xs
xsm
sm
md
lg

“ยามฯ” จวก “พลังแม้ว” มุ่งเอาชนะดันคนมีตำหนินั่งประธาน-รองฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ชี้ พปช.ดัน “ยงยุทธ” นั่งประธานสภาฯ พร้อมส่งอดีตแกนนำม็อบไล่ป๋านั่งรองฯ เป็นสัญลักษณ์มุ่งเอาชนะ ไม่สนใจถูกผิด อัด กกต.หลายมาตรฐาน รีบปล่อย “ยุทธ ตู้เย็น” แต่กลับถ่วงคดีนอมินี เชื่อ คมช.ยอมศิโรราบขอต่อรอง “แม้ว” แลกส่งคนคุมกลาโหม ขณะการเมืองเข้าอีหรอบเดิมเหมือน “สนธิ” เคยทำนายเมื่อเกือบ 1 ปีก่อน


คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ  ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ  ช่วงที่ 2


รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 22 ม.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางจันดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ เริ่มด้วยการกล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ผลการลงมติที่ออกมาทำให้ได้ประธานสภาที่มีตำหนิ เนื่องจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาฯ คนใหม่นั้น ยังมีเรื่องถูกร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งที่เชียงราย มีคดีที่พาตำรวจไปยิงชาวบ้านที่อยุธยา

นอกจากนี้ยังสะท้อนว่า การเลือกประธานสภาครั้งนี้เป็นการมุ่งเอาชนะคะคานกันโดยไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน ทำให้มองว่าสภานี้มีคนเหมาะจะเป็นประธานแค่นายยงยุทธที่ยังมีปัญหาติดตัวหลายเรื่อง นอกจากนี้ คนที่เป็นรองประธานสภาคนที่ 2 ก็สะท้อนว่าต้องการเอาชนะคะคานเช่นกัน เพราะ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย นั้น เคยเป็นแกนนำ นปก.รุ่น 2 เคยขึ้นเวทีกล่าวโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอย่างรุนแรง ทั้งที่คนในสภามีตั้งมากมายไม่ยอมเลือก เมื่อรวมถึงตัวนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยโจมตีพล.อ.เปรมเช่นกัน ทำให้เห็นว่านี่ เป็นสัญลักษณ์ของการเอาชนะทางการเมืองของฝ่ายระบอบทักษิณต่อระบอบอำมาตยาธิปไตย

นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการยังได้กล่าวถึงคำพูดของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอว่า การนัดประชุมสภาครั้งต่อไปเพื่อเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีนั้น ควรจะรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ก่อน แล้วให้ประธานสภาฯ คนใหม่นัด แต่มีบางคนที่ถือฤกษ์ถือยามรีบนัดไว้แล้ว ทำให้ซ้ำรอยการประชุมสภาชุดที่ 22 เมื่อปี 2548 ซึ่งมีการประชุมเพื่อเลือกประธานสภาในวันที่ 7 มีนาคม หลังจากนั้นได้นัดวันประชุมเลือกนายกฯทันทีในวันที่ 9 มีนาคม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องลงพระปรมาภิไทยฯ แต่งตั้งประธานสภาฯ ในวันที่ 8 มีนาคมเวลากลางคืน

อีกประเด็นที่ทำให้การประชุมสภาฯ ครั้งนี้มีมลทิน คือ การประชุมครั้งนี้ไม่มีการถ่ายทอดสดทั้งที่เป็นการประชุมนัดแรก ควรจะให้ประชาชนได้รู้ว่าผู้ที่จะมาประธานมีความสง่างามแค่ไหน ให้เห็นคุณภาพของ ส.ส.ชุดนี้ ว่าเป็นอย่างไร การไม่ถ่ายทอด เท่ากับเป็นการเบิกฤกษ์รัฐบาลใหม่ ที่ประชาชนไม่มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูล

“บรรยากาศเดิมๆ เริ่มกลับมา ที่ทุกคนสามารรถลงคะแนนไปทางเดียวกัน โดยไม่สนใจกระแสสังคมว่าเขาจะเห็นความสง่างามหรือไม่ จนบางคนบอกว่า เป็นการโหวตโดยไร้สติ แต่มีสตางค์” ผู้ดำเนินรายการกล่าว

ต่อมาผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนกรณีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีตามคำร้องเรียนของนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่นว่า ล่าสุด คณะอนุกรรมการที่มีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธาน ได้ขอเลื่อนการสรุปสำนวนออกไปอีก 1 เดือน โดยที่นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายกิจการสืบสวนสอบสวน อ้างว่า เนื่องจากมีพยานจำนวนมาก อาจจะสอบสวนไม่เสร็จตามกำหนดเดิมในวันที่ 27 ม.ค. ซึ่งแม้จะเลื่อนไปจากเดิมก็ไม่ส่งผลกระทบ เพราะถึงอย่างไร ก็ต้องเสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอยู่แล้ว

**อัด กกต.หลายมาตรฐาน

กรณีที่ นายสมชัยอ้างว่าการพิจารณาเรื่องนี้ต้องใช้เวลา อย่าทำตามกระแส ควรจะทำให้เสร็จสมบูรณ์ดีกว่า ผู้ดำเนินรายการเห็นว่า ถ้าใช้มาตรฐานนี้ ทำไม กกต.จึงรีบรับรองนายยงยุทธ ติยะไพรัช ไปก่อนทั้งที่การสอบสวนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่กลับรีบรับรองเพราะกลัวจะไม่ทันเปิดประชุมสภา อย่างนี้จะเรียกว่าทำตามกระแสหรือไม่

“กกต.ต้องถูกสังคมตั้งคำถามว่า คดีนายยงยุทธ ได้ทำให้สมบูรณ์หรือยัง หรือว่าเป็นการอ่อนข้อ ยอมแพ้ ศิโรราบให้กับระบอบทักษิณทุกทาง หรือเป็นการรอมชอม โดยไม่สนใจความผิดถูก”

**ทหารขอรอมชอม “แม้ว”

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า แม้กระทั่ง คมช.ขณะนี้ ก็มีข้อสังเกตว่า กำลังรอมชอมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากการให้สัมภาษณ์ของ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก คมช. หลังจากมีการประชุมครั้งสุดท้ายของ คมช. ที่บอกว่า หากพ.ต.ท.ทักษิณกลับมาแล้วจะถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสมานฉันท์และสามัคคีกันได้

นอกจากนี้ เมื่อดูจากความพยายามที่ คมช.จะเสนอให้รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่เป็นทหารและไม่สังกัดพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดนั้น เหมือนกับว่า คมช.กำลังต่อรอง หรือต้องการสมยอมโดยมีข้อแลกเปลี่ยน ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง คมช.ไม่มีสิทธิที่จะเสนออะไรอีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการเจรจากันตรงนี้ ก็เท่ากับว่า ประเทศไทยเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณกับ คมช.ที่จะคุยกันเท่านั้น ยิ่งเมื่อย้อนไปดูกรณีเอกสารลับที่พรรคพลังประชาชนนำไปเปิดเผย ซึ่งจะต้องมีฉบับใดฉบับหนึ่งเป็นของปลอม แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบไป แสดงว่าตกลงกันได้แล้วใช่หรือไม่

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า รัฐมนตรีการกระทรวงกลาโหมที่ คมช.ต้องการนั้น มีการพูดถึงชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยเอาความปลอดภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นเครื่องต่อรอง เชื่อว่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับในเดือนเมษายนนั้น คงต้องการจะรอให้การแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพเสร็จเรียบร้อยก่อน

อย่างไรก็ตาม ชื่อของ พล.อ.ประวิตร อาจไม่เป็นที่พอใจของคนที่อยู่ฮ่องกง เพราะยังกลัวจะปฏิวัติอยู่ อาจจะต้องหาคนกลางจริงๆ เช่น พล.อ.สำเภา ชูศรี, พล.อ.สมทัต อัตตะนันท์, พล.อ.อู้ด เบื้องบน เป็นต้น ทั้งนี้เชื่อว่าฝ่ายพรรคพลังประชาชนคงต้องการเสนอชื่อ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ แต่ คมช.ก็คงไม่ต้องการเช่นกัน

“สัญญาณที่ คมช.ชื่นชม พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะสร้างความสมานฉันท์ได้ และอยากได้คนกลางมาเป็น รมว.กลาโหม คือ สัญญาณการใกล้แพ้ของ คมช. เป็นการยอมศิโรราบ พร้อมเจรจาเรื่องความปลอดภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ แลกกับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม” ผู้ดำเนินรายการกล่าว

**ทุนใหม่-เก่า-ทหารฮั้วกันเอง ถีบประชาชนตกเวที

ในช่วงที่ 2 ของรายการ ได้มีการนำเทปที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยพูดถึงโครงสร้างของการเมืองไทย ในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2550 โดนายสนธิเชื่อว่า หลังจากทหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายนแล้ว ทุนใหม่ยังคงพยายามเข้าหา คมช.ผ่านคนในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เป็นตัวแทนทุนเก่าและเทคโนโนแครต ซึ่งสุดท้ายแล้วทุนใหม่-ทุนเก่าและเทคโนแครตก็ร่วมมือกันและถีบภาคประชาชน-ชนชั้นกลางที่มีความรู้คือพันธมิตรประชาชนฯ ออกมา

เห็นได้จากการที่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ เร่งให้มีการเลือกตั้งโดยไม่ปฏิรูปการเมืองและปล่อยเกียร์ว่างเรื่องการตรวจสอบทุจริต ทำให้ระบอบทักษิณกลับมาเหมือนเดิม การเมืองไทยกลับสู่สภาพเดิม คือเป้นประชาธิปไตย 4 วินาที รากหญ้าก็รอแต่เงินซื้อเสียง กับนโยบายประชานิยม ทุนใหม่ทุนเก่าก็ไม่รังเกียจกัน มารวมกันอยู่ได้ในรูปของรัฐบาลผสม ที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มทุน ส่วนทหารก็ยังคงมีอำนาจภายใต้การควบคุมของพรรคไทยรักไทยซึ่งจะไม่เข้าไปยุ่งมาก โดยอาจเสนอผลประโยชน์บางอย่างให้(อ่านรายละเอียด “ยามเฝ้าแผ่นดิน” วันที่ 20 เมษายน 2550)

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ปัจจุบันเท่ากับว่าพวกเราถูกเตะออกมาแล้ว และยังเป็นกลุ่มเดียวที่ยังยืนหยัดสู้ร่วมกับ คตส. ขณะที่หน่วยงานอื่นๆ เปลี่ยนไปหมดแล้ว แม้แต่ทหารก็ไปเยินยอ พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อขอแลกกับตำแหน่ง รมว.กลาโหม

นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการได้นำเทปที่นายสนธิเคยพูดในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 ซึ่งนายสนธิได้พูดว่า ประชาชนที่มีความคิดและมีปัญญากำลังมีปัญหากับรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์และ คมช.เพราะคนที่มีปัญญาเหล่านี้พวกเขาไม่สามารถครอบงำหรือสั่งซ้ายหันขวาหันได้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปล่อยให้ พล.อ.สุรยุทธ์กับ คมช.เผชิญหน้ากับระบอบทักษิณเอาเอง ประชาชนต้องถอยออกมาเป็นอีกก๊กหนึ่ง และสามัคคีกันไว้ไม่ให้ใครมารังแก (อ่านรายละเอียด “ยามเฝ้าแผ่นดิน” วันที่ 12 ตุลาคม 2550)



แผนภูมิโครงสร้างทางการเมืองที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยทำนายไว้เมื่อเดือนเมษายน 2550 ซึ่งตรงกับความเป็นจริงในปัจจุบัน




กำลังโหลดความคิดเห็น