ครั้งที่บุญพาวาสนาส่งก้าวขึ้นเป็น ผบ.ทบ. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เคยกล่าวไว้ว่า อย่าคิดว่าคนที่เป็น ผบ.ทบ.ต้อง perfect ต้องดีเลิศ แต่จริงๆ แล้วผมก็เป็นแค่มนุษย์เดินดินธรรมดาๆ ผมเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ที่ไม่ใช่จะทำอะไรถูกใจคนทั้งหมด ก็ต้องมีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ มีคนติติง นินทา เพราะขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังถูกนินทา ถูกใส่ร้าย
ซึ่งฟังแล้วดูเหมือนจะเป็นทัศนะที่เท่และดูดี แต่ก็กลายเป็นคำถามว่า ถ้าเราวิพากษ์วิจารณ์พล.อ.สุรยุทธ์ ท่านจะรับฟัง ทบทวนตัวเอง หรือ ทำเฉยเสีย แล้วคิดว่า การวิพากษ์วิจารณ์ของเราเป็นการนินทา ใส่ร้ายแบบที่ท่านบอกว่าแม้กระทั่งพระพุทธเจ้ากับยังโดน
เพราะตลอด 1 ปีกว่าของรัฐบาลสุรยุทธ์ ถูกตั้งคำถามถึงความสามารถในการเข้ามาบริหารประเทศ สื่อมวลชนส่วนใหญ่หรือสาธารณชนทั่วไปล้วนแล้วแต่มองว่า รัฐบาลชุดนี้เกียร์ว่าง ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่า หลังรัฐประหาร แม้จะมีรัฐบาลและมีคนชื่อสุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศ แต่สภาพโดยทั่วไปก็ไม่แตกต่างกับการไม่มีรัฐบาลตรงไหน
ผลงานของพล.อ.สุรยุทธ์ที่แจ่มชัดนอกเหนือจากตัดริบบิ้น เปิดป้าย ก็คือ การนำเด็กเดินป่า ทำตัวเป็นคนรักป่า หวงแหนธรรมชาติ ที่ดูจะเอาจริงและจริงจังมากกว่าการปฏิบัติภารกิจอื่นๆ แต่การนำเด็กเดินป่าควรจะเป็นหน้าที่ของใครระหว่างเจ้าหน้าที่อุทยานกับนายกรัฐมนตรี ให้คุณปัญญา นิรันดร์กุล ไปถามเด็กๆในรายการเกมทศกัณฐ์เด็ก ก็คงรู้คำตอบ
ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นนายกรัฐมนตรีคนรักป่ายังคงติดร่างแหถูกกล่าวหาว่า บ้านบนเขายายเที่ยงของท่านนั้น บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ เพราะจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีการเข้าไปดำเนินการตรวจสอบจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเลย
แม้ว่าจะมีคนนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ไม่ได้พิจารณาว่า ข้อกล่าวหาในการบุกรุกป่าสงวนหรือการได้ที่ดินมาโดยมิชอบหรือไม่ เพราะคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่พิจารณาเฉพาะการกระทำผิดต่อตำแหน่ง ทุจริตต่อหน้าที่เท่านั้น
ป.ป.ช.บอกเพียงว่า ไม่รับพิจารณากรณีบ้านเขายายเที่ยง เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า นายกรัฐมนตรีได้พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตั้งแต่ปี 2546 ส่วน พ.อ.หญิงท่านผู้หญิงจิตรวดี จุลานนท์ ได้พ้นจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเกิน 2 ปี ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะดำเนินการตามหลักเกณฑ์กฎหมายของ ป.ป.ช.
เมื่อพิจารณาแล้วเห็นได้ว่า ป.ป.ช.ไม่ได้บอกว่า พล.อ.สุรยุทธ์ พ้นผิดต่อข้อกล่าวหาในการบุกรุกป่าสงวนหรือการได้ที่ดินมาโดยมิชอบ ดังนั้นก็ต้องตั้งคำถามว่า ระหว่างภาพที่ท่านแสดงออกว่าเป็นคนรักป่ากับความเป็นจริงแตกต่างกันอย่างไร
นอกจากนั้นยังมีเรื่องของ "ภาพ" และ "ความจริง"เกี่ยวกับตัวพล.อ.สุรยุทธ์ที่เขาร่ำลือกัน เช่น เรื่อง รสนิยมรถหรู เพียงแต่ผมไม่อยากก้าวล่วงไปสู่รสนิยมส่วนตัวของท่านเท่านั้นเอง
กว่า 1 ปีที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์ นอกจากไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถและประสิทธิภาพในการบริหารประเทศในภาวะที่วิกฤตที่สุดในโลก ซ้ำร้ายกว่านั้น ก็คือ พล.อ.สุรยุทธ์ ปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า ท่านไม่จำเป็นต้องทำตามเงื่อนไข 4 ข้อ ที่คณะรัฐประหารใช้เป็นเงื่อนไขในการโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ
ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมพล.อ.สุรยุทธ์ถึงไม่เข้าใจว่า ตัวท่านเองไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในภาวะปกติ ซ้ำร้ายกว่านั้นยังทำตัวเหมือนกับเข้าใจว่า ตัวเองนั้นเป็นนายกฯ ที่มาจากวิถีทางประชาธิปไตย จึงไม่รู้ว่า ในภาวะเช่นนี้ท่านจึงต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์
สิ่งที่เราสัมผัสได้คือ พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาส่งสัญญาณให้คนทั้งประเทศเห็นว่า ตัวเขาต้องการความประนีประนอมกับทุกกลุ่มอำนาจในสังคม ทั้งที่แท้จริงแล้ว เราไม่ได้ต้องการให้พล.อ.สุรยุทธ์ “แตกหัก” กับใคร เพียงแต่ให้แตกหักกับความไม่ถูกต้อง และนำคนที่ถูกกล่าวหามาพิสูจน์ความจริงตามกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทำไมประชาชนส่วนหนึ่งที่ชิงชังระบอบทักษิณจึงมีความเคลือบแคลงต่อตัวพล.อ.สุรยุทธ์ ยังไม่รวมถึงครั้งหนึ่งที่พล.อ.สุรยุทธ์ออกมายอมรับว่า มีการต่อสายพูดคุยกับทักษิณ แน่นอนว่า ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกัน
แต่กรรมก็เป็นเครื่องชี้เจตนา ครั้งหนึ่งที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ประกาศว่า จะเดินทางไปเยือนเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อร่วมกล่าวปาฐกถาให้กับสภาเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (PBEC) ในการสัมมนาสุดยอดผู้นำธุรกิจของตะวันออกกลางและเอเชีย แต่แล้วก็ต้องประกาศงดอย่างกะทันหัน เมื่อมีข่าวออกมาว่า ทักษิณ อยู่ที่นั่น
เมื่อไม่นานมานี้ พล.อ.สุรยุทธ์ได้ประกาศเดินทางไปเยือนบาห์เรนในการอำลาตำแหน่งและกระชับสัมพันธไมตรี ไม่มีใครยืนยันว่า พล.อ.สุรยุทธ์จะพบกับทักษิณหรือไม่ เพราะมีข่าวว่า ทักษิณอยู่ที่นั่นระหว่างที่พล.อ.สุรยุทธ์ไปเยือนอย่างบังเอิญ
นอกจากนั้น หลังจากที่คุณหญิงพจมาน ภรรยาของทักษิณบินกลับประเทศ จู่ๆ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเรียก คตส.ไปพบเพื่อรายงานความคืบหน้าการทำงานของ คตส.เกี่ยวกับเรื่องคดีของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ามีคดีใดเกี่ยวข้องบ้าง ซึ่งมีคดีที่ดินรัชดาฯ และการโอนหุ้นในบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ ของนายบรรณพจน์ ดามาพงษ์
และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมรัฐบาลจึงมาขอในช่วงที่คุณหญิงพจมาน กลับมาต่อสู้คดี นายสัก กล่าวว่า อาจต้องการความชัดเจนว่า ขณะนี้มีคดีอะไรบ้าง เมื่อถามว่า มองว่ารัฐบาลจะนำข้อมูลไปทำอะไร นายสัก ตอบว่า ไม่ทราบว่าจะนำไปใช้ประโยชน์อะไร
ดูเหมือนว่า พล.อ.สุรยุทธ์ก็รู้ว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่งาม เหมือนที่นักข่าวตั้งคำถาม เพราะพล.อ.สุรยุทธ์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า คุณสักและคุณวิโรจน์ เลาหพันธุ์ คตส.ทั้งสองคนมาหารือกับ พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และพบกับตัวเขาโดย "บังเอิญ"---- "เลยได้คุยถึงเรื่องที่ คตส.ได้ดำเนินการเรื่องต่างๆไป"
ความแตกต่างอยู่ที่ว่า พล.อ.สุรยุทธ์บอกว่า คตส.ทั้งสองได้มาหารือกับพล.อ.พงษ์เทพ แต่คุณสักบอกว่า ได้รับการประสานจาก พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้เข้าพบ
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่อง "บังเอิญ" หรือ "ตั้งใจ"กันแน่ แต่ก็เป็นเรื่องประหลาดสำหรับคนที่เคยไม่สนใจเรื่องนี้เลย และประกาศว่า ไม่สนเงื่อนไข 4 ข้อของ คมช.
แล้วเราจะประเมิน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้เคยผ่านตำแหน่งสำคัญๆ ตั้งแต่ ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด องคมนตรี ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีว่าอย่างไรดี
ผมลองถามใครหลายๆคนเกี่ยวกับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ทั้งจากคนที่ชอบทักษิณและไม่ชอบทักษิณ ทุกคนแทนคำตอบด้วยกิริยา ส่ายหน้า
ถ้าเราไปถามพัดลม ว่า พล.อ.สุรยุทธ์เป็นอย่างไร ก็ให้หาคำตอบจากเพลงของ "น้องพลับ"ได้เลย
ซึ่งฟังแล้วดูเหมือนจะเป็นทัศนะที่เท่และดูดี แต่ก็กลายเป็นคำถามว่า ถ้าเราวิพากษ์วิจารณ์พล.อ.สุรยุทธ์ ท่านจะรับฟัง ทบทวนตัวเอง หรือ ทำเฉยเสีย แล้วคิดว่า การวิพากษ์วิจารณ์ของเราเป็นการนินทา ใส่ร้ายแบบที่ท่านบอกว่าแม้กระทั่งพระพุทธเจ้ากับยังโดน
เพราะตลอด 1 ปีกว่าของรัฐบาลสุรยุทธ์ ถูกตั้งคำถามถึงความสามารถในการเข้ามาบริหารประเทศ สื่อมวลชนส่วนใหญ่หรือสาธารณชนทั่วไปล้วนแล้วแต่มองว่า รัฐบาลชุดนี้เกียร์ว่าง ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่า หลังรัฐประหาร แม้จะมีรัฐบาลและมีคนชื่อสุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศ แต่สภาพโดยทั่วไปก็ไม่แตกต่างกับการไม่มีรัฐบาลตรงไหน
ผลงานของพล.อ.สุรยุทธ์ที่แจ่มชัดนอกเหนือจากตัดริบบิ้น เปิดป้าย ก็คือ การนำเด็กเดินป่า ทำตัวเป็นคนรักป่า หวงแหนธรรมชาติ ที่ดูจะเอาจริงและจริงจังมากกว่าการปฏิบัติภารกิจอื่นๆ แต่การนำเด็กเดินป่าควรจะเป็นหน้าที่ของใครระหว่างเจ้าหน้าที่อุทยานกับนายกรัฐมนตรี ให้คุณปัญญา นิรันดร์กุล ไปถามเด็กๆในรายการเกมทศกัณฐ์เด็ก ก็คงรู้คำตอบ
ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นนายกรัฐมนตรีคนรักป่ายังคงติดร่างแหถูกกล่าวหาว่า บ้านบนเขายายเที่ยงของท่านนั้น บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ เพราะจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีการเข้าไปดำเนินการตรวจสอบจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเลย
แม้ว่าจะมีคนนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ไม่ได้พิจารณาว่า ข้อกล่าวหาในการบุกรุกป่าสงวนหรือการได้ที่ดินมาโดยมิชอบหรือไม่ เพราะคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่พิจารณาเฉพาะการกระทำผิดต่อตำแหน่ง ทุจริตต่อหน้าที่เท่านั้น
ป.ป.ช.บอกเพียงว่า ไม่รับพิจารณากรณีบ้านเขายายเที่ยง เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า นายกรัฐมนตรีได้พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตั้งแต่ปี 2546 ส่วน พ.อ.หญิงท่านผู้หญิงจิตรวดี จุลานนท์ ได้พ้นจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเกิน 2 ปี ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะดำเนินการตามหลักเกณฑ์กฎหมายของ ป.ป.ช.
เมื่อพิจารณาแล้วเห็นได้ว่า ป.ป.ช.ไม่ได้บอกว่า พล.อ.สุรยุทธ์ พ้นผิดต่อข้อกล่าวหาในการบุกรุกป่าสงวนหรือการได้ที่ดินมาโดยมิชอบ ดังนั้นก็ต้องตั้งคำถามว่า ระหว่างภาพที่ท่านแสดงออกว่าเป็นคนรักป่ากับความเป็นจริงแตกต่างกันอย่างไร
นอกจากนั้นยังมีเรื่องของ "ภาพ" และ "ความจริง"เกี่ยวกับตัวพล.อ.สุรยุทธ์ที่เขาร่ำลือกัน เช่น เรื่อง รสนิยมรถหรู เพียงแต่ผมไม่อยากก้าวล่วงไปสู่รสนิยมส่วนตัวของท่านเท่านั้นเอง
กว่า 1 ปีที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์ นอกจากไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถและประสิทธิภาพในการบริหารประเทศในภาวะที่วิกฤตที่สุดในโลก ซ้ำร้ายกว่านั้น ก็คือ พล.อ.สุรยุทธ์ ปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า ท่านไม่จำเป็นต้องทำตามเงื่อนไข 4 ข้อ ที่คณะรัฐประหารใช้เป็นเงื่อนไขในการโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ
ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมพล.อ.สุรยุทธ์ถึงไม่เข้าใจว่า ตัวท่านเองไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในภาวะปกติ ซ้ำร้ายกว่านั้นยังทำตัวเหมือนกับเข้าใจว่า ตัวเองนั้นเป็นนายกฯ ที่มาจากวิถีทางประชาธิปไตย จึงไม่รู้ว่า ในภาวะเช่นนี้ท่านจึงต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์
สิ่งที่เราสัมผัสได้คือ พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาส่งสัญญาณให้คนทั้งประเทศเห็นว่า ตัวเขาต้องการความประนีประนอมกับทุกกลุ่มอำนาจในสังคม ทั้งที่แท้จริงแล้ว เราไม่ได้ต้องการให้พล.อ.สุรยุทธ์ “แตกหัก” กับใคร เพียงแต่ให้แตกหักกับความไม่ถูกต้อง และนำคนที่ถูกกล่าวหามาพิสูจน์ความจริงตามกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทำไมประชาชนส่วนหนึ่งที่ชิงชังระบอบทักษิณจึงมีความเคลือบแคลงต่อตัวพล.อ.สุรยุทธ์ ยังไม่รวมถึงครั้งหนึ่งที่พล.อ.สุรยุทธ์ออกมายอมรับว่า มีการต่อสายพูดคุยกับทักษิณ แน่นอนว่า ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกัน
แต่กรรมก็เป็นเครื่องชี้เจตนา ครั้งหนึ่งที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ประกาศว่า จะเดินทางไปเยือนเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อร่วมกล่าวปาฐกถาให้กับสภาเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (PBEC) ในการสัมมนาสุดยอดผู้นำธุรกิจของตะวันออกกลางและเอเชีย แต่แล้วก็ต้องประกาศงดอย่างกะทันหัน เมื่อมีข่าวออกมาว่า ทักษิณ อยู่ที่นั่น
เมื่อไม่นานมานี้ พล.อ.สุรยุทธ์ได้ประกาศเดินทางไปเยือนบาห์เรนในการอำลาตำแหน่งและกระชับสัมพันธไมตรี ไม่มีใครยืนยันว่า พล.อ.สุรยุทธ์จะพบกับทักษิณหรือไม่ เพราะมีข่าวว่า ทักษิณอยู่ที่นั่นระหว่างที่พล.อ.สุรยุทธ์ไปเยือนอย่างบังเอิญ
นอกจากนั้น หลังจากที่คุณหญิงพจมาน ภรรยาของทักษิณบินกลับประเทศ จู่ๆ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเรียก คตส.ไปพบเพื่อรายงานความคืบหน้าการทำงานของ คตส.เกี่ยวกับเรื่องคดีของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ามีคดีใดเกี่ยวข้องบ้าง ซึ่งมีคดีที่ดินรัชดาฯ และการโอนหุ้นในบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ ของนายบรรณพจน์ ดามาพงษ์
และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมรัฐบาลจึงมาขอในช่วงที่คุณหญิงพจมาน กลับมาต่อสู้คดี นายสัก กล่าวว่า อาจต้องการความชัดเจนว่า ขณะนี้มีคดีอะไรบ้าง เมื่อถามว่า มองว่ารัฐบาลจะนำข้อมูลไปทำอะไร นายสัก ตอบว่า ไม่ทราบว่าจะนำไปใช้ประโยชน์อะไร
ดูเหมือนว่า พล.อ.สุรยุทธ์ก็รู้ว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่งาม เหมือนที่นักข่าวตั้งคำถาม เพราะพล.อ.สุรยุทธ์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า คุณสักและคุณวิโรจน์ เลาหพันธุ์ คตส.ทั้งสองคนมาหารือกับ พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และพบกับตัวเขาโดย "บังเอิญ"---- "เลยได้คุยถึงเรื่องที่ คตส.ได้ดำเนินการเรื่องต่างๆไป"
ความแตกต่างอยู่ที่ว่า พล.อ.สุรยุทธ์บอกว่า คตส.ทั้งสองได้มาหารือกับพล.อ.พงษ์เทพ แต่คุณสักบอกว่า ได้รับการประสานจาก พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้เข้าพบ
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่อง "บังเอิญ" หรือ "ตั้งใจ"กันแน่ แต่ก็เป็นเรื่องประหลาดสำหรับคนที่เคยไม่สนใจเรื่องนี้เลย และประกาศว่า ไม่สนเงื่อนไข 4 ข้อของ คมช.
แล้วเราจะประเมิน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้เคยผ่านตำแหน่งสำคัญๆ ตั้งแต่ ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด องคมนตรี ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีว่าอย่างไรดี
ผมลองถามใครหลายๆคนเกี่ยวกับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ทั้งจากคนที่ชอบทักษิณและไม่ชอบทักษิณ ทุกคนแทนคำตอบด้วยกิริยา ส่ายหน้า
ถ้าเราไปถามพัดลม ว่า พล.อ.สุรยุทธ์เป็นอย่างไร ก็ให้หาคำตอบจากเพลงของ "น้องพลับ"ได้เลย