ชื่อบทความวันนี้อาจจะเข้าใจยากสักหน่อยหนึ่ง จึงต้องบอกขยายความว่าหมายถึงปฏิทินเวลาที่วิบากกรรมจะส่งผลให้เกิดขึ้นกับบรรดาผู้ประกอบกรรมทั้งหลายตามกฎแห่งกรรม
ในที่นี้จะหมายถึงวิบากกรรมทางการเมืองที่จะบังเกิดขึ้นแก่ประเทศ ประชาชน พรรคการเมืองและนักการเมือง ผู้ประกอบกรรมทั้งหลาย
ตามหลักกฎแห่งกรรมที่ว่าทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ไม่มีใครหลีกลี้หนีกฎแห่งกรรมนี้ไปได้ ขึ้นอยู่กับว่าวิบากกรรมนั้นจะเกิดขึ้นหรือกรรมจะสนองในวันเวลาใดและในลักษณะไหนเท่านั้น
วันนี้เป็นวันที่ 18 มกราคม 2551 เป็นวันที่พรรคพลังประชาชนและพรรคการเมืองขนาดกลาง ขนาดเล็กทั้งหมดประสบความสำเร็จในความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน
โดยปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียว ตามวิบากกรรมที่กระทำไว้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์นั้นแม้แรกเริ่มเดิมทีมีเค้าว่าจะได้เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล ออกสตาร์ททางการเมืองก่อนเพื่อน แต่ในที่สุดก็แพ้แก่พรรคพลังประชาชน
ซึ่งเป็นเรื่องที่หัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรคจักต้องทบทวนและปรับปรุงแก้ไข เพราะสถานการณ์ที่ปรากฏในขณะนี้นั้นเห็นชัดแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คู่มือในการต่อสู้ทางการเมืองกับพรรคพลังประชาชน
รัฐบาลใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้นเป็นรัฐบาลเชิงพาณิชย์โดยแท้ เพราะไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นใดนอกจากเรื่องเชิงพาณิชย์เท่านั้น
ตั้งแต่การขวนขวายหาสมาชิกเข้าพรรค การซื้อคนมาเป็นผู้สมัคร การซื้อเสียง การซื้อองค์กรที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การซื้อพรรคการเมืองอื่น และ ส.ส. พรรคการเมืองอื่น
เมื่อทั้งหมดทั้งปวงเป็นเรื่องเชิงพาณิชย์ที่มีการซื้อขายเป็นกระบวนการหลัก ก็ส่งผลให้การซื้อขายนั้นเป็นกระบวนการหลักต่อไป เพราะเมื่อซื้อกันแล้วก็ต้องขายกันต่อไป
ขายชาติ ขายประชาชน ขายผลประโยชน์ ขายตัว และอะไรต่อมิอะไรที่จะต่อเนื่องกันต่อไปตามหลักการเชิงพาณิชย์ ย่อมเกิดขึ้นได้ตามเหตุปัจจัยที่มาของมัน และแน่นอนว่าทุกต่อทุกทอดก็ย่อมมีผลกำไรบวกเข้าไปด้วย เรียกว่าถอนทั้งทุนทั้งกำไร
เหล่านี้จะเป็นวิบากกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้นต่อไป และเริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้วตั้งแต่ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี และใครจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหนบ้าง ใครจะเป็นตัวแทนใคร ใครจะต้องแบ่งให้ใครเท่าใด
ทำไปทำมาสภาพคณะรัฐมนตรีคาร์บิเนตในสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อาจจะเป็นเรื่องเล็กกระจ้อยร่อยกระจี้รี่ไปแล้วก็ได้
ในส่วนนี้และในช่วงเวลานี้ก็ต้องจับตาดูกันให้ดีว่านายสมัคร สุนทรเวช จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หรือว่านายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือนายบรรหาร ศิลปอาชา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีกันแน่
แต่ไม่ว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่มีทางที่จะมีความสุข มีความสบายเหมือนกับเราท่าน เพราะจะต้องแบกของหนักสารพัดสารพันจนไม่เป็นอันกินอันนอนและไม่เป็นผู้เป็นคน
คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีในยามนี้จึงไม่ใช่คนที่ใครจะพึงอิจฉา หากเป็นคนที่น่าเวทนาสงสารเสียด้วยซ้ำไป!
แต่คนเรากิเลสยังหนา ไม่เห็นสภาพที่ต้องแบกของหนัก กลับแย่งชิงกันเข้าไปแบกของหนัก แย่งชิงกันเข้าไปเถิด ไม่ช้าไม่นานดอกก็อาจถูกของหนักทับจนแบนติดดินก็ได้
เรื่องราวทั้งหลายที่กล่าวมานั้นเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันในวันที่ 18 มกราคม 2551 ก็ยังมีเรื่องอีกฟากหนึ่งซึ่งกำลังเกิดขึ้นเหมือนกัน และเรื่องทำนองนี้จะมีเกิดขึ้นเป็นลำดับ ๆ ไป จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นปฏิทินแห่งวิบากกรรมที่ได้ลงกำหนดการไว้อย่างชัดเจนแล้ว
ในวันนี้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งจะตัดสินคดีที่มีผู้ไปฟ้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ แล้วฟ้องว่าพรรคพลังประชาชนก็ดี นายสมัคร สุนทรเวช ก็ดีเป็นนอมินี ไม่มีสิทธิ์ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ขอให้ศาลเพิกถอนผู้สมัครทั้งหมด
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งรับพยานหลักฐานแล้วเห็นว่าคดีพอพิจารณาได้จึงให้งดสืบพยาน แล้วนัดตัดสินคดีวันนี้ ทำให้ทนายความบางฝ่ายเห็นว่าเป็นสัญญาณว่าศาลจะยกฟ้อง
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเป็นทนายความทำไมจึงกล้าไปคาดคะเนเดาใจศาลได้ถึงเพียงนี้! และก็ไม่รู้ว่าศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งท่านจะคิดอ่านอย่างไรที่มีทนายความมาพูดเช่นนี้ต่อสาธารณะ
เรื่องอย่างนี้พูดไม่ได้ แต่ที่พอพูดได้ก็คือมีโอกาสที่ศาลจะตัดสินยกฟ้องทั้งหมดอย่างหนึ่ง หรือตัดสินว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะอย่างหนึ่ง หรือตัดสินว่าเป็นนอมินีอีกอย่างหนึ่ง อยู่ในสามอย่างนี้แหละเพราะคำขอให้ศาลตัดสินมีอยู่เท่านี้
ถ้าศาลยกฟ้อง พรรคพลังประชาชนก็จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองก็เป็นเรื่องข้างหน้าที่สุดแท้แต่ชะตาฟ้าดินจะเป็นไปประการใด
แต่ถ้าศาลตัดสินว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะก็ต้องเลือกตั้งกันใหม่ทั้งหมดภายใน 60 วัน เว้นแต่จะมีเหตุอันเป็นอุปสรรค เช่น กกต. ท่านรู้สึกละอายใจแล้วเกิดลาออกก็จะต้องสรรหาคัดเลือก กกต. กันเสียก่อน และต้องใช้เวลาราวๆ 60 วันเหมือนกัน ในกรณีเช่นนี้การจับขั้วจับมือกันตั้งรัฐบาลก็จะเป็นอันสลายตัวไป
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และรัฐบาลของท่านก็จะต้องทำหน้าที่ต่อไป
หรือถ้าหากศาลตัดสินว่าเป็นนอมินีก็จะเป็นผลว่า ส.ส. ของพรรคพลังประชาชนทั้งหมดถูกเพิกถอน และต้องเลือกกันใหม่เฉพาะเขตเลือกตั้งที่ ส.ส. ของพรรคพลังประชาชนได้รับเลือกตั้ง โดยแข่งขันกันเฉพาะพรรคที่เคยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแล้ว
ยกเว้นก็แต่ ส.ส. แบบสัดส่วนที่จะต้องตัด ส.ส. ของพรรคพลังประชาชนออกไปพร้อมกับคะแนนที่ได้รับ แล้วเอาคะแนนที่เหลือไปเฉลี่ยแบ่งกันระหว่างพรรคที่เหลืออยู่ ในกรณีนี้ก็จะหวานหมูพรรคประชาธิปัตย์
ปฏิทินวิบากกรรมตรงนี้จะเป็นประการใด ในบ่ายหรือค่ำวันนี้ก็คงจะได้รู้กัน จึงต้องติดตามดูกันให้ดี
หลังจากนั้นในวันที่ 21 มกราคม 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งก็จะตัดสินคดีที่มีผู้ไปฟ้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะอีกคดีหนึ่ง ซึ่งปฏิทินวิบากกรรมหน้านี้ก็เป็นไปได้ว่าศาลอาจยกฟ้องหรือพิพากษาว่าเป็นโมฆะ ก็ต้องคอยดูกันต่อไป
หลังจากนั้นอีกในวันที่ 23 มกราคม 2551 ก็จะเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองเริ่มเปิดคดีพิจารณาคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและภริยา ซึ่งคงใช้เวลาไม่นานเท่าใดนัก
และในช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็ยังมีการพิจารณาของ กกต. เกี่ยวกับกรณียุบพรรคหลายพรรค ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเป็นไปในทางใดและเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เพราะในวันนี้ยากที่จะเดาใจ เพราะยากที่จะมั่นใจในการทำงานของ กกต. ว่าจะเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเสียแล้ว
ในส่วนของ กกต. เองก็คงมีปฏิทินวิบากกรรมเป็นของตนเองอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นเรื่องแปลกที่ กกต. ชุดนี้ไม่รู้ว่ามีความคิดอะไรมาจากไหน จึงถือเอาภารกิจของตนเองอยู่ที่การเลือกตั้งอย่างเดียว
ทั้ง ๆ ที่หน้าที่สำคัญคือการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐบาลที่ชอบธรรมตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย
การสักเอาแต่เลือกตั้งให้เสร็จ ๆ ไป ถ้าหากไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมแล้วก็คือการทำผิดอย่างร้ายแรง เช่น รู้ทั้งรู้ว่ามีการกระทำความผิด แล้วยังรับรองให้เป็น ส.ส. อย่างนี้ติดคุกแน่!
ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. แบบเขตเลือกตั้งหรือแบบสัดส่วน ก็ต้องจัดให้ได้มาโดยสุจริตและเที่ยงธรรมทั้งสิ้น
มันน่าแปลกตรงที่หลังเลือกตั้งราว 3 วันมีเรื่องร้องเรียนร่วมพันเรื่อง หลังจากนั้นราว 4 วันก็มีการยกคำร้องไปเกือบหมด แล้วรับรองผลให้กับผู้สมัครเป็นจำนวนมาก แล้วเกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง
เกิดปัญหาอย่างไร? ก็คือปัญหาตรงอำนาจหน้าที่ของ กกต. เพราะถ้าหากยังไม่รับรอง หากผลการสืบสวนสอบสวนปรากฏว่ามีหลักฐานพอเชื่อได้ก็สามารถแจกใบแดงใบเหลืองได้
แต่ถ้าหากตรงนี้มีช่องโหว่รอยรั่วขึ้น แล้วรับรองไปก่อนย่อมเป็นการเอื้อประโยชน์และเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของ กกต.
เพราะการที่จะไปขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนนั้น กระบวนการต่างกันเนื่องจากการพิสูจน์ในศาลจะต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ฟังได้ชัด ปราศจากข้อเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งไหนเลย กกต. จะมีปัญญาไปแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานขนาดนั้นได้
การรับรองก่อนแล้วสอยทีหลังจึงเป็นการเพิ่มภาระในการพิสูจน์ให้กับ กกต.และเป็นการเอื้อประโยชน์ ทำให้ผู้ที่ได้คะแนนเสียงมากโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรมผ่านการรับรองเข้าสู่สภาและยากที่ กกต. จะสอยในภายหลัง
หากคนพวกนี้มีมากเท่าใดก็จะเป็นทางให้ได้รัฐบาลที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรมเท่านั้น นี่จึงเป็นวิบากกรรมของ กกต.
ไม่เห็นหรือว่าในขณะนี้ กกต. ก็ถูกกล่าวหามากมายหลายคดีอยู่แล้ว คิดหรือว่าคดีที่กล่าวหาเหล่านั้นจะไม่มีมูลความผิดเอาเสียเลย และหากมีมูลความผิดแม้แต่คดีเดียวก็ติดคุกติดตะรางกันหัวโตแล้ว
และที่สงสัยหนักหนานั้นก็คือ กกต. ทั้งหมดล้วนเป็นนักกฎหมาย ไปยกข้ออ้างผูกขาดอำนาจในการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาไว้แต่หน่วยเดียวได้อย่างไร?
ใครจะฟ้องคดีได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความเป็นผู้เสียหายหรือไม่ โดยนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 ซึ่งใช้เป็นหลักทั่วไปด้วย กกต. เสียอีกที่ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แต่กฎหมายให้อำนาจพิเศษในลักษณะยกเว้นให้มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีเลือกตั้งได้ก็เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
การที่กฎหมายให้อำนาจพิเศษในลักษณะยกเว้นเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นการตัดสิทธิ์บรรดาผู้เสียหายทั้งหลายที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของ กกต. พรรคการเมืองหรือผู้สมัครอื่น
นักกฎหมายแต่ทำเป็นสำคัญผิดในการใช้กฎหมาย มันจึงมีกลิ่นไม่ดีด้วยประการฉะนี้!
ในที่นี้จะหมายถึงวิบากกรรมทางการเมืองที่จะบังเกิดขึ้นแก่ประเทศ ประชาชน พรรคการเมืองและนักการเมือง ผู้ประกอบกรรมทั้งหลาย
ตามหลักกฎแห่งกรรมที่ว่าทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ไม่มีใครหลีกลี้หนีกฎแห่งกรรมนี้ไปได้ ขึ้นอยู่กับว่าวิบากกรรมนั้นจะเกิดขึ้นหรือกรรมจะสนองในวันเวลาใดและในลักษณะไหนเท่านั้น
วันนี้เป็นวันที่ 18 มกราคม 2551 เป็นวันที่พรรคพลังประชาชนและพรรคการเมืองขนาดกลาง ขนาดเล็กทั้งหมดประสบความสำเร็จในความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน
โดยปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียว ตามวิบากกรรมที่กระทำไว้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์นั้นแม้แรกเริ่มเดิมทีมีเค้าว่าจะได้เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล ออกสตาร์ททางการเมืองก่อนเพื่อน แต่ในที่สุดก็แพ้แก่พรรคพลังประชาชน
ซึ่งเป็นเรื่องที่หัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรคจักต้องทบทวนและปรับปรุงแก้ไข เพราะสถานการณ์ที่ปรากฏในขณะนี้นั้นเห็นชัดแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คู่มือในการต่อสู้ทางการเมืองกับพรรคพลังประชาชน
รัฐบาลใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้นเป็นรัฐบาลเชิงพาณิชย์โดยแท้ เพราะไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นใดนอกจากเรื่องเชิงพาณิชย์เท่านั้น
ตั้งแต่การขวนขวายหาสมาชิกเข้าพรรค การซื้อคนมาเป็นผู้สมัคร การซื้อเสียง การซื้อองค์กรที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การซื้อพรรคการเมืองอื่น และ ส.ส. พรรคการเมืองอื่น
เมื่อทั้งหมดทั้งปวงเป็นเรื่องเชิงพาณิชย์ที่มีการซื้อขายเป็นกระบวนการหลัก ก็ส่งผลให้การซื้อขายนั้นเป็นกระบวนการหลักต่อไป เพราะเมื่อซื้อกันแล้วก็ต้องขายกันต่อไป
ขายชาติ ขายประชาชน ขายผลประโยชน์ ขายตัว และอะไรต่อมิอะไรที่จะต่อเนื่องกันต่อไปตามหลักการเชิงพาณิชย์ ย่อมเกิดขึ้นได้ตามเหตุปัจจัยที่มาของมัน และแน่นอนว่าทุกต่อทุกทอดก็ย่อมมีผลกำไรบวกเข้าไปด้วย เรียกว่าถอนทั้งทุนทั้งกำไร
เหล่านี้จะเป็นวิบากกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้นต่อไป และเริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้วตั้งแต่ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี และใครจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหนบ้าง ใครจะเป็นตัวแทนใคร ใครจะต้องแบ่งให้ใครเท่าใด
ทำไปทำมาสภาพคณะรัฐมนตรีคาร์บิเนตในสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อาจจะเป็นเรื่องเล็กกระจ้อยร่อยกระจี้รี่ไปแล้วก็ได้
ในส่วนนี้และในช่วงเวลานี้ก็ต้องจับตาดูกันให้ดีว่านายสมัคร สุนทรเวช จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หรือว่านายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือนายบรรหาร ศิลปอาชา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีกันแน่
แต่ไม่ว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่มีทางที่จะมีความสุข มีความสบายเหมือนกับเราท่าน เพราะจะต้องแบกของหนักสารพัดสารพันจนไม่เป็นอันกินอันนอนและไม่เป็นผู้เป็นคน
คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีในยามนี้จึงไม่ใช่คนที่ใครจะพึงอิจฉา หากเป็นคนที่น่าเวทนาสงสารเสียด้วยซ้ำไป!
แต่คนเรากิเลสยังหนา ไม่เห็นสภาพที่ต้องแบกของหนัก กลับแย่งชิงกันเข้าไปแบกของหนัก แย่งชิงกันเข้าไปเถิด ไม่ช้าไม่นานดอกก็อาจถูกของหนักทับจนแบนติดดินก็ได้
เรื่องราวทั้งหลายที่กล่าวมานั้นเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันในวันที่ 18 มกราคม 2551 ก็ยังมีเรื่องอีกฟากหนึ่งซึ่งกำลังเกิดขึ้นเหมือนกัน และเรื่องทำนองนี้จะมีเกิดขึ้นเป็นลำดับ ๆ ไป จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นปฏิทินแห่งวิบากกรรมที่ได้ลงกำหนดการไว้อย่างชัดเจนแล้ว
ในวันนี้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งจะตัดสินคดีที่มีผู้ไปฟ้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ แล้วฟ้องว่าพรรคพลังประชาชนก็ดี นายสมัคร สุนทรเวช ก็ดีเป็นนอมินี ไม่มีสิทธิ์ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ขอให้ศาลเพิกถอนผู้สมัครทั้งหมด
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งรับพยานหลักฐานแล้วเห็นว่าคดีพอพิจารณาได้จึงให้งดสืบพยาน แล้วนัดตัดสินคดีวันนี้ ทำให้ทนายความบางฝ่ายเห็นว่าเป็นสัญญาณว่าศาลจะยกฟ้อง
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเป็นทนายความทำไมจึงกล้าไปคาดคะเนเดาใจศาลได้ถึงเพียงนี้! และก็ไม่รู้ว่าศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งท่านจะคิดอ่านอย่างไรที่มีทนายความมาพูดเช่นนี้ต่อสาธารณะ
เรื่องอย่างนี้พูดไม่ได้ แต่ที่พอพูดได้ก็คือมีโอกาสที่ศาลจะตัดสินยกฟ้องทั้งหมดอย่างหนึ่ง หรือตัดสินว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะอย่างหนึ่ง หรือตัดสินว่าเป็นนอมินีอีกอย่างหนึ่ง อยู่ในสามอย่างนี้แหละเพราะคำขอให้ศาลตัดสินมีอยู่เท่านี้
ถ้าศาลยกฟ้อง พรรคพลังประชาชนก็จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองก็เป็นเรื่องข้างหน้าที่สุดแท้แต่ชะตาฟ้าดินจะเป็นไปประการใด
แต่ถ้าศาลตัดสินว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะก็ต้องเลือกตั้งกันใหม่ทั้งหมดภายใน 60 วัน เว้นแต่จะมีเหตุอันเป็นอุปสรรค เช่น กกต. ท่านรู้สึกละอายใจแล้วเกิดลาออกก็จะต้องสรรหาคัดเลือก กกต. กันเสียก่อน และต้องใช้เวลาราวๆ 60 วันเหมือนกัน ในกรณีเช่นนี้การจับขั้วจับมือกันตั้งรัฐบาลก็จะเป็นอันสลายตัวไป
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และรัฐบาลของท่านก็จะต้องทำหน้าที่ต่อไป
หรือถ้าหากศาลตัดสินว่าเป็นนอมินีก็จะเป็นผลว่า ส.ส. ของพรรคพลังประชาชนทั้งหมดถูกเพิกถอน และต้องเลือกกันใหม่เฉพาะเขตเลือกตั้งที่ ส.ส. ของพรรคพลังประชาชนได้รับเลือกตั้ง โดยแข่งขันกันเฉพาะพรรคที่เคยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแล้ว
ยกเว้นก็แต่ ส.ส. แบบสัดส่วนที่จะต้องตัด ส.ส. ของพรรคพลังประชาชนออกไปพร้อมกับคะแนนที่ได้รับ แล้วเอาคะแนนที่เหลือไปเฉลี่ยแบ่งกันระหว่างพรรคที่เหลืออยู่ ในกรณีนี้ก็จะหวานหมูพรรคประชาธิปัตย์
ปฏิทินวิบากกรรมตรงนี้จะเป็นประการใด ในบ่ายหรือค่ำวันนี้ก็คงจะได้รู้กัน จึงต้องติดตามดูกันให้ดี
หลังจากนั้นในวันที่ 21 มกราคม 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งก็จะตัดสินคดีที่มีผู้ไปฟ้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะอีกคดีหนึ่ง ซึ่งปฏิทินวิบากกรรมหน้านี้ก็เป็นไปได้ว่าศาลอาจยกฟ้องหรือพิพากษาว่าเป็นโมฆะ ก็ต้องคอยดูกันต่อไป
หลังจากนั้นอีกในวันที่ 23 มกราคม 2551 ก็จะเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองเริ่มเปิดคดีพิจารณาคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและภริยา ซึ่งคงใช้เวลาไม่นานเท่าใดนัก
และในช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็ยังมีการพิจารณาของ กกต. เกี่ยวกับกรณียุบพรรคหลายพรรค ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเป็นไปในทางใดและเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เพราะในวันนี้ยากที่จะเดาใจ เพราะยากที่จะมั่นใจในการทำงานของ กกต. ว่าจะเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเสียแล้ว
ในส่วนของ กกต. เองก็คงมีปฏิทินวิบากกรรมเป็นของตนเองอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นเรื่องแปลกที่ กกต. ชุดนี้ไม่รู้ว่ามีความคิดอะไรมาจากไหน จึงถือเอาภารกิจของตนเองอยู่ที่การเลือกตั้งอย่างเดียว
ทั้ง ๆ ที่หน้าที่สำคัญคือการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐบาลที่ชอบธรรมตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย
การสักเอาแต่เลือกตั้งให้เสร็จ ๆ ไป ถ้าหากไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมแล้วก็คือการทำผิดอย่างร้ายแรง เช่น รู้ทั้งรู้ว่ามีการกระทำความผิด แล้วยังรับรองให้เป็น ส.ส. อย่างนี้ติดคุกแน่!
ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. แบบเขตเลือกตั้งหรือแบบสัดส่วน ก็ต้องจัดให้ได้มาโดยสุจริตและเที่ยงธรรมทั้งสิ้น
มันน่าแปลกตรงที่หลังเลือกตั้งราว 3 วันมีเรื่องร้องเรียนร่วมพันเรื่อง หลังจากนั้นราว 4 วันก็มีการยกคำร้องไปเกือบหมด แล้วรับรองผลให้กับผู้สมัครเป็นจำนวนมาก แล้วเกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง
เกิดปัญหาอย่างไร? ก็คือปัญหาตรงอำนาจหน้าที่ของ กกต. เพราะถ้าหากยังไม่รับรอง หากผลการสืบสวนสอบสวนปรากฏว่ามีหลักฐานพอเชื่อได้ก็สามารถแจกใบแดงใบเหลืองได้
แต่ถ้าหากตรงนี้มีช่องโหว่รอยรั่วขึ้น แล้วรับรองไปก่อนย่อมเป็นการเอื้อประโยชน์และเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของ กกต.
เพราะการที่จะไปขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนนั้น กระบวนการต่างกันเนื่องจากการพิสูจน์ในศาลจะต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ฟังได้ชัด ปราศจากข้อเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งไหนเลย กกต. จะมีปัญญาไปแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานขนาดนั้นได้
การรับรองก่อนแล้วสอยทีหลังจึงเป็นการเพิ่มภาระในการพิสูจน์ให้กับ กกต.และเป็นการเอื้อประโยชน์ ทำให้ผู้ที่ได้คะแนนเสียงมากโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรมผ่านการรับรองเข้าสู่สภาและยากที่ กกต. จะสอยในภายหลัง
หากคนพวกนี้มีมากเท่าใดก็จะเป็นทางให้ได้รัฐบาลที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรมเท่านั้น นี่จึงเป็นวิบากกรรมของ กกต.
ไม่เห็นหรือว่าในขณะนี้ กกต. ก็ถูกกล่าวหามากมายหลายคดีอยู่แล้ว คิดหรือว่าคดีที่กล่าวหาเหล่านั้นจะไม่มีมูลความผิดเอาเสียเลย และหากมีมูลความผิดแม้แต่คดีเดียวก็ติดคุกติดตะรางกันหัวโตแล้ว
และที่สงสัยหนักหนานั้นก็คือ กกต. ทั้งหมดล้วนเป็นนักกฎหมาย ไปยกข้ออ้างผูกขาดอำนาจในการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาไว้แต่หน่วยเดียวได้อย่างไร?
ใครจะฟ้องคดีได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความเป็นผู้เสียหายหรือไม่ โดยนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 ซึ่งใช้เป็นหลักทั่วไปด้วย กกต. เสียอีกที่ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แต่กฎหมายให้อำนาจพิเศษในลักษณะยกเว้นให้มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีเลือกตั้งได้ก็เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
การที่กฎหมายให้อำนาจพิเศษในลักษณะยกเว้นเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นการตัดสิทธิ์บรรดาผู้เสียหายทั้งหลายที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของ กกต. พรรคการเมืองหรือผู้สมัครอื่น
นักกฎหมายแต่ทำเป็นสำคัญผิดในการใช้กฎหมาย มันจึงมีกลิ่นไม่ดีด้วยประการฉะนี้!