อย่าว่าแต่ผู้อ่านจะเซ็งเลยครับ พวกเราก็เซ็งกับการเมืองไทยโขอยู่ เพราะมันเหมือนกับที่สู้กันมาตั้งแต่ปลายปี 2548 ตลอดปี 2549 มาจนวันนี้รวม ๆ กันแล้วก็เกือบ 3 ปีกำลังจะมีอันมลายหายสูญ รู้อย่างนี้สู้นั่งเฉย ๆ ทำมาหากินตามสภาพไปวัน ๆ ไม่ดีกว่าหรือ
ในวงสนทนากาแฟในห้องทำงานคุณสนธิ ลิ้มทองกุล บนชั้น 2 บ้านพระอาทิตย์ทุกเช้ามีแต่เสียงบ่นบนสีหน้าที่ไม่สู้ปลอดโปร่งหัวใจนัก
ก็ได้แต่เจ้าของห้องที่ช่าง “นิ่ง” เหลือหลายปลอบใจด้วย “ธรรม” ไปตามสภาพ!
ท่านบอกว่าอย่าไปกังวลเลย ถ้าเรามั่นใจแล้วในสิ่งที่ร่วมกันกระทำมาว่าถูกต้อง ชอบธรรม ก็ต้องมั่นใจในธรรม มั่นใจในกฎแห่งกรรม ภาพที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงสัมบูรณ์ คนที่มีภาพให้เห็นว่ากำลังจะชนะวันนี้อาจเข้าใกล้ความพ่ายแพ้ และความดับสูญเข้าไปทุกขณะ ความสลับซับซ้อนของสถานการณ์ยังมีอีกมากกว่ามากนัก เกือบ 3 ปีที่ผ่านมากับการยืนหยัดร่วมกันส่งผลสะเทือนมหาศาล แม้มันจะไปปรากฏออกมาในผลการเลือกตั้งและผลการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม ทำจิตให้ว่าง ทำใจให้เบิกบาน อย่าได้มีวิจิกิจฉาในธรรม
ท่านบอกว่าขอให้นึกถึงคำเปรียบเปรยที่พวกเรายกขึ้นมา 2 ประโยค หนึ่งเป็นของผม (ที่จำคนอื่นมา) อีกหนึ่งเป็นของคุณไพศาล พืชมงคล
“สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร”
“อย่ากินยาแทนคนไข้”
ทบทวนกันให้ดีว่าที่เราลุกขึ้นสู้กับระบอบทักษิณนั้น ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล แต่เป็นเรื่องที่เราเห็นร่วมกันในพฤติกรรมอันน่าสงสัยหลายประการ ตั้งแต่กรณีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา กรณีโยกย้ายนายทหารเมื่อปี 2548 แล้วนัดตีกอล์ฟล่วงหน้าโดยไม่รอพระบรมราชโองการฯ กรณีคำพูดหลายประโยคต่างกรรมต่างวาระ รวม ๆ แล้วก็คือความเข้าใจและความตั้งใจในการให้ค่าให้ความหมายต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นี่ยังไม่นับพฤติกรรมเผด็จการในคราบประชาธิปไตย และการฉ้อราษฎร์บังหลวงยุคดิจิตอล
ซึ่งพวกเราเห็นว่านี่คือภยันตรายใหญ่หลวงที่อาจทำให้ประเทศนี้เปลี่ยนแปลงอย่างชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ในอนาคต 5 ปี 10 ปีข้างหน้า
พวกเรา - ภายใต้การนำของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล - ร่วมกันทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ และเป็นไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่เป็นระดับที่ยังไม่ถึงที่สุด นั่นคือก่อให้เกิดความรับรู้ร่วมกันอย่างกว้างขวางในสังคม ผ่านสื่อทางเลือกอย่าง ASTV และเครือข่าย
ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสะดุดหยุดลงหลังวันที่ 19 กันยายน 2549 !
แม้จะไม่เหมือนกันทีเดียว แต่ผลก็ใกล้เคียงกับความไม่สำเร็จของขบวนนักศึกษาประชาชนเมื่อครั้งวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และขบวนการประชาชนเมื่อครั้งเดือนพฤษภาคม 2535
ทั้ง 3 ขบวนการ 3 ยุคประสบความสำเร็จในการก่อกระแส ทำให้อำนาจรัฐเดิมหมดความชอบธรรม ไม่สามารถปกครองได้ต่อไป
แต่ ณ จุดสูงสุดของกระแส ทั้ง 3 ขบวนการ 3 ยุคไม่ได้เข้าไปใช้อำนาจรัฐเอง
เพราะพวกเราไม่ใช่องค์กรจัดตั้งทางการเมือง ไม่มีกองกำลังทางทหารหรือกึ่งทหาร เราเป็นเพียงแค่องค์กรจัดตั้งชั่วคราวที่เกิดจากการรวมตัวกันของผู้มีจิตสำนึกร่วมในภยันตรายเฉพาะหน้าของบ้านเมือง แทบไม่มีรูปแบบการจัดตั้ง หรือมีก็แต่หลวม ๆ
เราไม่มีเป้าหมายช่วงชิงอำนาจรัฐมาเพื่อบริหารจัดการเสียเอง
ที่สำคัญที่สุด เราพยายามหลีกเลี่ยงความรุนแรงในทุกรูปแบบอย่างเคร่งครัด!
เราได้แต่ตั้งความหวังไว้ที่คนวงในอำนาจรัฐด้วยกันเอง ที่อาจจะขาดความกล้าหาญในยุคที่อาธรรม์ครองเมือง ได้มีโอกาสยืนหยัดขึ้นมาเมื่อเห็นว่ามีประชาชนที่หูตาสว่างแล้วพร้อมสนับสนุนอยู่ เรายินดีที่จะเป็นบันไดให้ เพราะไม่ผิดบาปอะไรที่จะให้ความถูกต้องชอบธรรมเดินเหยียบเราขึ้นไปทำงานในด้านที่เราไม่สันทัดและไม่ประสงค์
น่าเสียดายที่คนวงในอำนาจรัฐด้วยกันเองที่ได้มาหลังวันที่ 19 กันยายน 2549 คุณภาพต่ำต้อยติดดิน
น่าเสียดายที่พวกเขาเหล่านี้ดูเบาต่อวิกฤตครั้งนี้
วิกฤตที่เป็นภยันตรายใหญ่หลวงที่อาจทำให้ประเทศนี้เปลี่ยนแปลงอย่างชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ในอนาคต 5 ปี 10 ปีข้างหน้า
แทนที่เมื่อเหยียบบันไดหยาดเหงื่อ และความพยายามของพวกเราขึ้นไปใช้อำนาจรัฐแล้ว จะสานต่องานด้านที่พวกเราไม่สันทัดและไม่ประสงค์ พวกเขากลับหยุด เรียกร้องความสมานฉันท์ ไม่ทำอะไร มีแต่เร่งรีบจัดการเลือกตั้ง
กีดกันและปฏิเสธบทบาทของพวกเรา
ร่ำ ๆ ว่าจะประณามด้วยซ้ำว่าพวกเราเป็นต้นเหตุแห่งวิกฤตของแผ่นดิน
เพิ่งจะมาเรียกร้องให้มาทำงานร่วมกันอีกก็เมื่อเห็นว่าจวนตัว อำนาจเก่าทำท่าจะกลับมาผ่านการเลือกตั้งที่ตัวเองเร่งแล้วเร่งอีก
พวกเราไม่ใช่เจ็บแล้วไม่จำ ไม่ใช่จวนตัว แต่ที่เข้าร่วมส่วนอีกในครั้งนี้ก็เพราะเห็นในภยันตรายใหญ่หลวงเช่นเดิม ภยันตรายที่ยิ่งเพิ่มระดับสูงขึ้นเพราะความอ่อนหัดไร้เดียงสาของกลุ่มคนที่เหยียบบันไดชีวิตพวกเราขึ้นไปทำเท่เสวยสุขอยู่ 1 ปี
น่าจะถึงเวลาคิดได้แล้วว่าพวกเราเองในฐานะชนชั้นถูกปกครองทั่วไป ใครจะไป ใครจะมา ก็ต้องปรับตัวให้ได้ไปตามสภาพ ถ้าไม่คิดและไม่พร้อมจะตั้งกองกำลังทางการเมืองขึ้นมาเอง ก็อย่าหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปตามปรารถนาทุกประการ
อย่าคาดหวัง อย่าเศร้าสร้อย อย่าคำนึงถึงผลลัพธ์ในบั้นปลาย
แต่จงภูมิใจ !
ในฐานะพสกนิกรของแผ่นดินที่ไม่เคยมีเหรียญตราติดหน้าอกเดินถือแก้วแชมเปญในงานราตรีสโมสร...
การที่พวกเรารวมพลังกันลุกขึ้นมาใส่เสื้อเหลืองประดับอักษร “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ร่วมกันถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระองค์ และร่วมกันชูธง “ถวายคืนพระราชอำนาจฯ” ในรอบ 2 ปีเศษมานี้
...สูงสุดที่สามัญชนนอกวงอำนาจรัฐจะทำได้แล้ว!
ถ้าประเทศจะต้องเปลี่ยนแปลงในอนาคตกาลข้างหน้า เพราะชนชั้นนำในบ้านนี้เมืองนี้ไร้สติปัญญา ไร้ความกล้าหาญ เกินกว่าจะดับไฟภยันตรายใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นได้ พวกเราแม้จะต้องรับผลกระทบ แต่ก็จะน้อยกว่าน้อยมากนักเมื่อเทียบกับคนที่เหยียบบันไดชีวิตพวกเราขึ้นไปทำเท่ และคนกลุ่มอื่นที่มียศถาบรรดาศักดิ์
ขนาดมีคนเขียนด่าว่าประธานองคมนตรี ในระดับที่บอกว่าแม้ตายแล้วก็ต้องเปิดโปงต่อไป ยังทำเท่อยู่เฉย ๆ กันได้ มีแต่ผมกับคุณแอ้ม-คุณแอนออกมาน้ำตาคลอหน้าจอ ASTV ที่ดีบ้างกระตุกบ้าง
แล้วพวกเราจะเดือดร้อนเศร้าสร้อยกันไปทำไม?
กินยาแทนยังไงคนไข้ก็ไม่หายป่วยหรอก พร้อมใจกันเลิกกินยาแทนคนไข้เสียทีดีไหม?
ในวงสนทนากาแฟในห้องทำงานคุณสนธิ ลิ้มทองกุล บนชั้น 2 บ้านพระอาทิตย์ทุกเช้ามีแต่เสียงบ่นบนสีหน้าที่ไม่สู้ปลอดโปร่งหัวใจนัก
ก็ได้แต่เจ้าของห้องที่ช่าง “นิ่ง” เหลือหลายปลอบใจด้วย “ธรรม” ไปตามสภาพ!
ท่านบอกว่าอย่าไปกังวลเลย ถ้าเรามั่นใจแล้วในสิ่งที่ร่วมกันกระทำมาว่าถูกต้อง ชอบธรรม ก็ต้องมั่นใจในธรรม มั่นใจในกฎแห่งกรรม ภาพที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงสัมบูรณ์ คนที่มีภาพให้เห็นว่ากำลังจะชนะวันนี้อาจเข้าใกล้ความพ่ายแพ้ และความดับสูญเข้าไปทุกขณะ ความสลับซับซ้อนของสถานการณ์ยังมีอีกมากกว่ามากนัก เกือบ 3 ปีที่ผ่านมากับการยืนหยัดร่วมกันส่งผลสะเทือนมหาศาล แม้มันจะไปปรากฏออกมาในผลการเลือกตั้งและผลการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม ทำจิตให้ว่าง ทำใจให้เบิกบาน อย่าได้มีวิจิกิจฉาในธรรม
ท่านบอกว่าขอให้นึกถึงคำเปรียบเปรยที่พวกเรายกขึ้นมา 2 ประโยค หนึ่งเป็นของผม (ที่จำคนอื่นมา) อีกหนึ่งเป็นของคุณไพศาล พืชมงคล
“สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร”
“อย่ากินยาแทนคนไข้”
ทบทวนกันให้ดีว่าที่เราลุกขึ้นสู้กับระบอบทักษิณนั้น ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล แต่เป็นเรื่องที่เราเห็นร่วมกันในพฤติกรรมอันน่าสงสัยหลายประการ ตั้งแต่กรณีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา กรณีโยกย้ายนายทหารเมื่อปี 2548 แล้วนัดตีกอล์ฟล่วงหน้าโดยไม่รอพระบรมราชโองการฯ กรณีคำพูดหลายประโยคต่างกรรมต่างวาระ รวม ๆ แล้วก็คือความเข้าใจและความตั้งใจในการให้ค่าให้ความหมายต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นี่ยังไม่นับพฤติกรรมเผด็จการในคราบประชาธิปไตย และการฉ้อราษฎร์บังหลวงยุคดิจิตอล
ซึ่งพวกเราเห็นว่านี่คือภยันตรายใหญ่หลวงที่อาจทำให้ประเทศนี้เปลี่ยนแปลงอย่างชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ในอนาคต 5 ปี 10 ปีข้างหน้า
พวกเรา - ภายใต้การนำของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล - ร่วมกันทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ และเป็นไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่เป็นระดับที่ยังไม่ถึงที่สุด นั่นคือก่อให้เกิดความรับรู้ร่วมกันอย่างกว้างขวางในสังคม ผ่านสื่อทางเลือกอย่าง ASTV และเครือข่าย
ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสะดุดหยุดลงหลังวันที่ 19 กันยายน 2549 !
แม้จะไม่เหมือนกันทีเดียว แต่ผลก็ใกล้เคียงกับความไม่สำเร็จของขบวนนักศึกษาประชาชนเมื่อครั้งวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และขบวนการประชาชนเมื่อครั้งเดือนพฤษภาคม 2535
ทั้ง 3 ขบวนการ 3 ยุคประสบความสำเร็จในการก่อกระแส ทำให้อำนาจรัฐเดิมหมดความชอบธรรม ไม่สามารถปกครองได้ต่อไป
แต่ ณ จุดสูงสุดของกระแส ทั้ง 3 ขบวนการ 3 ยุคไม่ได้เข้าไปใช้อำนาจรัฐเอง
เพราะพวกเราไม่ใช่องค์กรจัดตั้งทางการเมือง ไม่มีกองกำลังทางทหารหรือกึ่งทหาร เราเป็นเพียงแค่องค์กรจัดตั้งชั่วคราวที่เกิดจากการรวมตัวกันของผู้มีจิตสำนึกร่วมในภยันตรายเฉพาะหน้าของบ้านเมือง แทบไม่มีรูปแบบการจัดตั้ง หรือมีก็แต่หลวม ๆ
เราไม่มีเป้าหมายช่วงชิงอำนาจรัฐมาเพื่อบริหารจัดการเสียเอง
ที่สำคัญที่สุด เราพยายามหลีกเลี่ยงความรุนแรงในทุกรูปแบบอย่างเคร่งครัด!
เราได้แต่ตั้งความหวังไว้ที่คนวงในอำนาจรัฐด้วยกันเอง ที่อาจจะขาดความกล้าหาญในยุคที่อาธรรม์ครองเมือง ได้มีโอกาสยืนหยัดขึ้นมาเมื่อเห็นว่ามีประชาชนที่หูตาสว่างแล้วพร้อมสนับสนุนอยู่ เรายินดีที่จะเป็นบันไดให้ เพราะไม่ผิดบาปอะไรที่จะให้ความถูกต้องชอบธรรมเดินเหยียบเราขึ้นไปทำงานในด้านที่เราไม่สันทัดและไม่ประสงค์
น่าเสียดายที่คนวงในอำนาจรัฐด้วยกันเองที่ได้มาหลังวันที่ 19 กันยายน 2549 คุณภาพต่ำต้อยติดดิน
น่าเสียดายที่พวกเขาเหล่านี้ดูเบาต่อวิกฤตครั้งนี้
วิกฤตที่เป็นภยันตรายใหญ่หลวงที่อาจทำให้ประเทศนี้เปลี่ยนแปลงอย่างชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ในอนาคต 5 ปี 10 ปีข้างหน้า
แทนที่เมื่อเหยียบบันไดหยาดเหงื่อ และความพยายามของพวกเราขึ้นไปใช้อำนาจรัฐแล้ว จะสานต่องานด้านที่พวกเราไม่สันทัดและไม่ประสงค์ พวกเขากลับหยุด เรียกร้องความสมานฉันท์ ไม่ทำอะไร มีแต่เร่งรีบจัดการเลือกตั้ง
กีดกันและปฏิเสธบทบาทของพวกเรา
ร่ำ ๆ ว่าจะประณามด้วยซ้ำว่าพวกเราเป็นต้นเหตุแห่งวิกฤตของแผ่นดิน
เพิ่งจะมาเรียกร้องให้มาทำงานร่วมกันอีกก็เมื่อเห็นว่าจวนตัว อำนาจเก่าทำท่าจะกลับมาผ่านการเลือกตั้งที่ตัวเองเร่งแล้วเร่งอีก
พวกเราไม่ใช่เจ็บแล้วไม่จำ ไม่ใช่จวนตัว แต่ที่เข้าร่วมส่วนอีกในครั้งนี้ก็เพราะเห็นในภยันตรายใหญ่หลวงเช่นเดิม ภยันตรายที่ยิ่งเพิ่มระดับสูงขึ้นเพราะความอ่อนหัดไร้เดียงสาของกลุ่มคนที่เหยียบบันไดชีวิตพวกเราขึ้นไปทำเท่เสวยสุขอยู่ 1 ปี
น่าจะถึงเวลาคิดได้แล้วว่าพวกเราเองในฐานะชนชั้นถูกปกครองทั่วไป ใครจะไป ใครจะมา ก็ต้องปรับตัวให้ได้ไปตามสภาพ ถ้าไม่คิดและไม่พร้อมจะตั้งกองกำลังทางการเมืองขึ้นมาเอง ก็อย่าหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปตามปรารถนาทุกประการ
อย่าคาดหวัง อย่าเศร้าสร้อย อย่าคำนึงถึงผลลัพธ์ในบั้นปลาย
แต่จงภูมิใจ !
ในฐานะพสกนิกรของแผ่นดินที่ไม่เคยมีเหรียญตราติดหน้าอกเดินถือแก้วแชมเปญในงานราตรีสโมสร...
การที่พวกเรารวมพลังกันลุกขึ้นมาใส่เสื้อเหลืองประดับอักษร “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ร่วมกันถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระองค์ และร่วมกันชูธง “ถวายคืนพระราชอำนาจฯ” ในรอบ 2 ปีเศษมานี้
...สูงสุดที่สามัญชนนอกวงอำนาจรัฐจะทำได้แล้ว!
ถ้าประเทศจะต้องเปลี่ยนแปลงในอนาคตกาลข้างหน้า เพราะชนชั้นนำในบ้านนี้เมืองนี้ไร้สติปัญญา ไร้ความกล้าหาญ เกินกว่าจะดับไฟภยันตรายใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นได้ พวกเราแม้จะต้องรับผลกระทบ แต่ก็จะน้อยกว่าน้อยมากนักเมื่อเทียบกับคนที่เหยียบบันไดชีวิตพวกเราขึ้นไปทำเท่ และคนกลุ่มอื่นที่มียศถาบรรดาศักดิ์
ขนาดมีคนเขียนด่าว่าประธานองคมนตรี ในระดับที่บอกว่าแม้ตายแล้วก็ต้องเปิดโปงต่อไป ยังทำเท่อยู่เฉย ๆ กันได้ มีแต่ผมกับคุณแอ้ม-คุณแอนออกมาน้ำตาคลอหน้าจอ ASTV ที่ดีบ้างกระตุกบ้าง
แล้วพวกเราจะเดือดร้อนเศร้าสร้อยกันไปทำไม?
กินยาแทนยังไงคนไข้ก็ไม่หายป่วยหรอก พร้อมใจกันเลิกกินยาแทนคนไข้เสียทีดีไหม?