 มีนาคม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องลงพระปรมาภิไทยฯ แต่งตั้งประธานสภาฯ ในวันที่ 8 มีนาคมเวลากลางคืน
อีกประเด็นที่ทำให้การประชุมสภาฯ ครั้งนี้ มีมลทิน คือ การประชุมครั้งนี้ไม่มีการถ่ายทอดสดทั้งที่เป็นการประชุมนัดแรก ควรจะให้ประชาชนได้รู้ว่าผู้ที่จะมาประธานมีความสง่างามแค่ไหน ให้เห็นคุณภาพของ ส.ส.ชุดนี้ ว่าเป็นอย่างไร การไม่ถ่ายทอด เท่ากับเป็นการเบิกฤกษ์รัฐบาลใหม่ ที่ประชาชนไม่มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูล
“บรรยากาศเดิมๆ เริ่มกลับมา ที่ทุกคนสามารรถลงคะแนนไปทางเดียวกัน โดยไม่สนใจกระแสสังคม ว่าเขาจะเห็นความสง่างามหรือไม่ จนบางคนบอกว่า เป็นการโหวตโดยไร้สติ แต่มีสตางค์”ผู้ดำเนินรายการ กล่าว
ต่อมาผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึง ความคืบหน้าการสอบสวนกรณีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีตามคำร้องเรียนของนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่นว่า ล่าสุด คณะอนุกรรมการที่มีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธาน ได้ขอเลื่อนการสรุปสำนวนออกไปอีก 1 เดือน โดยที่นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายกิจการสืบสวนสอบสวน อ้างว่า เนื่องจากมีพยานจำนวนมาก อาจจะสอบสวนไม่เสร็จตามกำหนดเดิมในวันที่ 27 ม.ค. ซึ่งแม้จะเลื่อนไปจากเดิมก็ไม่ส่งผลกระทบ เพราะถึงอย่างไร ก็ต้องเสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอยู่แล้ว
อัด กกต.หลายมาตรฐาน
กรณีที่นายสมชัยอ้างว่า การพิจารณาเรื่องนี้ต้องใช้เวลา อย่าทำตามกระแส ควรจะทำให้เสร็จสมบูรณ์ดีกว่า ผู้ดำเนินรายการเห็นว่า ถ้าใช้มาตรฐานนี้ ทำไม่จึงรับรองนายยงยุทธ ติยะไพรัช ไปก่อนทั้งที่การสอบสวนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่กลับรีบรับรองเพราะกลัวจะไม่ทันเปิดประชุมสภา อย่างนี้จะเรียกว่าทำตามกรคะแสหรือไม่
“กกต.ต้องถูกสังคมตั้งคำถามว่า คดีนายยงยุทธ ได้ทำให้สมบูรณ์หรือยัง หรือว่าเป็นการอ่อนข้อ ยอมแพ้ ศิโรราบให้กับระบอบทักษิณทุกทาง หรือเป็นการรอมชอม โดยไม่สนใจความผิดถูก”
ทหารขอรอมชอม “แม้ว”
ผู้ดำเนินรายการกล่าวอีกว่า แม้กระทั่ง คมช.ขณะนี้ ก็มีข้อสังเกตว่า กำลังรอมชอมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากการให้สัมภาษณ์ของ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก คมช. หลังจากมีการประชุมครั้งสุดท้ายของ คมช. ที่บอกว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาแล้ว จะถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสมานฉันท์และสามัคคีกันได้
นอกจากนี้ เมื่อดูจากความพยายามที่ คมช.จะเสนอให้รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่เป็นทหารที่เป็นทหาร ไม่สังกัดพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดนั้น เหมือนกับว่า คมช.กำลังต่อรอง หรือต้องการสมยอมโดยมีข้อแลกเปลี่ยน ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง คมช.ไม่มีสิทธิที่จะเสนออะไรอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการเจรจากันตรงนี้ ก็เท่ากับว่า ประเทศไทยเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณกับ คมช.ที่จะคุยกันเท่านั้น ยิ่งเมื่อย้อนไปดูกรณีเอกสารลับที่พรรคพลังประชาชนนำไปเปิดเผย ซึ่งจะต้องมีฉบับใดฉบับหนึ่งเป็นของปลอม แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบไป แสดงว่าตกลงกันได้แล้วใช่หรือไม่
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า รัฐมนตรีการกระทรวงกลาโหมที่ คมช.ต้องการนั้น มีการพูดถึงชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยเอาความปลอดภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นเครื่องต่อรอง เชื่อว่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับในเดือนเมษายนนั้น คงต้องการจะรอให้การแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพเสร็จเรียบร้อยก่อน
อย่างไรก็ตามชื่อของ พล.อ.ประวิตร อาจไม่เป็นที่พอใจของคนที่อยู่ฮ่องกง เพราะยังกลัวจะปฏิวัติอยู่ อาจจะต้องหาคนกลางจริงๆ เช่น พล.อ.สำเภา ชูศรี, พล.อ.สมทัต อัตตะนันท์, พล.อ.อู้ด เบื้องบน เป็นต้น ทั้งนี้เชื่อว่าฝ่ายพรรคพลังประชาชนคงต้องการเสนอชื่อ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ แต่ คมช.ก็คงไม่ต้องการเช่นกัน
“สัญญาณที่ คมช.ชื่นชม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า จะสร้างความสมานฉันท์ได้ และอยากได้คนกลางมาเป็น รมว.กลาโหม คือ สัญญาณการใกล้แพ้ ของ คมช. เป็นการยอมศิโรราบ พร้อมเจรจาเรื่องความปลอดภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ แลกกับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม” ผู้ดำเนินรายการ กล่าว
คำทำนาย“สนธิ”เป็นจริง
ในช่วงที่ 2 ของรายการ ได้มีการนำเทปที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยทำนายถึงโครงสร้างของการเมืองไทย ในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2550 โดนายสนธิเชื่อว่า หลังจากทหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายนแล้ว ทุนใหม่ยังคงพยายามเข้าหา คมช.ผ่านคนในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เป้ฯตัวแทนทุนเก่า และเทคโนโนแครต ซึ่งสุดท้ายแล้วทุนใหม่-ทุนเก่าและเทคโนแครตก็ร่วมมือกันและถีบภาคประชาชน-ชนชั้นกลางที่มีความรู้คือพันธมิตรฯ ออกมา
เห็นได้จากการที่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ เร่งให้มีการเลือกตั้งโดยไม่ปฏิรูปการเมืองและปล่อยเกียร์ว่างเรื่องการตรวจสอบทุจริต ทำให้ระบอบทักษิณกลับมาเหมือนเดิม การเมืองไทยกลับสู่สภาพเดิมคือรากหญ้าก็รอแต่เงินซื้อเสียง กับนโยบายประชานิยม ทุนใหม่ทุนเก่าก็ไม่รังเกียจกัน มารวมกันอยู่ได้ในรูปของรัฐบาลผสม ที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มทุน ส่วนทหารก็ยังคงมีอำนาจภายใต้การควบคุมของพรรคไทยรักไทยซึ่งจะไม่เข้าไปยุ่งมาก โดยอาจเสนอผลประโยชน์บางอย่างให้
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ปัจจุบันเท่ากับว่าพวกเราถูกเตะออกมาแล้ว และยังเป็นกลุ่มเดียวที่ยังยืนหยัดสู้ร่วมกับ คตส. ขณะที่หน่วยงานอื่นๆ เปลี่ยนไปหมดแล้ว แม้แต่ทหารก็ไปเยินยอ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อขอแลกกับตำแหน่ง รมว.กลาโหม
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการได้นำเทปที่นายสนธิ เคยพูดในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 ซึ่งสนธิ ได้พูดว่า ประชาชนที่มีความคิดและมีปัญญากำลังมีปัญหากับรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ และ คมช.เพราะไม่สามารถครอบงำ หรือสั่งซ้ายหันขวาหันได้ ถึงเวลาที่ต้องปล่อยให้ พล.อ.สุรยุทธ์ กับ คมช.เผชิญหน้ากับระบอบทักษิณเอาเอง ประชาชนต้องถอยออกมาเป็นอีกก๊กหนึ่ง และสามัคคีกันไว้ไม่ให้ใครมารังแก