ดุจดังคำทำนาย เราได้แนะนำ ติติงตักเตือนคณะผู้ปกครองมาหลายคณะแล้วว่า “อย่าได้สร้างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยเป็นอันขาด” นี่คือแนวทางมิจฉาทิฐิ ไม่มีสิ่งใดที่จะเลวร้าย เป็นบาปใหญ่ เท่าที่ผู้ปกครองไทยหลายชุด หลายคณะ หลงผิด คิดผิดเข้าใจผิดต่อแนวทาง ความเชื่อที่เป็นมิจฉาทิฐิอย่างใหญ่หลวงนัก ที่ได้ทำลายประเทศชาติ และครอบงำประชาชนให้โง่เขลาเบาปัญญาตามไปด้วย
รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 50 เป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิซ้ำรอยเดิม เพราะมาจากแนวคิดของพวกคุณปู่ คุณลุง คุณน้า ทั้งหลายที่มีแนวคิดมิจฉาทิฐิอย่างใหญ่หลวง คือ ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย แนวทางนี้จะร่างสักร้อยครั้ง พันฉบับก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตย มีแต่ความล้มเหลว ประชาชนต้องผิดหวังทุกครั้งไป แต่ที่มันร้ายที่สุดคือมันกลับกลายเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของชาติ มันทำลายความดีงาม โอกาสของประเทศชาติและประชาชนให้เสื่อมถอยลงๆ นับถึงวันนี้เราถูกแนวทางมิจฉาทิฐิ “ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย” ผิดซ้ำรอยเดิมมาแล้วถึง 18 ครั้ง ครอบงำทำลายมาแล้วยาวนานถึง 75 ปี ครั้งล่าสุดถือว่าเป็นความโง่เขลาของคณะผู้ปกครองมากที่สุด มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากเกินไปแล้ว บัดนี้เราจะเห็นได้ชัดว่าแม้แต่ประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ก้าวหน้า นำหน้าประเทศของเราไปหมดแล้ว ไทยเรายังย่ำต๊อก วนเวียนอยู่ในวังวนวงจรโคตรอุบาทว์ ทั้งนี้เป็นความเห็นผิด คิดผิด ทำผิด ของผู้ปกครองไทย อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทำไมๆ ชนชั้นสูงถึงมองไม่เห็น มองกันไม่ออก กลับยินดีเสียอีก
สภาวการณ์ของประเทศไทยยังเป็นสภาวการณ์ของระบอบเผด็จการสลับขั้วกันระหว่างเผด็จการรัฐประหาร กับเผด็จการระบบรัฐสภา (รูปการปกครองเป็นระบบรัฐสภา ส่วนเนื้อหาเป็นเผด็จการ เพราะไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม) นี่คือสภาพการณ์ที่เป็นจริง ดังนี้ จะเห็นได้ว่าไม่ว่ารัฐบาลคณะใดๆ ก็ตาม จะเป็นใครเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม เมื่อมาบริหารประเทศภายใต้ระบอบเผด็จการระบอบรัฐสภาที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นไปทำนองต้นดี ปลายร้าย, ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา, แรกเข้ามาประชาชนชื่นชม และจากไปประชาชนขับไล่, เข้ามาใหม่ๆ ได้รับดอกไม้ แต่จากไปได้รับก้อนอิฐ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาทุกรัฐบาล
ในช่วงอันใกล้นี้ โดยธรรมดาแล้ว ต้องให้โอกาสพรรคพลังประชาชน นำโดยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล แม้จะถูกกล่าวหาว่าเป็น “นอมินีทักษิณ” มีหลายฝ่ายไม่พอใจก็ตาม ก็ต้องให้โอกาสนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี แต่รับรองได้ว่า เป็นได้ไม่นาน จะขัดแข้งขัดขากันเอง และอาจจะถูกประชาชนขับไล่ เพราะเหตุคือ เป็นพรรคที่เกิดจากระบอบมิจฉาทิฐิ เป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบ และรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ นั่นเอง ในสถานการณ์นี้ ใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อน ตายก่อน คือจะเสียผู้เสียคนก่อน แล้วมาดูกัน ไม่นานเกินรอ
ในสมัยคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นรัฐบาลสมัยแรก กระแสประชาชนชื่นชมคุณทักษิณ มีกระแสสูงมาก คุณทักษิณจะทำผิดอะไรไว้ ก็ถูกหมด ดีไปหมด พอเป็นรัฐบาลผ่านไปได้เพียง 2 ปี ก็เริ่มมีกระแสต่อต้าน และแล้วในปีที่ 5 รัฐบาลทักษิณก็ถูกรัฐประหารในที่สุด อันเป็นไปกฎเกณฑ์ของระบอบมิจฉาทิฐิ อันเป็นเหตุให้เกิดวงจรอุบาทว์ แท้จริงแล้วรัฐบาลทักษิณตั้งอยู่บนสภาพการณ์ของระบอบมิจฉาทิฐิ รัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ นั่นเอง แต่คุณทักษิณกลับหายใจเป็นระบอบประชาธิปไตย โฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เขามีจุดยืนผิดไปจากสภาพการณ์ที่เป็นจริง เขาฉลาดเพื่อตนเองเสมอ แต่เขากลับโง่เขลาทางการเมืองโดยธรรม
เราได้แนะนำ ติติง ตักเตือนคุณทักษิณ ด้วยความเมตตาๆ หลายครั้ง ขณะตั้งพรรคใหม่ๆ คุณชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลแน่นอน แต่ต้องระวังให้ดีนะ เมื่อคุณเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ก่อนอื่นคุณต้องมีนโยบาย และโปรแกรม อันสำคัญยิ่งใหญ่ ที่จะดำเนินการแก้ไขแนวทางและระบอบมิจฉาทิฐิอันใหญ่หลวง โดยให้มีหลักการปกครองโดยธรรม เป็นธรรมาธิปไตย หลักการนี้ได้ผ่านการวิปัสสนา พิสูจน์ วิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว คุณเอาไปพิจารณาทำให้เป็นรูปธรรม คุณจะเป็นนายกฯ ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ คุณทักษิณได้รับปาก เป็นมั่นเป็นหมายว่าจะมาปรึกษาเป็นทางการ เป็นระบบอีกครั้งหลังจากได้เป็นรัฐบาลแล้ว เราบอกว่า คุณโชคดีแน่นอน เมื่อคุณทักษิณได้เป็นรัฐบาล ก็ไม่เคยมาปรึกษา เงียบหายไป เราจึงได้พูดกับคนใกล้ชิดเสมอว่า ยังไงๆ รัฐบาลทักษิณ จะไปไม่รอด ไม่ถูกประชาชนขับไล่ ก็ต้องถูกรัฐประหารแน่นอน แล้วคอยดูเถอะ และแล้วก็เป็นจริง เราพิจารณาปัญหาการเมืองไทยยังไม่เคยพลาด ทั้งนี้เพราะเรามองจากกฎเกณฑ์ของธรรมะ หรือกฎธรรมชาติ อันเกิดจากการศึกษา ปฏิบัติ เจริญรอยตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นเอง
รัฐบาลใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ แนวโน้มจะเป็นรัฐบาลคุณสมัคร สุนทรเวช เมื่อเปรียบเทียบกระแสกับคุณทักษิณแล้ว กระแสความนิยมในตัวคุณสมัครต่ำกว่ามาก และมีอุปสรรคขวางอยู่ข้างหน้ามากมายเหลือเกิน เกินกว่าปัญญาของคุณสมัคร พรรคพลังประชาชน และพรรคร่วม จะมีความสามารถแก้ไขได้ ไหนจะบริหารคนที่ด้อยคุณภาพในพรรค และพรรคร่วมรัฐบาล ที่หวังแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง วิสัยทัศน์สั้น ขาดปัญญาทั้งนั้น ว่าโดยรวมขบวนการของรัฐบาลใหม่ หรือองคาพยพของรัฐบาลใหม่ ถ้าพวกท่านทั้งหลายยังมองไม่ออกว่าอะไรคือ เหตุวิกฤตชาติที่แท้จริง และการจัดความสัมพันธ์ภายในชาติให้ถูกต้องโดยธรรมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่มีนโยบายและโปรแกรมแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ หากคิดแต่แก้ปัญหาปลายเหตุที่เกิดขึ้นจากเหตุแห่งปัญหา เพียงอย่างเดียวละก้อ อายุรัฐบาลใหม่ก็สั้นลง และเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอย่างมากมายทับถมทวีคูณ
ผู้เขียน ยืนยันตามกฎอิทัปปัจจยตาอันเป็นทางสายกลาง คือพิจารณาไปตามเหตุปัจจัย จึงไม่ได้มองปัญหาบุคคลหรือรัฐบาลเป็นเหตุเพียงอย่างเดียว คือพิจารณาทั้งองค์รวมตามเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดภายในประเทศของเรา เมื่อเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นมิจฉาทิฐิ เพราะเกิดจากขบวนการมิจฉาทิฐิ ผู้เขียนได้ติติงแนะคณะผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจชุดร่างรัฐธรรมนูญด้วยความเมตตาเสมอมาเป็นลำดับ เราได้แนะนำว่า การจะทำบ้านเมืองให้เกิดความถูกต้อง สิ่งแรกคือต้องสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน (สร้างระบอบก่อน) จากนั้น จึงดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง ดุจเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ หรือดุจเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะนิพพานกับ 84,000 พระธรรมขันธ์... เราได้แนะนำอย่างสัตบุรุษ ให้ผู้ปกครองจะชุดไหนๆ ก็ตาม รับฟังและคิดแก้ปัญญาที่เป็นต้นเหตุ หรือเหตุแห่งปัญหาของชาติจริงๆ ส่วนรัฐบาลจะได้รับฟัง รับรู้หรือไม่ก็ตาม
เราขอเชิญชวนมาร่วมกันพิสูจน์ กฎอิทัปปัจจยตา อันเป็นกฎความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยระหว่างเหตุและผล คือ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, (เมื่อเหตุดีเกิดขึ้น ผลดีย่อมเกิดขึ้น, เมื่อเหตุไม่ดีเกิดขึ้น ผลไม่ดีย่อมเกิดขึ้น)
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี, เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย)
ก็จะเห็นได้ว่า ในจักรวาลนี้ โลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะพ้นไปจากกฎอิทัปปัจจยตานี้ได้ สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นไป ดำเนินไปตามกฎอิทัปปัจจยตานี้ทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติ แล้วนำมาสอน บัญญัติ ก็ล้วนแล้วเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาทั้งสิ้น “วัฏจักรของสรรพชีวิต ย่อมอยู่ใต้พระธรรมจักร และมีบรมธรรมเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งอันแตกต่างหลากหลาย”
การคิดแก้ปัญหาประเทศชาติ และเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด คือปัญหาทุกข์ของแผ่นดิน หรือทุกข์ร่วมของปวงชนในแผ่นดิน เราต้องสืบสาวไปหาเหตุแห่งความทุกข์ของแผ่นดิน เมื่อพิจารณาทั้งองค์รวม ทั้งกระบวนการก็คือ หลักการปกครอง (ระบอบ) เป็นปัจจัยให้มีรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ เป็นปัจจัยให้มีการปกครอง (รัฐบาล), รัฐบาลเป็นปัจจัยต่อ กระทรวง, กระทรวงเป็นปัจจัยต่อกรม, กรมเป็นปัจจัยต่อ จังหวัด... เป็นลำดับไปจนถึงบุคคล นัยหนึ่งคือส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด เมื่อจะแก้ปัญหาก็ต้องสืบสาวไปหาเหตุ คือ ระบอบ หรือหลักการปกครอง
แต่ปรากฏว่ากว่า 75 ปี ประเทศไทยเราไม่เคยมีหลักการปกครอง เมื่อไม่มีหลักการปกครองมันก็บอกให้เรารู้ว่ารัฐธรรมนูญลักษณะนี้เป็นมิจฉาทิฐิ ผิดไปจากคลองธรรม จึงเป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการ นั่นเอง ผู้ปกครองเอาการเลือกตั้งมาบังหน้า เอามาเป็นเครื่องมือขึ้นสู่อำนาจ เอาระบบรัฐสภาอันเป็นรูปการปกครองชนิดหนึ่ง มาใช้เป็นรูปแบบการปกครอง แล้วก็โฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่แล้วก็ล้มเหลวทุกทีไปอย่างซ้ำซาก
รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 นี้ก็เช่นเดียวกันไม่มีหลักการปกครอง มีแต่รัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียวนัยหนึ่งมีแต่วิธีการปกครอง เมื่อเหตุเป็นมิจฉาทิฐิ การเลือกตั้งย่อมเป็นมิจฉาทิฐิ รัฐบาลย่อมมิจฉาทิฐิ การบริหารราชการ กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล... จนถึงประชาชน ย่อมเป็นไปตามกลไกรัฐ จึงถูกกระแสมิจฉาทิฐิครอบงำตามไปด้วยอย่างเป็นไปเอง
อีกนัยหนึ่งเมื่อการปกครองมิจฉาทิฐิ ระบบเศรษฐกิจในภาพรวม การศึกษา สังคม การดำเนินชีวิตของประชาชนก็พลอยไหลตามไปกระแสแห่งมิจฉาทิฐิ ตามเหตุปัจจัยที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด บางคนก็บอกว่ามันอยู่ที่คน ถ้ามองที่ตัวบุคคล คนเก่าไป คนใหม่มาน่าจะดีขึ้น แต่เปล่าเลยหนักกว่าเดิมอีก หนักลงทุกวัน มีภาพพิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วในหัวใจของสาธุชนคนไทยทั้งหลาย “ในหลวงคือภาพของความดีงามและสูงส่ง แต่การเมืองไทยไยกลับกลายเป็นนรก”
รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 50 เป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิซ้ำรอยเดิม เพราะมาจากแนวคิดของพวกคุณปู่ คุณลุง คุณน้า ทั้งหลายที่มีแนวคิดมิจฉาทิฐิอย่างใหญ่หลวง คือ ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย แนวทางนี้จะร่างสักร้อยครั้ง พันฉบับก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตย มีแต่ความล้มเหลว ประชาชนต้องผิดหวังทุกครั้งไป แต่ที่มันร้ายที่สุดคือมันกลับกลายเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของชาติ มันทำลายความดีงาม โอกาสของประเทศชาติและประชาชนให้เสื่อมถอยลงๆ นับถึงวันนี้เราถูกแนวทางมิจฉาทิฐิ “ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย” ผิดซ้ำรอยเดิมมาแล้วถึง 18 ครั้ง ครอบงำทำลายมาแล้วยาวนานถึง 75 ปี ครั้งล่าสุดถือว่าเป็นความโง่เขลาของคณะผู้ปกครองมากที่สุด มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากเกินไปแล้ว บัดนี้เราจะเห็นได้ชัดว่าแม้แต่ประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ก้าวหน้า นำหน้าประเทศของเราไปหมดแล้ว ไทยเรายังย่ำต๊อก วนเวียนอยู่ในวังวนวงจรโคตรอุบาทว์ ทั้งนี้เป็นความเห็นผิด คิดผิด ทำผิด ของผู้ปกครองไทย อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทำไมๆ ชนชั้นสูงถึงมองไม่เห็น มองกันไม่ออก กลับยินดีเสียอีก
สภาวการณ์ของประเทศไทยยังเป็นสภาวการณ์ของระบอบเผด็จการสลับขั้วกันระหว่างเผด็จการรัฐประหาร กับเผด็จการระบบรัฐสภา (รูปการปกครองเป็นระบบรัฐสภา ส่วนเนื้อหาเป็นเผด็จการ เพราะไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม) นี่คือสภาพการณ์ที่เป็นจริง ดังนี้ จะเห็นได้ว่าไม่ว่ารัฐบาลคณะใดๆ ก็ตาม จะเป็นใครเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม เมื่อมาบริหารประเทศภายใต้ระบอบเผด็จการระบอบรัฐสภาที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นไปทำนองต้นดี ปลายร้าย, ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา, แรกเข้ามาประชาชนชื่นชม และจากไปประชาชนขับไล่, เข้ามาใหม่ๆ ได้รับดอกไม้ แต่จากไปได้รับก้อนอิฐ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาทุกรัฐบาล
ในช่วงอันใกล้นี้ โดยธรรมดาแล้ว ต้องให้โอกาสพรรคพลังประชาชน นำโดยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล แม้จะถูกกล่าวหาว่าเป็น “นอมินีทักษิณ” มีหลายฝ่ายไม่พอใจก็ตาม ก็ต้องให้โอกาสนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี แต่รับรองได้ว่า เป็นได้ไม่นาน จะขัดแข้งขัดขากันเอง และอาจจะถูกประชาชนขับไล่ เพราะเหตุคือ เป็นพรรคที่เกิดจากระบอบมิจฉาทิฐิ เป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบ และรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ นั่นเอง ในสถานการณ์นี้ ใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อน ตายก่อน คือจะเสียผู้เสียคนก่อน แล้วมาดูกัน ไม่นานเกินรอ
ในสมัยคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นรัฐบาลสมัยแรก กระแสประชาชนชื่นชมคุณทักษิณ มีกระแสสูงมาก คุณทักษิณจะทำผิดอะไรไว้ ก็ถูกหมด ดีไปหมด พอเป็นรัฐบาลผ่านไปได้เพียง 2 ปี ก็เริ่มมีกระแสต่อต้าน และแล้วในปีที่ 5 รัฐบาลทักษิณก็ถูกรัฐประหารในที่สุด อันเป็นไปกฎเกณฑ์ของระบอบมิจฉาทิฐิ อันเป็นเหตุให้เกิดวงจรอุบาทว์ แท้จริงแล้วรัฐบาลทักษิณตั้งอยู่บนสภาพการณ์ของระบอบมิจฉาทิฐิ รัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ นั่นเอง แต่คุณทักษิณกลับหายใจเป็นระบอบประชาธิปไตย โฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เขามีจุดยืนผิดไปจากสภาพการณ์ที่เป็นจริง เขาฉลาดเพื่อตนเองเสมอ แต่เขากลับโง่เขลาทางการเมืองโดยธรรม
เราได้แนะนำ ติติง ตักเตือนคุณทักษิณ ด้วยความเมตตาๆ หลายครั้ง ขณะตั้งพรรคใหม่ๆ คุณชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลแน่นอน แต่ต้องระวังให้ดีนะ เมื่อคุณเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ก่อนอื่นคุณต้องมีนโยบาย และโปรแกรม อันสำคัญยิ่งใหญ่ ที่จะดำเนินการแก้ไขแนวทางและระบอบมิจฉาทิฐิอันใหญ่หลวง โดยให้มีหลักการปกครองโดยธรรม เป็นธรรมาธิปไตย หลักการนี้ได้ผ่านการวิปัสสนา พิสูจน์ วิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว คุณเอาไปพิจารณาทำให้เป็นรูปธรรม คุณจะเป็นนายกฯ ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ คุณทักษิณได้รับปาก เป็นมั่นเป็นหมายว่าจะมาปรึกษาเป็นทางการ เป็นระบบอีกครั้งหลังจากได้เป็นรัฐบาลแล้ว เราบอกว่า คุณโชคดีแน่นอน เมื่อคุณทักษิณได้เป็นรัฐบาล ก็ไม่เคยมาปรึกษา เงียบหายไป เราจึงได้พูดกับคนใกล้ชิดเสมอว่า ยังไงๆ รัฐบาลทักษิณ จะไปไม่รอด ไม่ถูกประชาชนขับไล่ ก็ต้องถูกรัฐประหารแน่นอน แล้วคอยดูเถอะ และแล้วก็เป็นจริง เราพิจารณาปัญหาการเมืองไทยยังไม่เคยพลาด ทั้งนี้เพราะเรามองจากกฎเกณฑ์ของธรรมะ หรือกฎธรรมชาติ อันเกิดจากการศึกษา ปฏิบัติ เจริญรอยตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นเอง
รัฐบาลใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ แนวโน้มจะเป็นรัฐบาลคุณสมัคร สุนทรเวช เมื่อเปรียบเทียบกระแสกับคุณทักษิณแล้ว กระแสความนิยมในตัวคุณสมัครต่ำกว่ามาก และมีอุปสรรคขวางอยู่ข้างหน้ามากมายเหลือเกิน เกินกว่าปัญญาของคุณสมัคร พรรคพลังประชาชน และพรรคร่วม จะมีความสามารถแก้ไขได้ ไหนจะบริหารคนที่ด้อยคุณภาพในพรรค และพรรคร่วมรัฐบาล ที่หวังแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง วิสัยทัศน์สั้น ขาดปัญญาทั้งนั้น ว่าโดยรวมขบวนการของรัฐบาลใหม่ หรือองคาพยพของรัฐบาลใหม่ ถ้าพวกท่านทั้งหลายยังมองไม่ออกว่าอะไรคือ เหตุวิกฤตชาติที่แท้จริง และการจัดความสัมพันธ์ภายในชาติให้ถูกต้องโดยธรรมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่มีนโยบายและโปรแกรมแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ หากคิดแต่แก้ปัญหาปลายเหตุที่เกิดขึ้นจากเหตุแห่งปัญหา เพียงอย่างเดียวละก้อ อายุรัฐบาลใหม่ก็สั้นลง และเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอย่างมากมายทับถมทวีคูณ
ผู้เขียน ยืนยันตามกฎอิทัปปัจจยตาอันเป็นทางสายกลาง คือพิจารณาไปตามเหตุปัจจัย จึงไม่ได้มองปัญหาบุคคลหรือรัฐบาลเป็นเหตุเพียงอย่างเดียว คือพิจารณาทั้งองค์รวมตามเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดภายในประเทศของเรา เมื่อเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นมิจฉาทิฐิ เพราะเกิดจากขบวนการมิจฉาทิฐิ ผู้เขียนได้ติติงแนะคณะผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจชุดร่างรัฐธรรมนูญด้วยความเมตตาเสมอมาเป็นลำดับ เราได้แนะนำว่า การจะทำบ้านเมืองให้เกิดความถูกต้อง สิ่งแรกคือต้องสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน (สร้างระบอบก่อน) จากนั้น จึงดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง ดุจเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ หรือดุจเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะนิพพานกับ 84,000 พระธรรมขันธ์... เราได้แนะนำอย่างสัตบุรุษ ให้ผู้ปกครองจะชุดไหนๆ ก็ตาม รับฟังและคิดแก้ปัญญาที่เป็นต้นเหตุ หรือเหตุแห่งปัญหาของชาติจริงๆ ส่วนรัฐบาลจะได้รับฟัง รับรู้หรือไม่ก็ตาม
เราขอเชิญชวนมาร่วมกันพิสูจน์ กฎอิทัปปัจจยตา อันเป็นกฎความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยระหว่างเหตุและผล คือ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, (เมื่อเหตุดีเกิดขึ้น ผลดีย่อมเกิดขึ้น, เมื่อเหตุไม่ดีเกิดขึ้น ผลไม่ดีย่อมเกิดขึ้น)
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี, เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย)
ก็จะเห็นได้ว่า ในจักรวาลนี้ โลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะพ้นไปจากกฎอิทัปปัจจยตานี้ได้ สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นไป ดำเนินไปตามกฎอิทัปปัจจยตานี้ทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติ แล้วนำมาสอน บัญญัติ ก็ล้วนแล้วเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาทั้งสิ้น “วัฏจักรของสรรพชีวิต ย่อมอยู่ใต้พระธรรมจักร และมีบรมธรรมเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งอันแตกต่างหลากหลาย”
การคิดแก้ปัญหาประเทศชาติ และเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด คือปัญหาทุกข์ของแผ่นดิน หรือทุกข์ร่วมของปวงชนในแผ่นดิน เราต้องสืบสาวไปหาเหตุแห่งความทุกข์ของแผ่นดิน เมื่อพิจารณาทั้งองค์รวม ทั้งกระบวนการก็คือ หลักการปกครอง (ระบอบ) เป็นปัจจัยให้มีรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ เป็นปัจจัยให้มีการปกครอง (รัฐบาล), รัฐบาลเป็นปัจจัยต่อ กระทรวง, กระทรวงเป็นปัจจัยต่อกรม, กรมเป็นปัจจัยต่อ จังหวัด... เป็นลำดับไปจนถึงบุคคล นัยหนึ่งคือส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด เมื่อจะแก้ปัญหาก็ต้องสืบสาวไปหาเหตุ คือ ระบอบ หรือหลักการปกครอง
แต่ปรากฏว่ากว่า 75 ปี ประเทศไทยเราไม่เคยมีหลักการปกครอง เมื่อไม่มีหลักการปกครองมันก็บอกให้เรารู้ว่ารัฐธรรมนูญลักษณะนี้เป็นมิจฉาทิฐิ ผิดไปจากคลองธรรม จึงเป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการ นั่นเอง ผู้ปกครองเอาการเลือกตั้งมาบังหน้า เอามาเป็นเครื่องมือขึ้นสู่อำนาจ เอาระบบรัฐสภาอันเป็นรูปการปกครองชนิดหนึ่ง มาใช้เป็นรูปแบบการปกครอง แล้วก็โฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่แล้วก็ล้มเหลวทุกทีไปอย่างซ้ำซาก
รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 นี้ก็เช่นเดียวกันไม่มีหลักการปกครอง มีแต่รัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียวนัยหนึ่งมีแต่วิธีการปกครอง เมื่อเหตุเป็นมิจฉาทิฐิ การเลือกตั้งย่อมเป็นมิจฉาทิฐิ รัฐบาลย่อมมิจฉาทิฐิ การบริหารราชการ กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล... จนถึงประชาชน ย่อมเป็นไปตามกลไกรัฐ จึงถูกกระแสมิจฉาทิฐิครอบงำตามไปด้วยอย่างเป็นไปเอง
อีกนัยหนึ่งเมื่อการปกครองมิจฉาทิฐิ ระบบเศรษฐกิจในภาพรวม การศึกษา สังคม การดำเนินชีวิตของประชาชนก็พลอยไหลตามไปกระแสแห่งมิจฉาทิฐิ ตามเหตุปัจจัยที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด บางคนก็บอกว่ามันอยู่ที่คน ถ้ามองที่ตัวบุคคล คนเก่าไป คนใหม่มาน่าจะดีขึ้น แต่เปล่าเลยหนักกว่าเดิมอีก หนักลงทุกวัน มีภาพพิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วในหัวใจของสาธุชนคนไทยทั้งหลาย “ในหลวงคือภาพของความดีงามและสูงส่ง แต่การเมืองไทยไยกลับกลายเป็นนรก”