ผู้จัดการรายวัน/เอเอฟพี/รอยเตอร์ - กองทุนโดดอุ้มตลาดหุ้น ไล่เก็บหุ้นบิ๊กแคปหลังราคารูดต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างมาก ขณะที่รายย่อยใจชื้น"เพื่อแผ่นดิน-ชาติไทย"ตอบรับร่วมรัฐบาลใหม่ โบรกเกอร์ชี้หุ้นขึ้นแค่รีบาวน์จากเทคนิค ย้ำต้องติดตามผลตัดสินคดียุบพรรคพปช.วันนี้ ขณะที่ปัจจัยนอกประเทศลุ้นงบไตรมาส 4/50"เมอร์ลิลินซ์-โกลด์แมนแซคส์" ด้านนักลงทุนเตรียมกระอักไตรมาส 2/51 หลักทรัพย์ค้ำประกันซื้อหุ้นเพิ่มจาก 10% เป็น 15% ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศยังมีทิศทางไม่ชัดเจน เหตุนักลงทุนฉวยจังหวะหุ้นลงแรงเข้ามาเก็งกำไร แต่ยังเกรงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ย่ำแย่อยู่
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (17 ม.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังกระแสข่าวในการจัดตั้งรัฐบาลมีความชัดเจนมากขึ้น โดยล่าสุดพรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดินตอบรับในการเข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน โดยนักลงทุนสถาบันหันมาเก็บหุ้นขนาดใหญ่ทั้งในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารจากราคาปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากก่อนหน้านี้ ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 791.25 จุด เพิ่มขึ้น 17.45 จุด หรือ 2.26% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 794.27 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 771.48 จุด มูลค่าการซื้อขาย 21,053.98 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,311.97 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,177.57 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 134.40 ล้านบาท
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ซึ่งเป็นการรีบาวน์ทางเทคนิคจากที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวลดลง ประกอบกับข่าวที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุซ เตรียมประชุมหารือออกมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งมีผลทำให้ดัชนีล่วงหน้าตลาดหุ้นดาวโจนส์และแนสแดคปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับสาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค เนื่องจากปัจจัยการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้นจากพรรคเพื่อแผ่นดินและชาติไทยได้ประกาศที่จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน จึงทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจที่เข้ามาลงทุนมากขึ้น แต่ยังคงต้องติดตามในเรื่องคดียุบพรรคพลังประชาชนในข้อหาการเป็นนอมินีให้กับกลุ่มพรรคไทยรักไทยเดิมในวันนี้ (18 ม.ค.) ว่าศาลฎีกาจะมีการตัดสินอย่างไร
ทั้งนี้ หากศาลฯพิจารณาออกมาว่าพรรคพลังประชาชนไม่มีความผิดก็จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากปัจจัยการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น ในการดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป แต่ก็จะเป็นปัจจัยบวกในช่วงสั้นๆเพราะปัจจัยหลักนั้นยังคงต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ในทางตรงกันข้ามหากผลการตัดสินพรรคพลังประชาชนมีความผิดก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาและมีผลทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงได้
อย่างไรก็ตามแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากแรงเก็งกำไรการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและการที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะมีการประชุมในวันที่ 30 มกราคมนี้ในการลดอัตราดอกเบี้ยและการเมืองที่จะชัดเจนมากขึ้น โดยบริษัทแนะนักลงทุนให้ซื้อหุ้นที่มีการปรับตัวลดลงมามากในช่วงที่ผ่านมา เช่น PTT BAY PS KTB MINT ฯลฯ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 787 จุด แนวต้านที่ระดับ 805 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงจากการเข้ามาเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะในกลุ่มปตท. เนื่องจากก่อนหน้าที่ราคาได้ปรับลดลงมากจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศโดยเฉพาะปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ส่งสัญญาณที่ดีขึ้นเนื่องจากพรรครีพลับลิกัน และพรรคเดโมแครตของสหรัฐฯ ประกาศจะร่วมมือที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ทั้งนี้ ประเมินแนวรับที่ 775-780 จุด และแนวต้านที่ 800 จุด โดยยังต้องติดตามปัจจัยการเมืองภายในประเทศและปัจจัยภายนอกจากสหรัฐฯ
ลุ้นคดียุบ"พปช"วันนี้
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นในวันนี้คาดว่าจะยังเคลื่อนไหวอย่างผันผวน โดยระหว่างวันอาจมีการขายทำกำไรออกมาเพื่อรอความชัดเจนในคำตัดสินของศาลฎีกากรณีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมีนีพรรคไทยรักไทย โดยประเมินแนวรับที่ 780 จุด แนวต้านที่ 795-780 จุด
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า นักลงทุนรอการแถลงข่าวการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการซึ่งจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้าจึงทำให้มีแรงซื้อเข้ามาเก็งกำไร แต่ปัจจัยที่ยังถือว่าเป็นความเสี่ยงนักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้จะผันผวนมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนต้องรอการประกาศผลประกอบการของเมอร์ริลลินช์ ว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์มากน้อยเพียงใด โดยประเมินแนวรับที่ 776-780 จุด แนวต้านที่ 800 จุด แนะนำขายทำกำไรได้เมื่อดัชนีใกล้ 800 จุด
เพิ่มวงเงินประกันซื้อหุ้นQ2
นายจงรัก ระรวยทรง กรรมการผู้อำนวยสมาคมบริษัทหลักทรัพย์(บล.) กล่าวว่าการปรับอัตราอัตราวางหลักทรัพย์ค้ำประกันในการซื้อหลักทรัพย์จาก 10% เป็น 15% ว่า ที่ผ่านมาสมาคมบล.ได้มีการสำรวจความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวกับสมาชิก โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นอัตราการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยตอนนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนจะเสนอต่อให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์พิจารณาอนุมัติต่อไป
ทั้งนี้ คาดว่าการเพิ่มหลักประกันการซื้อหุ้นจะสามารถดำเนินการได้ในไตรมาส 2/51 เนื่องจากไม่ต้องการให้กระทบต่อนักลงทุนเพราะในช่วงที่ผ่านมาได้มีการแก้ไขกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์หลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์เพราะยังมีเวลาที่ให้นักลงทุนมีการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ขณะที่เรื่องการชำระราคาหุ้นจากเดิม T+3 เป็น T+2 น่าจะเป็นอีกทางที่ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนให้กับนักลงทุนได้
ตลาดหุ้นตปท.ยังไร้ทิศทาง
ทางด้านราคาหุ้นแถบเอเชียปิดวานนี้(17) โดยมีทิศทางไม่ชัดเจนมีทั้งบวกและลบ เมื่อมีพวกออกล่าหาของถูกหลังจากตลาดทรุดแรงในช่วงหลังๆ มานี้ ทว่านักลงทุนจำนวนมากก็ยังหวั่นผวากับสภาพเศรษฐกิจอันย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ของสหรัฐฯ
ตลาดวอลล์สตรีทเองเมื่อวันพุธ(16) มีความเคลื่อนไหววูบวาบมาก ในการซื้อขายระหว่างวัน ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์เหวี่ยงขึ้นแดนบวกและหล่นลงแดนลบกันในระดับ 100 จุด แต่ในตอนปิดได้ติดลบ 34.95 จุด หรือ 0.28% ขณะที่ดัชนีหุ้นสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ 500 หล่นลง 0.56% และ ดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดแนสแดค ต่ำลงมา 0.95%
ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ประกาศในวันพุธนั้น ไม่สู้มีอะไรน่าตื่นเต้นนัก โดยรายงานเบจบุ๊กของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นพอประมาณในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงตลอดเดือนธันวาคม ทว่าอยู่ในอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับการสำรวจคราวก่อนหน้า
ขณะที่ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคที่ประกาศโดยกระทรวงพาณิชย์ แม้จะแสดงว่าเดือนธันวาคมอยู่ที่ 0.3% อันสูงขึ้นกว่าคาดหมาย และทำให้ตลอดปีที่แล้วอยู่ในระดับ 4.1% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 17 ปีทีเดียว แต่นักวิเคราะห์มองว่า ยังอยู่ในระดับที่ไม่ถึงกับจะทำให้เฟดเปลี่ยนใจในเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย ในการประชุมเอฟโอเอ็มซีสิ้นเดือนนี้
ดังนั้น ตลาดหุ้นจึงเล่นกับรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2007 ที่บริษัทต่างๆ ทยอยประกาศออกมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปในทางแย่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อินเทล ที่ทั้งผลกำไรและทิศทางอนาคตต่างน่าปิดหวัง
กระนั้น นักลงทุนก็ยังหาข่าวที่จะใช้เป็นเหตุผลในการเข้าซื้อของถูกได้เหมือนกัน ดังเช่น เจพีมอร์แกน ที่แม้ผลกำไรย่ำแย่ลง แต่ก็ยังดูดีกว่าซิตี้กรุ๊ปซึ่งประกาศในวันอังคาร
ทางด้านตลาดแถบเอเชียวานนี้ ฮ่องกงเป็นตลาดสำคัญที่ขึ้นโด่งกว่าเพื่อน นั่นคือ 2.72% ขณะที่โตเกียวก็สามารถหลุดจากระดับต่ำสุดๆ ในรอบ 2 ปีมาปิดสูงขึ้น 2.07% เช่นเดียวกับสิงคโปร์ที่ไต่ขึ้น 2.66%
การขยับสูงขึ้นเหล่านี้ส่วนมากมาจากแรงออกล่าของถูก หลังจากหุ้นแถบเอเชียทรุดหนักในวันพุธ ตามหลังการหล่นฮวบของวอลล์สตรีทในวันอังคาร
อย่างไรก็ตาม ตลาดเอเชียเมื่อวานนี้ที่ปิดในแดนลบก็มีหลายแห่ง เช่น เซี่ยงไฮ้ ลบ 2.63%, ไทเป ลบ 0.95%, มะนิลา ลบ 3.1%
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (17 ม.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังกระแสข่าวในการจัดตั้งรัฐบาลมีความชัดเจนมากขึ้น โดยล่าสุดพรรคชาติไทยและพรรคเพื่อแผ่นดินตอบรับในการเข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน โดยนักลงทุนสถาบันหันมาเก็บหุ้นขนาดใหญ่ทั้งในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารจากราคาปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากก่อนหน้านี้ ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 791.25 จุด เพิ่มขึ้น 17.45 จุด หรือ 2.26% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 794.27 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 771.48 จุด มูลค่าการซื้อขาย 21,053.98 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,311.97 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,177.57 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 134.40 ล้านบาท
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ซึ่งเป็นการรีบาวน์ทางเทคนิคจากที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวลดลง ประกอบกับข่าวที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุซ เตรียมประชุมหารือออกมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งมีผลทำให้ดัชนีล่วงหน้าตลาดหุ้นดาวโจนส์และแนสแดคปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับสาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค เนื่องจากปัจจัยการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้นจากพรรคเพื่อแผ่นดินและชาติไทยได้ประกาศที่จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน จึงทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจที่เข้ามาลงทุนมากขึ้น แต่ยังคงต้องติดตามในเรื่องคดียุบพรรคพลังประชาชนในข้อหาการเป็นนอมินีให้กับกลุ่มพรรคไทยรักไทยเดิมในวันนี้ (18 ม.ค.) ว่าศาลฎีกาจะมีการตัดสินอย่างไร
ทั้งนี้ หากศาลฯพิจารณาออกมาว่าพรรคพลังประชาชนไม่มีความผิดก็จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากปัจจัยการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น ในการดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป แต่ก็จะเป็นปัจจัยบวกในช่วงสั้นๆเพราะปัจจัยหลักนั้นยังคงต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ในทางตรงกันข้ามหากผลการตัดสินพรรคพลังประชาชนมีความผิดก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาและมีผลทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงได้
อย่างไรก็ตามแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากแรงเก็งกำไรการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและการที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะมีการประชุมในวันที่ 30 มกราคมนี้ในการลดอัตราดอกเบี้ยและการเมืองที่จะชัดเจนมากขึ้น โดยบริษัทแนะนักลงทุนให้ซื้อหุ้นที่มีการปรับตัวลดลงมามากในช่วงที่ผ่านมา เช่น PTT BAY PS KTB MINT ฯลฯ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 787 จุด แนวต้านที่ระดับ 805 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงจากการเข้ามาเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะในกลุ่มปตท. เนื่องจากก่อนหน้าที่ราคาได้ปรับลดลงมากจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศโดยเฉพาะปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ส่งสัญญาณที่ดีขึ้นเนื่องจากพรรครีพลับลิกัน และพรรคเดโมแครตของสหรัฐฯ ประกาศจะร่วมมือที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ทั้งนี้ ประเมินแนวรับที่ 775-780 จุด และแนวต้านที่ 800 จุด โดยยังต้องติดตามปัจจัยการเมืองภายในประเทศและปัจจัยภายนอกจากสหรัฐฯ
ลุ้นคดียุบ"พปช"วันนี้
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นในวันนี้คาดว่าจะยังเคลื่อนไหวอย่างผันผวน โดยระหว่างวันอาจมีการขายทำกำไรออกมาเพื่อรอความชัดเจนในคำตัดสินของศาลฎีกากรณีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมีนีพรรคไทยรักไทย โดยประเมินแนวรับที่ 780 จุด แนวต้านที่ 795-780 จุด
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า นักลงทุนรอการแถลงข่าวการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการซึ่งจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้าจึงทำให้มีแรงซื้อเข้ามาเก็งกำไร แต่ปัจจัยที่ยังถือว่าเป็นความเสี่ยงนักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้จะผันผวนมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนต้องรอการประกาศผลประกอบการของเมอร์ริลลินช์ ว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์มากน้อยเพียงใด โดยประเมินแนวรับที่ 776-780 จุด แนวต้านที่ 800 จุด แนะนำขายทำกำไรได้เมื่อดัชนีใกล้ 800 จุด
เพิ่มวงเงินประกันซื้อหุ้นQ2
นายจงรัก ระรวยทรง กรรมการผู้อำนวยสมาคมบริษัทหลักทรัพย์(บล.) กล่าวว่าการปรับอัตราอัตราวางหลักทรัพย์ค้ำประกันในการซื้อหลักทรัพย์จาก 10% เป็น 15% ว่า ที่ผ่านมาสมาคมบล.ได้มีการสำรวจความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวกับสมาชิก โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นอัตราการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยตอนนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนจะเสนอต่อให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์พิจารณาอนุมัติต่อไป
ทั้งนี้ คาดว่าการเพิ่มหลักประกันการซื้อหุ้นจะสามารถดำเนินการได้ในไตรมาส 2/51 เนื่องจากไม่ต้องการให้กระทบต่อนักลงทุนเพราะในช่วงที่ผ่านมาได้มีการแก้ไขกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์หลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์เพราะยังมีเวลาที่ให้นักลงทุนมีการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ขณะที่เรื่องการชำระราคาหุ้นจากเดิม T+3 เป็น T+2 น่าจะเป็นอีกทางที่ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนให้กับนักลงทุนได้
ตลาดหุ้นตปท.ยังไร้ทิศทาง
ทางด้านราคาหุ้นแถบเอเชียปิดวานนี้(17) โดยมีทิศทางไม่ชัดเจนมีทั้งบวกและลบ เมื่อมีพวกออกล่าหาของถูกหลังจากตลาดทรุดแรงในช่วงหลังๆ มานี้ ทว่านักลงทุนจำนวนมากก็ยังหวั่นผวากับสภาพเศรษฐกิจอันย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ของสหรัฐฯ
ตลาดวอลล์สตรีทเองเมื่อวันพุธ(16) มีความเคลื่อนไหววูบวาบมาก ในการซื้อขายระหว่างวัน ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์เหวี่ยงขึ้นแดนบวกและหล่นลงแดนลบกันในระดับ 100 จุด แต่ในตอนปิดได้ติดลบ 34.95 จุด หรือ 0.28% ขณะที่ดัชนีหุ้นสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ 500 หล่นลง 0.56% และ ดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดแนสแดค ต่ำลงมา 0.95%
ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ประกาศในวันพุธนั้น ไม่สู้มีอะไรน่าตื่นเต้นนัก โดยรายงานเบจบุ๊กของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นพอประมาณในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงตลอดเดือนธันวาคม ทว่าอยู่ในอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับการสำรวจคราวก่อนหน้า
ขณะที่ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคที่ประกาศโดยกระทรวงพาณิชย์ แม้จะแสดงว่าเดือนธันวาคมอยู่ที่ 0.3% อันสูงขึ้นกว่าคาดหมาย และทำให้ตลอดปีที่แล้วอยู่ในระดับ 4.1% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 17 ปีทีเดียว แต่นักวิเคราะห์มองว่า ยังอยู่ในระดับที่ไม่ถึงกับจะทำให้เฟดเปลี่ยนใจในเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย ในการประชุมเอฟโอเอ็มซีสิ้นเดือนนี้
ดังนั้น ตลาดหุ้นจึงเล่นกับรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2007 ที่บริษัทต่างๆ ทยอยประกาศออกมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปในทางแย่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อินเทล ที่ทั้งผลกำไรและทิศทางอนาคตต่างน่าปิดหวัง
กระนั้น นักลงทุนก็ยังหาข่าวที่จะใช้เป็นเหตุผลในการเข้าซื้อของถูกได้เหมือนกัน ดังเช่น เจพีมอร์แกน ที่แม้ผลกำไรย่ำแย่ลง แต่ก็ยังดูดีกว่าซิตี้กรุ๊ปซึ่งประกาศในวันอังคาร
ทางด้านตลาดแถบเอเชียวานนี้ ฮ่องกงเป็นตลาดสำคัญที่ขึ้นโด่งกว่าเพื่อน นั่นคือ 2.72% ขณะที่โตเกียวก็สามารถหลุดจากระดับต่ำสุดๆ ในรอบ 2 ปีมาปิดสูงขึ้น 2.07% เช่นเดียวกับสิงคโปร์ที่ไต่ขึ้น 2.66%
การขยับสูงขึ้นเหล่านี้ส่วนมากมาจากแรงออกล่าของถูก หลังจากหุ้นแถบเอเชียทรุดหนักในวันพุธ ตามหลังการหล่นฮวบของวอลล์สตรีทในวันอังคาร
อย่างไรก็ตาม ตลาดเอเชียเมื่อวานนี้ที่ปิดในแดนลบก็มีหลายแห่ง เช่น เซี่ยงไฮ้ ลบ 2.63%, ไทเป ลบ 0.95%, มะนิลา ลบ 3.1%