ผู้จัดการรายวัน – สุวิทย์ หวังสร้างผลงานจนเฮือกสุดท้าย ยันต้องผลักดันศูนย์การท่องเที่ยวกีฬาและนันทนาการ ให้ขึ้นเป็นสำนักงานการท่องเที่ยวกีฬาและจังหวัดให้ครบทั้ง 31 แห่งในรัฐบาลชุดนี้ เตรียมร่อนจดหมายชี้แจง เลขาธิการ ก.พ.ร. ก่อนนัดประชุมด่วนเพื่อตัดสิน 18 ม.ค.51
วานนี้(16 ม.ค.51) ในการประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) นายสุวิทย์ ยอดมณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงฯจะเร่งผลักดันให้ ศูนย์การท่องเที่ยวกีฬาและนันทนาการ ได้ยกระดับเป็นสำนักงานการท่องเที่ยวกีฬาและจังหวัดให้ครบทั้ง 31 แห่ง ตามที่กระทรวงฯได้เคยยื่นเสนอต่อ ก.พ.ร.ไปแล้ว โดยจะเร่งให้ทันในรัฐบาลชุดนี้
โดยเตรียมทำหนังสือถึงเลขาธิการ ก.พ.ร. เพื่อชี้แจงถึงความจำเป็นในการผลักดันศูนย์ดังกล่าว ขึ้นเป็นสำนักงานฯ ดังนั้นที่ประชุมฯจึงได้นัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 18 ม.ค.ศกนี้ เป็นสาระพิเศษเร่งด่วน เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว กระทรวงฯจะใช้การประชุมครั้งหน้าเป็นเวทีชี้แจงให้ ก.พ.ร.ได้เห็นถึงความสำคัญหากได้ยกระดับเป็นสำนักงานฯ โดยเฉพาะประเด็นที่จะช่วยเสริมศักยภาพการทำงานด้านการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมกับการทำงานประสานความร่วมมือกันระหว่างจังหวัดกับส่วนกลางใน 3 ส่วน ได้แก่ การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม ,การสร้างความปลอดภัย และ ด้านมาตรฐานการท่องเที่ยว
“เราได้เสนอ ก.พ.ร. แต่งตั้งศูนย์ฯขึ้นเป็นสำนักงานฯรวม 31 แห่ง แต่ ก.พ.ร.อนุมัติแค่ 6 แห่ง โดยให้สาเหตุว่า นโยบายรัฐมุ่งกระจายการทำงานสู่ท้องถิ่น จึงกลัวว่า การตั้งสำนักงานฯ จะเพิ่มภาระให้กระทรวงฯ และ จะทำงานทับซ้อนกับส่วนท้องถิ่น แต่เราจะชี้แจงว่า จะช่วยเรื่องการทำงานที่เป็นระบบขึ้น และ สำนักงาน จะเป็นเหมือนแขนขาของกระทรวงช่วยเหลือเรื่องการทำงานที่มีประสิทธิภาพ”
ทางด้าน น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า มั่นใจว่า ในการประชุมวันที่ 18 ม.ค.นี้ ก.พ.ร. จะเข้าใจวัตถุประสงค์ของ กระทรวงฯมากขึ้น และ น่าจะยินดีแต่งตั้งอีก 25 ศูนย์ฯที่เหลือขึ้นเป็นสำนักงานฯอย่างแน่นอน โดยขณะนี้ ทาง สำนักปลัด ได้เตรียมความพร้อมด้วยการจัดอบรมบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบ เมื่อได้ยกระดับฐานะในครั้งนี้ และ ขอยืนยันว่า การยกฐานะครั้งนี้ไม่ได้สร้างภาระเรื่องงบประมาณที่สูงขึ้นให้แก่ภาครัฐมากนัก โดยแต่ละศูนย์จะใช้งบประมาณเพียง 3-6 แสนบาทขึ้นอยู่กับขนาดของศูนย์ ส่วนเงินประจำตำแหน่ง จะปรับขึ้นจาก 3.5 พันบาทเป็น 5.6 พันบาท แต่สิ่งที่ได้คือการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่พนักงานข้าราชการ เพิ่มอำนาจการตัดสินใจด้านการบริหารจัดการ ทำให้การทำงานรวดเร็วทันเหตุการณ์ และ กระทรวงฯวางแผนว่าในปีนี้จะเร่งผลักดันศูนย์ฯให้เป็นสำนักงานฯได้ครบ 76 แห่งทั่วประเทศ
วานนี้(16 ม.ค.51) ในการประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) นายสุวิทย์ ยอดมณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงฯจะเร่งผลักดันให้ ศูนย์การท่องเที่ยวกีฬาและนันทนาการ ได้ยกระดับเป็นสำนักงานการท่องเที่ยวกีฬาและจังหวัดให้ครบทั้ง 31 แห่ง ตามที่กระทรวงฯได้เคยยื่นเสนอต่อ ก.พ.ร.ไปแล้ว โดยจะเร่งให้ทันในรัฐบาลชุดนี้
โดยเตรียมทำหนังสือถึงเลขาธิการ ก.พ.ร. เพื่อชี้แจงถึงความจำเป็นในการผลักดันศูนย์ดังกล่าว ขึ้นเป็นสำนักงานฯ ดังนั้นที่ประชุมฯจึงได้นัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 18 ม.ค.ศกนี้ เป็นสาระพิเศษเร่งด่วน เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว กระทรวงฯจะใช้การประชุมครั้งหน้าเป็นเวทีชี้แจงให้ ก.พ.ร.ได้เห็นถึงความสำคัญหากได้ยกระดับเป็นสำนักงานฯ โดยเฉพาะประเด็นที่จะช่วยเสริมศักยภาพการทำงานด้านการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมกับการทำงานประสานความร่วมมือกันระหว่างจังหวัดกับส่วนกลางใน 3 ส่วน ได้แก่ การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม ,การสร้างความปลอดภัย และ ด้านมาตรฐานการท่องเที่ยว
“เราได้เสนอ ก.พ.ร. แต่งตั้งศูนย์ฯขึ้นเป็นสำนักงานฯรวม 31 แห่ง แต่ ก.พ.ร.อนุมัติแค่ 6 แห่ง โดยให้สาเหตุว่า นโยบายรัฐมุ่งกระจายการทำงานสู่ท้องถิ่น จึงกลัวว่า การตั้งสำนักงานฯ จะเพิ่มภาระให้กระทรวงฯ และ จะทำงานทับซ้อนกับส่วนท้องถิ่น แต่เราจะชี้แจงว่า จะช่วยเรื่องการทำงานที่เป็นระบบขึ้น และ สำนักงาน จะเป็นเหมือนแขนขาของกระทรวงช่วยเหลือเรื่องการทำงานที่มีประสิทธิภาพ”
ทางด้าน น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า มั่นใจว่า ในการประชุมวันที่ 18 ม.ค.นี้ ก.พ.ร. จะเข้าใจวัตถุประสงค์ของ กระทรวงฯมากขึ้น และ น่าจะยินดีแต่งตั้งอีก 25 ศูนย์ฯที่เหลือขึ้นเป็นสำนักงานฯอย่างแน่นอน โดยขณะนี้ ทาง สำนักปลัด ได้เตรียมความพร้อมด้วยการจัดอบรมบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบ เมื่อได้ยกระดับฐานะในครั้งนี้ และ ขอยืนยันว่า การยกฐานะครั้งนี้ไม่ได้สร้างภาระเรื่องงบประมาณที่สูงขึ้นให้แก่ภาครัฐมากนัก โดยแต่ละศูนย์จะใช้งบประมาณเพียง 3-6 แสนบาทขึ้นอยู่กับขนาดของศูนย์ ส่วนเงินประจำตำแหน่ง จะปรับขึ้นจาก 3.5 พันบาทเป็น 5.6 พันบาท แต่สิ่งที่ได้คือการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่พนักงานข้าราชการ เพิ่มอำนาจการตัดสินใจด้านการบริหารจัดการ ทำให้การทำงานรวดเร็วทันเหตุการณ์ และ กระทรวงฯวางแผนว่าในปีนี้จะเร่งผลักดันศูนย์ฯให้เป็นสำนักงานฯได้ครบ 76 แห่งทั่วประเทศ