xs
xsm
sm
md
lg

น้ำมันพุ่ง!เผาจริงส่อมาเร็ว ขิงแก่โยนงานรัฐบาลใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เร็วกว่าคาด วันนี้เบนซินขึ้นราคาอีก 40 สต. ส่งผล 33.69 บาทต่อลิตร ทะลุ 3 ลิตร 100 ง่ายดาย "ปิยสวัสดิ์" พูดไม่อายคนไทยต้องทำใจ ชี้โอกาสโอเปคผลิตเพิ่มไม่มี ขณะที่ทีมเศรษฐกิจขิงแก่ไม่อยากทำงาน เรียกประชุมสุดท้าย ฟุ้งพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแกร่ง ประเมินจีดีพีโตร้อยละ 5 โยนภาระให้รัฐบาลชุดใหม่ สอนการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการขนาดใหญ่ "ฉลองภพ" ฝากแบงก์ชาติไปถกเงินเฟ้อกับรัฐบาลใหม่ ระบุรัฐ-เอกชนต้องเร่งปรับตัวจากปัจจัยเสี่ยงภายนอก

วานนี้ (7 ม.ค.) ผู้ค้าน้ำมันทุกรายได้แจ้งปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์อีก 40 สตางค์ต่อลิตรมีผลตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.เป็นต้นไปส่งผลให้ราคาเบนซิน 95 ปรับเป็น 33.69 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 ปรับเป็น 32.39 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 เป็น 29.69 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 เป็น 28.89 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลผู้ค้าน้ำมันขอรอราคาโลกปิดตลาดวันที่ 7 ม.ค.ก่อนจึงค่อยตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนแปลงราคาหรือไม่ในวันนี้ (8 ธ.ค.) อีกครั้ง ส่งผลให้ดีเซลยังคงอยู่ระดับ 29.74 บาทต่อลิตร เนื่องจากค่าการตลาดเฉลี่ยของผู้ค้าทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ระดับเพียง 82 สตางค์ต่อลิตรเท่านั้น ซึ่งราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าวถือเป็นการทำลายสถิติใหม่หรือนิวไฮ จากเดิมที่เบนซินทำไว้เมื่อวันที่ 3ม.ค. ที่ระดับ 33.29 บาทต่อลิตร

นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ค่าการตลาดน้ำมันเบนซินเหลือเพียง 20 สตางค์/ลิตรและดีเซล 40 สตางค์/ลิตร ทำให้บริษัทน้ำมันต้องปรับขึ้นราคาขายปลีกเบนซินอีก 40 สตางค์/ลิตรมีผลวันนี้ (8 ม.ค.) ส่วนดีเซลรอดูปิดตลาดสิงคโปร์ในวันที่ 7 ม.ค. ก่อน หากราคาปรับลดลงมากก็ไม่ต้องปรับขึ้นราคาขายปลีก นับจากต้นปี2551 ผู้ค้าน้ำมันได้แบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งความจริงค่าการตลาดที่เหมาะสมของเบนซินอยู่ที่ลิตรละ 1.50 บาทและดีเซล 1.20 บาท/ลิตรในช่วงก.พ.-มี.ค. บางจากจะมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นเพื่อรองรับหน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (PQI)ที่จะแล้วเสร็จในเดือนต.ค.นี้ ส่งผลให้ปีนี้กำลังการกลั่นบางจากฯใกล้เคียงกับปีที่แล้ว คือ 6.5-6.6 หมื่นบาร์เรล/วัน และมีการส่งออกน้ำมันเตาไปจีนเพิ่มขึ้นเป็น 2 หมื่นบาร์เรล/วัน จากปีที่แล้วส่งออกวันละ 1.5-2 หมื่นบาร์เรล/วัน

โดยไตรมาสแรกปีนี้จะกลั่นน้ำมันได้เฉลี่ย 5 หมื่นบาร์เรล/วัน เพราะมีการหยุดซ่อมบำรุง หลังจากนั้น ในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3/2551 โรงกลั่นบางจากจะกลั่นน้ำมันได้ 7-7.5 หมื่นบาร์เรล/วันและไตรมาส 4 เพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนบาร์เรล/วัน ขณะที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA)จะเพิ่มขึ้นอีก 20-25%จากปีที่แล้วมีEBITDA 4,000 ล้านบาท

บางจากขายอี 20 วันละ 100 ลิตร/ปั๊ม

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ราคาน้ำมันดิบดูไบน่าจะอยู่ที่ 90 เหรียญกว่าดอลลาร์/บาร์เรล ทำให้ราคาน้ำมันทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยประเมินว่าราคาน้ำมันเบนซินปีนี้เฉลี่ยที่ 32-34 บาท/ลิตร และดีเซล 29-32 บาท/ลิตร ซึ่งหากมีการลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันคงช่วยให้ราคาลงไม่มากนัก จึงเห็นว่าไม่ควรยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อนำเงินไปใช้สร้างรถไฟฟ้าดีกว่า

จากการเปิดจำหน่ายอี 20 มาตั้งแต่ต้นปีนี้ พบว่ามียอดจำหน่ายเพียง 100 ลิตร/วัน/ปั๊ม ซึ่งเป็นอัตราการจำหน่ายที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากปริมาณรถยนต์ที่เติมอี 20ได้ยังมีไม่มาก อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกปีนี้ บางจากตั้งเป้าหมายจำหน่ายอี 20 ให้ได้ 20 สถานีจากปัจจุบันที่เปิดจำหน่ายแล้ว 5 สถานีในเขตกรุงเทพฯ หากพบว่ามีความต้องการใช้อี 20 มากขึ้นก็พร้อมขยายสาขาให้บริการเพิ่มเติม

ส่วนอี 85 ขณะนี้บริษัทได้มีการทดสอบการใช้ พบว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด จึงอยากให้รัฐมีมาตรการจูงใจการใช้อี 85 โดยลดภาษีรถยนต์ที่ใช้อี 85 อีก 5% ทำให้ราคารถต่ำลงและราคาอี 85 ก็จะถูกกว่าน้ำมันเบนซิน95 ค่อนข้างมาก แถมยังช่วยแก้ปัญหาเอทานอลล้นตลาดด้วย

ปัจจุบันบางจากมีการสต็อกเอทานอลไว้3-4 ล้านลิตร หรือประมาณ 30วัน เกินกว่าข้อกำหนดของกฎหมาย โดยตนเห็นว่ารัฐบาลใหม่ควรกำหนดเป้าหมายการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนเพื่อประหยัดการนำเข้าน้ำมันได้เท่าไรในอนาคต เพื่อให้บริษัทน้ำมันและบริษัทรถยนต์เดินหน้าไปตามนั้น

ม.ค.ไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีก LPG

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ได้มีการปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่นก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) เท่ากับต้นทุนการผลิตโรงแยกก๊าซฯ 95%บวกราคาส่งออกก๊าซLPG 5%ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้เดือนม.ค.นี้ไม่มีการปรับขึ้นราคาขายปลีกLPG เพราะได้รับปัจจัยบวกจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้คำนวณต้นทุนการผลิตโรงแยกฯลดลงและค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ขณะที่ราคาLLPGในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นเพียง 2 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ 872 เหรียญสหรัฐ/ตัน

อย่างไรก็ตาม เดือนก.พ.คงต้องมาพิจารณาอีกทีว่าจะมีการปรับขึ้นราคาขายก๊าซLPG หรือไม่ หากราคาตลาดโลกอ่อนตัวลงก็คงไม่ต้องมีการปรับขึ้น ส่วนปัญหาการก๊าซเอ็นจีวีขาดนั้น เชื่อว่าจะคลี่คลายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 เนื่องจากปตท.ได้มีการเพิ่มรถบรรทุกก๊าซฯมากขึ้น และปตท.เร่งขยายสถานีบริการ NGV เพิ่มขึ้น

“ปิยสวัสดิ์” เตือนคนไทยทำใจ

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า สภาพตลาดน้ำมันในปัจจุบัน พบว่ากำลังการผลิตจากประเทศในกลุ่มโอเปคและนอกโอเปคจะเพิ่มขึ้นไม่มากพอที่จะตอบสนองความต้องการ ซึ่งจุดยืนของโอเปกในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีความชัดเจนมากว่าต้องการให้ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ระดับ 90-100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้นในการประชุมโอเปกครั้งต่อไปคงไม่เพิ่มกำลังการผลิต และถ้าราคาน้ำมันอ่อนตัวลงไป เชื่อว่าโอเปกอาจจะลดกำลังการผลิตลง เพื่อพยุงราคา

ดังนั้นราคาน้ำมันในปีนี้ยังอยู่ในระดับสูงต่อไปแน่นอนและ มีโอกาสที่พุ่งสูงขึ้นไป ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวยิ่งทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นเมื่อเทียบเป็นเงินดอลลาร์ ดังนั้นประชาชนควรหันมาใช้พลังงานทางเลือกที่รัฐส่งเสริมอยู่ทั้งแก๊สโซฮอล์ อี 10 แก๊สโซฮอล์ อี 20 และไบโอดีเซล(บี 5) ทำให้ประหยัดค่าน้ำมันได้พอสมควร โดยน้ำมันอี 10 มีการใช้อยู่ 7.4 ล้านลิตร/วัน หากรถทุกคันใช้น่าจะอยู่ 15 ล้านลิตร/วัน บ่งชี้ให้เห็นว่ายังมีรถยนต์อยู่กลุ่มหนึ่งไม่ยอมช่วยเหลือตัวเองในการประหยัดค่าน้ำมันลิตรละ 4 บาท และไบโอดีเซลถูกกว่าน้ำมันดีเซล 1 บาท/ลิตร

จากมาตรการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลของรัฐ ทำให้ปี 2550 ไทยลดการนำเข้าน้ำมันได้ถึง 4,700 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 14,000 ล้านบาท โดยปลายปี 2551 คาดว่าการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์อี10 จะเพิ่มถึง 11.0 ล้านลิตรต่อวัน ส่วนการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์อี20 จะเพิ่มเป็น 200,000 ลิตรต่อวันในช่วงปลายปี 2551 ทำให้มีความต้องการเอทานอลวันละ 1.14 ล้านลิตร จากปีที่แล้วมีการใช้เอทานอลเพียง 7.4 แสนลิตร/วัน

ทั้งนี้ การใช้แก๊สโซฮอล์ได้เพิ่มขึ้นจาก 3.5 ล้านลิตร/วันในปี 2549 เป็น 7.4 ล้านลิตร/วัน ในขณะเดียวกันการใช้เบนซิน 95 ลดลงจาก 4.0 ล้านลิตร/วันในปี 2549 เหลือ 2.2 ล้านลิตร/วัน ซึ่งการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ พบว่ามีมากกว่า 82%ของสถานีบริการที่จำหน่ายน้ำมันเบนซิน โดยขณะนี้บริษัทน้ำมันทั้งหลายกำลังเร่งกันล้างถังในสถานีบริการที่ยังไม่มีการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์เพื่อเพิ่มยอดขายแก๊สโซฮอล์จึงคาดว่าการใช้แก๊สโซฮอล์จะเพิ่มเป็น 8ล้านลิตรต่อวันในช่วงปลายเดือนมกราคม 2551 นี้

ด้านการส่งเสริมไบโอดีเซลนั้นได้เพิ่มส่วนต่างราคาขายปลีกเป็น 1 บาท/ลิตร และเร่งรัดให้มีการผลิตไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ได้มาตรฐานำทำให้มีการใช้ไบโอดีเซลบี 5 เพิ่มขึ้นจาก 1.18 แสนลิตร/วันในปี 2549 เป็น 4.3 ล้านลิตร/วันในปลาย 2550 และการจำหน่ายบี 2 เพิ่มขึ้นเป็น 17.9 ล้านลิตร/วันในเดือนพฤศจิกายน 2550 และคาดว่าอยู่ในระดับ 24 ล้านลิตร/วันในเดือนธันวาคม ทำให้มีความต้องการไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ บี 100 เพิ่มขึ้นจาก 6 พันลิตร/วันในปี2549 เป็นประมาณ 5 แสนลิตร/วันในเดือนธันวาคม 2550 และเมื่อบี 2 มีผลบังคับใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 แล้วความต้องการบี 100 เชิงพาณิชย์จะเพิ่มเป็น 1.21 ล้านลิตร/วัน

ดังนั้น ในอีก 4 ปีข้างหน้า คงจะแทบไม่มีการใช้น้ำมันเบนซินอีกต่อไป โดยความต้องการใช้อี 20 จะเพิ่มเป็น 2 ล้านลิตร/ ทำให้ความต้องการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3 ล้านลิตร/วัน ส่วนบี 5 น่าจะบังคับใช้ได้ในปี 2554 เนื่องจากมีกำลังการผลิตบี 100 เพียงพอความต้องการใช้

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า ตนไม่ขอออกความเห็นเกี่ยวกับอัตราค่าเช่าท่อก๊าซฯของปตท.ว่าถูกหรือแพงเกินไป เนื่องจากเป็นอำนาจการตัดสินใจของกระทรวงการคลัง แต่ครม.ได้มีมติกำหนดกรอบเอาไว้ว่า การกำหนดค่าท่อก๊าซฯจะต้องให้ความเป็นธรรมแก่คลัง ผู้ถือหุ้นปตท. บมจ.ปตท. และผู้ใช้ก๊าซฯ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการตีความที่แตกต่างกันของนักกฎหมาย

ทีม ศก.ขิงแก่เร่งโยนงานรัฐบาลใหม่

วานนี้ (7 ม.ค.) นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.อุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม โดยมีรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ตัวแทนภาคเอกชน และนักวิชาการร่วมประชุม ถือเป็นการประชุมนัดสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้

นายฉลองภพ สุงสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุมได้ประเมินตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ในปี 2550 ที่พบว่ายังมีการขยายตัวมาตั้งแต่ไตรมาสแรก ร้อยละ 4.3 มาเป็นร้อยละ 4.9 ในไตรมาส 3 และเชื่อว่าไตรมาส 4 จะขยายตัวไม่เกินที่ร้อยละ 5 ขณะเดียวกันอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของปี 2551 จะอยู่ที่ประมาณการร้อยละ 5 อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจของประเทศมีปัญหาจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ภาวะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นซึ่งถือเป็นภาพรวมที่กระทบกับประเทศโดยตรง

“ฝากให้รัฐบาลชุดใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และช่วยดูแลภาคการส่งออก ขณะเดียวกันนโยบายด้านการเงินการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็จะต้องเตรียมความพร้อมรับมือ กับปัญหาร่วมกับรัฐบาลชุดใหม่ด้วย นอกจากนั้นกระทรวงการคลังเอง ก็ยังจะต้องเตรียมแผนการลงทุนที่จะต้องไม่กระทบกับเสถียรภาพกับนโยบายการคลังด้วย”รมว.คลัง กล่าว

แหล่งข่าวจากที่ประชุมฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้ประเมินอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยประเมินว่า อยู่ในภาพรวมที่ดี แต่ปัจจัยเสี่ยงของเงินเฟ้อ เสถียรภาพการเมือง ราคาน้ำมัน ปัญหาเงินดอลล่าร์ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2551 รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเข้ามากระตุ้นภาคการลงทุนเอกชนโดยเฉพาะการส่งออก แม้ในไตรมาส 4 ของปี 2550 จะโตที่ร้อยละ 3.1 แต่มองในภาพรวมยังไม่ดีนัก ขณะที่รัฐบาลใหม่จะต้องกระตุ้นการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐไปด้วย

ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ประเมินว่า แม้อัตราการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นทำให้มีผลกระทบกับเศรษฐกิจโลก แต่หากประเทศไทยไม่ปรับตัวก็จะสร้างความลำบาก เนื่องจากประเทศสหรัฐฯ หรือญี่ปุ่น แม้จะได้รับผลกระทบแต่เขามีกำลังซื้อในประเทศที่เข้มแข็ง ดังนั้นที่ประชุมได้เห็นพ้องว่า หากสภาพเศรษฐกิจของไทยจะดีไปได้ก็จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมาเราแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าที่ไม่ยั่งยืน ขาดการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อไม่ปรับตัวก็คงจะต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด

ขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประมาณการว่า ปี 2551 ตัวเลขเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.5-4.6 ขณะที่ สศค. ประมาณการว่า จะอยู่ที่ร้อยละ 4.5-5.5

“คุณฉลองภพ ได้ระบุในที่ประชุมว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งแรก เขาไม่เคยเห็นว่า ทุกหน่วยงานที่ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจในปี 2550-2551 ออกมามองโลกในแง่ร้ายทั้งสิ้น ประมาณการเป็นแง่ร้ายจนเป็นแฟชั่น แต่เศรษฐกิจโดยรวมกลับไม่ได้เลวร้าย เพราะอัตราการเติบโตได้ขยายตัวขึ้นติดต่อกันทั้ง 4 ไตรมาส ดังนั้นเขาจึงเห็นว่า ควรจะมองภาพรวมเศรษฐกิจในเง่ดี จะเห็นได้จากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ รายงานว่า ยังมีปัจจัยบวกโดยเฉพาะการลงทุนจากต่างชาติในปี 2550 ที่บีโอไอ อนุมัติไปแล้วกว่า 6 แสนล้านบาท เนื่องจากต่างชาติยังเห็นว่า ไทยและเอเชียยังเป็นฐานที่น่าลงทุน รวมทั้งพื้นฐานของประเทศก็ยังดีอยู่”

แหล่งข่าวระบุว่า นายฉลองภพได้ฝากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หารือกับรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ของธนาคารแห่งประเทศไทย ต้นเดือนหน้า เพราะการดูอัตราเงินเฟ้อ สืบเนื่องมาจากธปท. ได้มี พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ ที่ผ่านมาจากสภานิติบัญญัติ (สนช.) มาแล้ว กรณีนี้นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการธปท. ยอมรับว่า ตามพ.ร.บ.ใหม่ การกำหนดนโยบายของ ธปท.จะไม่เป็นอิสระกับนโยบายเศรษฐกิจมหาภาพของรัฐบาล จึงจะต้องไปหารือให้เกิดความสอดคล้องกัน เพื่อให้เกิดความเหมาะสม และความจำเป็นด้วย ดังนั้น ธปท. ก็จะต้องไปดูว่า จะกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อกันอย่างไรตามกฎหมายใหม่

ขณะที่สภาพัฒน์รายงานว่า อัตราเศรษฐกิจภาคการเกษตรจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่สินค้าเกษตรมีความต้องการจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการใช้พืชในการผลิตพลังงานทดแทน การผลิตไอโอดีเซล ทำให้สินค้าการเกษตรได้อานิสงค์ในส่วนนี้ รวมทั้งการส่งเสริมผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน (อีโกคาร์) ก็จะได้รับการส่งเสริมเพิมขึ้นในปี 2551 และภาคการส่งออก ที่พบว่าสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของการส่งออกจะต้องเร่งกระจายสินค้าออกไป นอกจากนี้ยังพบปัจจัยบวก โดยเฉพาะอัตราการว่างงานของปี 2550 ที่ถือเป็นประวัติการณ์ ที่พบอัตราผู้ว่างงานลดลงเหลือร้อยละ 1.2 ขณะที่นักวิชาการยังเห็นพ้องกันว่า ปัจจัยเสี่ยงยังอยู่ที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศสหรัฐฯ ที่จะมีผลกระทบมากกว่า ร้อยละ 60โดยเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยทั้งปีอีกถึง 3 ครั้งมากกว่าร้อยละ 0.25

“ขณะที่คุณโฆสิต สรุปว่า ภาพรวมเศรษฐกิจอยู่ในอัตราที่น่าพอใจ โดยจะทำการสรุปประเด็นเพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่จะประชุมในวันที่ 17 ม.ค.นี้ เพื่อส่งต่อให้รัฐบาลชุดหน้าต่อไป

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในที่ประชุมฯ นายโฆสิตในฐานะประธานฯ ได้ขอให้ภาคเอกชนช่วยกันสรุปสภาพเศรษฐกิจของปีที่ผ่านมาและทิศทางข้างหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปี 2551 จะอยู่ที่ 4-5% โดยมองว่าจะดีกว่าปี 2550 เนื่องจากในปี 2551 จะเริ่มมีการซื้อที่ดิน และสร้างโรงงานในอุตสาหกรรมที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2550 จำนวน 600,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันในปี 2551 จะเกิดการลงทุนของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น เนื่องจากในปี 2550 การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพียง 2% เมื่อเทียบจากในปี 2549 ขยายตัวเกือบ 10% ขณะที่ภาครัฐบาลได้สร้างความมั่นใจว่าจะมีการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 2551 อย่างเต็มที่

ส่วนปัจจัยลบในปี 2551 มีความเป็นห่วงปัญหาการถดถอยของเศรษฐกิจโลก จนถึงปัญหาการปล่อยสินเชื่อด้อยคุณภาพในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (ซับไพรม์) ของประเทศสหรัฐฯ ที่ไม่รู้ว่าจะขยายวงกว้างไปเท่าใด ขณะที่ภายในประเทศไทยทางผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับราคาสินค้าว่าจะเพิ่มขึ้นขนาดไหน อีกทั้งมีปัญหาราคาน้ำมัน ซึ่งนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน ชี้แจงว่าเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับสภาพและไม่สามารถทำอะไรได้มาก โดยขณะนี้ได้ใช้หนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหมดแล้ว ดังนั้น ช่วงต่อไปคงขึ้นกับการตัดสินใจของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะพยุงราคาน้ำมัน โดยใช้วิธีลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือไม่

"สุรยุทธ์"โวไม่ห่วงเงินทุนเคลื่อนย้าย

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การดูแลในเรื่องของเงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาหลังจากนี้คงไม่มีปัญหา เพราะรัฐบาลนี้ได้วางรากฐานที่มั่นคงเอาไว้แล้ว สิ่งที่ต้องทำเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่คือการใช้จ่ายภายในประเทศ ซึ่งต้องเร่งให้มีการใช้จ่าย งบประมาณของภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น เพื่อเป็นเงินหมุนเวียน ในระบบเศรษฐกิจ ส่วนการที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันจนเป็นเหตุให้ประชาชนมีการรัดเข็มขัดในการใช้จ่าย

"รัฐบาลหลังจากนี้จึงต้องเร่งสร้างความเข้าใจ หรือหาพลังงานทดแทนเพื่อกระตุ้นประชาชนหันกลับมาใช้จ่ายให้มากขึ้น แต่จะต้องเป็นการใช้จ่ายอย่างพอเพียงด้วย"พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น