องค์กรผู้บริโภคจี้คลังทำหน้าที่จัดทำบัญชีแบ่งแยกทรัพย์สินที่เป็นสมบัติของแผ่นดินและแยกอำนาจและสิทธิที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจาก ปตท.ให้ชัด รื้อระบบคิดค่าเช่าท่อฯ ใหม่ทั้งหมด บี้โอนคืนท่อก๊าซฯ "ไทย-มาเลย์" ให้รัฐ ดันคลังนำเรื่องสู่ศาลในรายการที่มีความแย้งเพื่อชี้ขาด ติงอุ้ม ปตท.คิดค่าเช่าท่อฯ จิ๊บๆ เพียง 400 กม.ไม่สมเหตุผล ด้านกระทรวงการคลังยืดเวลา ปตท.แจงรายละเอียดรายได้จากท่อก๊าซอีก 2 สัปดาห์ หลังยื่นแสดงรายได้ตั้งแต่ปี 44 มาเพียง 3.6 พันล้าน ระบุต้องแสดงที่มาชัดเจนและชี้แจงต่อสาธารณะชนได้
นางสาวรสนา โตสิตระกูล กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการติดตามการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของ ปตท. ตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวแทนสหพันธ์ฯและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้เข้าพบนายฉลองภพ สุสังกาญจน์ รมว.คลัง เพื่อเสนอข้อคิดเห็นต่อการจัดการทรัพย์สินฯ ตามคำสั่งศาล ซึ่งทางกระทรวงการคลัง เป็นผู้ทำหน้าที่แทนรัฐ โดยทางสหพันธ์ฯ มีข้อเสนอต่อคลังใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ
1.สหพันธ์ฯ และมูลนิธิฯ ได้จัดทำบัญชีรายการทรัพย์สินที่น่าจะเข้าข่ายเป็นของรัฐพร้อมกับอธิบายเหตุผล เสนอให้กระทรวงการคลัง พิจารณา ซึ่งประเด็นรายการทรัพย์สินฯ ที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินฯ ตามคำสั่งศาลฯ มีบางส่วนที่ผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องเห็นร่วมกัน แต่มีบางรายการที่เห็นแย้งกันอยู่
“สหพันธ์ฯ เรียกร้องให้คลังทำหน้าที่ ทำบัญชีขึ้นมาพิจารณาควบคู่ไปกับรายการที่ทางปตท.จัดทำขึ้นมา ไม่ใช่ปล่อยให้ ปตท.คิดเอาตามใจชอบ ส่วนไหนที่เห็นตรงกันก็ไม่มีปัญหา แต่ส่วนไหนที่มีข้อโต้แย้ง ได้เสนอให้คลังนำเรื่องสู่ศาลฯ เป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ยืนยันว่าจะติดตามเรื่องนี้จนกว่าจะหาข้อยุติที่เป็นที่ชัดเจนว่าผลประโยชน์ตกอยู่กับประเทศชาติและประชาชน”
นางสาวรสนา กล่าวต่อว่า การคำนวณของกรมธนารักษ์ ที่ตัดสินว่าระบบท่อที่ ปตท.ต้องจ่ายค่าเช่ามีเพียงประมาณ 400 กม.เท่านั้น ไม่น่าจะสมเหตุสมผล ประเด็นใหญ่ที่ทางสหพันธ์ฯ และมูลนิธิฯ มีความเห็นแย้ง เช่น ท่อส่งก๊าซฯ ทางทะเล ที่ทาง รมว.กระทรวงพลังงาน มีความเห็นว่า ไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่ทางสหพันธ์ฯ เห็นว่า เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
2.โครงการท่อก๊าซฯ ไทย – มาเลย์ ซึ่งทางสหพันธ์ฯ และมูลนิธิฯ มีความเห็นว่า ท่อก๊าซฯ เส้นนี้ต้องเป็นสมบัติของชาติ และ 3.การคำนวณอัตราค่าผ่านท่อฯ ปัจจุบัน ปตท. ไม่ใช้มูลค่าทางบัญชีในการคำนวณ แต่ใช้มูลค่า Replacement Value หรือ ROE แทน ซึ่งเท่ากับต้นทุนในการสร้างท่อใหม่ทดแทนท่อเก่า เวลานี้ ปตท. คิด ROE 18% ซึ่งมาจากดอกเบี้ยเงินกู้ 12% และประกันกำไรให้ผู้ถือหุ้น 6% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ได้ลดต่ำลงเหลือเพียงประมาณ 8% การใช้ฐานคิดดังกล่าวทำให้มูลค่าการลงทุนสูง ค่าผ่านท่อมีอัตราสูง สร้างกำไรงามให้ บมจ. ปตท. ขณะที่ผู้บริโภคต้องรับภาระอย่างไม่เป็นธรรม คลังควรต้องเข้าไปรื้อระบบการคิดค่าผ่านท่อฯเสียใหม่
นางสาวรสนา กล่าวว่า ท่อเส้นที่ 3 และ 4 ในอนาคต อำนาจผูกขาดในการใช้ท่อฯ ไม่น่าจะอยู่ที่ปตท.เพียงเจ้าเดียวอีกต่อไป รัฐมีอำนาจและสิทธิในการบริหารจัดการสิทธิส่วนนี้ในทางที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศโดยรวม ซึ่งรวมถึงสิทธิในการได้ค่าผ่านท่อ ในกรณีที่รัฐเห็นควรให้รัฐ/รัฐวิสาหกิจ เป็นผู้ดำเนินการกิจการนี้เอง เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ทางสหพันธ์ฯ และมูลนิธิฯ จะเสนอต่อรัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารประเทศด้วย
สำหรับรายละเอียดรายการทรัพย์สินฯ และการแยกอำนาจสิทธิฯ ที่สหพันธ์ฯ และมูลนิธิผู้บริโภค เสนอต่อรมว.กระทรวงการคลังนั้น ในส่วนที่ ครม.ได้มีมติให้ปตท.คืนแก่รัฐ รวมมูลค่า 15,139 ล้านบาท คือ 1) ที่ดินที่ได้มาโดยการใช้อำนาจเวนคืน จำนวน 32 ไร่ ในเขต จ.สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง มูลค่าทางบัญชี ณ 30 ก.ย. 44 เท่ากับ 7 ล้านบาท
2) สิทธิเหนือที่ดินของเอกชนซึ่ง ปตท. ได้มาโดยใช้อำนาจมหาชน มูลค่าทางบัญชี ณ 30 ก.ย. 44 เท่ากับ 1,124 ล้านบาท และ 3) ระบบท่อส่งก๊าซ/น้ำมันส่วนที่อยู่ในที่ดินของเอกชนตาม (2) ข้างต้น ซึ่งรวมถึง โครงการท่อบางปะกง –วังน้อย โครงการท่อชายแดนไทย-พม่า – ราชบุรี และโครงการท่อราชบุรี – วังน้อย มูลค่าทางบัญชีของทั้ง 3 โครงการ ณ วันที่ 30 ก.ย. 44 เท่ากับ 14,008 ล้านบาท นั้น ทางสหพันธ์ฯ และมูลนิธิฯ เห็นพ้องกับมติ ครม. ข้างต้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนท่อก๊าซฯ ท่อน้ำมันนั้น สหพันธ์ฯ และมูลนิธิฯ เห็นว่าควรจะรวมถึงระบบท่อทั้งหมดทั้งท่อส่ง และท่อจำหน่ายที่ได้มาโดยใช้พื้นที่สาธารณะ และ/หรือใช้อำนาจมหาชน โดยมีส่วนประกอบ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 คือ
1.ระบบท่อส่งก๊าซฯบนบกความยาว 1,384 กม. สอง ระบบท่อส่งก๊าซฯในทะเลความยาว 1,369 กม. และ สาม ระบบท่อจัดจำหน่ายความยาว 770 กม. รวมทั้งสิ้น 3,523 กม. โดยท่อก๊าซฯและระบบท่อจัดจำหน่ายดังกล่าวมีมูลค่าทางบัญชี ณ 31 ธ.ค. 44 รวม 47,593 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีระบบท่อก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นตามแผนแม่บทฉบับที่ 3 ซึ่งบางส่วนอยู่ระหว่างการก่อสร้างรวมมูลค่าทั้งหมด 157,102 ล้านบาท
นอกจากนั้น ในส่วนระบบท่อก๊าซไทย-มาเลย์ ของบริษัท TTM ในส่วนที่อยู่ในประเทศไทยก็อยู่ในข่ายเช่นเดียวกัน เพราะอาศัยอำนาจรอนสิทธิ/มหาชน และรัฐมอบหมายให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ดำเนินการในฐานะองค์การของรัฐ คือท่อก๊าซฯจากแปลง A18 ใน JDA – อ.จะนะ 227 กม. และท่อก๊าซฯ จาก อ. จะนะ – ชายแดนรัฐเคดาห์ 98 กม. รวมระยะทางทั้งสิ้น 325 กม.
อีกทั้ง ยังมีส่วนของโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 1 และ 2 ของบริษัท TTM ที่ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยได้รับมอบหมายให้ดำเนินการลงทุนร่วมทุนใน TTM ในฐานะองค์การของรัฐ และโรงแยกก๊าซตั้งคร่อมพื้นที่สาธารณะ รวมมูลค่าทรัพย์สิน (เฉพาะในส่วนของ ปตท. 50%) ในส่วนของระบบท่อของบริษัท TTM และโรงแยกก๊าซฯ เท่ากับ 15,062 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัท TTM (บริษัททรานส์ไทย มาเลเซีย จำกัด เป็นการร่วมทุน 50: 50 ระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และเปโตรนาสของมาเลเซีย โดย ปตท. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลไทยให้กระทำการแทนรัฐในฐานะองค์กรของรัฐในการแสวงประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนในเขตไหล่ทวีปบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง (พื้นที่ JDA) และดำเนินการร่วมทุนกับมาเลเซียและโครงการโรงแยกก๊าซฯไทย-มาเลเซีย โดยโครงการทั้ง 2 ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และบริษัท TTM ได้เริ่มแยกก๊าซที่ได้จากพื้นที่ JDA มาเป็นก๊าซหุงต้ม และส่งออกทั้งก๊าซธรรมชาติและก๊าซหุงต้มทั้งหมดไปยังประเทศมาเลเซียแล้ว แม้บริษัท TTM จะมีสภาพเป็นบริษัทเอกชน (ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ) แต่ได้ใช้อำนาจมหาชนในการวางท่อและสร้างโรงแยกก๊าซผ่าน ปตท. และบมจ. ปตท. ดังนั้นระบบท่อและโรงแยกก๊าซของบริษัท TTM จึงเป็นทรัพย์สินที่ต้องโอนกลับคืนสู่รัฐ
ส่วนการประกาศกำหนดเขตและดำเนินการในระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อในพื้นที่สาธารณะสมบัติ ต้องใช้อำนาจมหาชนตามมาตรา 29, 30, 31, 33 และ 34 ในกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ดังนั้น การวางท่อโดยใช้สิทธิเหนือที่ดินของเอกชนและโดยใช้สาธารณะสมบัติของแผ่นดินล้วนถือเป็นการใช้อำนาจมหาชนทั้งสิ้น ทรัพย์สินของระบบท่อส่วนใหญ่หรือทั้งหมดจึงควรต้องโอนกลับมาเป็นของรัฐเช่นกัน
สำหรับค่าเช่าท่อก๊าซฯ ที่ผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าเช่าฯ และเสนอต่อรมว.กระทรวงคลัง เพื่อเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันนี้ (8 ม.ค.) ได้ข้อสรุปว่า รูปแบบการคิดอัตราค่าเช่าที่ดินและท่อส่งก๊าซบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ตามระยะเวลาสัญญา 30 ปี ด้วยวิธีการหักส่วนแบ่งรายได้สุทธิ (Revenue Sharing) ในอัตราขั้นต่ำ 5% หลังจากนั้นทุกๆ 5 ปี จะปรับเพิ่ม 15% คาดว่ามูลค่าค่าเช่าทั้งหมดตลอดอายุสัญญาอยู่ที่ 7.8-7.9 พันล้านบาท
โดยปีแรก ปตท.จะต้องจ่ายค่าเช่า 180 ล้านบาท แต่ค่าเช่าค้างย้อนหลังตั้งแต่ 1 ต.ค. ปี44 จนถึงปัจจุบันที่ ปตท.ต้องจ่ายรวมอัตราดอกเบี้ย 7.5% ประมาณ 1,600 ล้านบาท ซึ่งต้องจ่ายในทันที ส่วนต่อจากนี้ ปตท.ก็จะต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่มอีก 3% จากฐานรายได้ของปีล่าสุด ส่วนแนวท่อที่ต้องมีการคิดค่าเช่านั้น มีระยะทางประมาณ 400 กม. เป็นแนวท่อบนบกทั้งสิ้น ไม่รวมท่อก๊าซในทะเล
คลังยืดเวลา ปตท.แจงรายละเอียด
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง แจ้งว่า ภายหลังจากคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ค่าเช่าค่าผ่านท่อก๊าซ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)PTT ได้เข้าเสนอผลสรุปค่าเช่าค่าผ่านท่อก๊าซ ปตท. ต่อนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยระบุตัวเลขการจัดเก็บค่าเช่าตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งเป็นที่ปตท.แปลงสภาพ เป็นปีแรก โดยจะจัดเก็บในอัตรา 5% ของรายได้จำนวน 3,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่ปตท.ระบุไว้นั้น ว่าถือเป็นข้อมูลที่ยังไม่ครบถ้วน
โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลรายได้ที่ปตท.แสดงแต่เพียงฝ่ายเดียว ขาดเหตุผลที่จะชี้แจงต่อสาธารณชนว่าเป็นมาอย่างไร เนื่องจากจะต้องแสดงให้เห็นทั้งหมดทั้งรายได้จากค่าเช่าท่อก๊าซ ดอกเบี้ย รายจ่ายต่างๆ จึงจะขยายเวลาให้อีก 2 สัปดาห์ เพื่อคณะทำงานฯได้ไปศึกษาและหาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงจะต้องเรียกข้อมูลเพิ่มจากปตท.ด้วย อีกทั้งจะนำผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งผ่านประสบการณ์คิดค่าเช่ากับมาบุญครองมาร่วมทำงานด้วย
"เมื่อได้รายงานต่อรมว.คลัง ท่านก็ไม่เห็นด้วยกับรายได้ที่ปตท.เสนอมาว่าตั้งแต่ปี 44 ค่าเช่าท่อคิดเป็นรายได้ 3,600 ล้านบาท เพราะไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน เพื่อสามารถตอบคำถามประชาชนได้ว่ารายได้ดังกล่าวจริงหรือไม่ คิดจากอะไร ยังจะมีค่าดอกเบี้ย และรายจ่ายอื่นๆ ฉะนั้นจึงต้องเรียกทีมงานจากจุฬาฯมาเสริมทัพเพราะเขาเคยคิดค่าเช่ามาบุญครองเพื่อจะได้ข้อมูลที่รอบด้าน ไม่รับฟังข้อมูลแต่เพียงฝั่งเดียว"รายงานข่าว ระบุ
รายงานข่าว แจ้งเพิ่มว่า ทั้งนี้ในที่ประชุมก็มีการกล่าวถึงว่าการคิดค่าเช่าค่าผ่านท่อก๊าซ ปตท.จะไม่ง่ายเช่นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคิดกับศูนย์การค้ามาบุญครอง เนื่องจากที่ดินและสินทรัพย์บริเวณดังกล่าวมีความแน่นอน ขณะที่ท่อก๊าซมีความซับซ้อนและรายละเอียดมากกว่านั้น อีกทั้งในอนาคตก็ต้องคิดเผื่อไว้ด้วยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับรัฐและประเทศชาติ ซึ่งแม้จะขยายเวลาออกไปแต่รมว.คลังก็ให้กรอบไว้ว่าจะต้องเสร็จก่อนรัฐบาลชุดนี้หมดวาระ
ทั้งนี้ ในส่วนของการโอนท่อก๊าซของปตท. คืนมายังกระทรวงการคลัง ถือเป็นอีกเรื่อง ซึ่งจะมีการเสนอเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาตีความว่าจะต้องโอนแค่บางส่วนหรือทั้งหมดและครองคลุมท่อก๊าซในทะเลและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ด้วยหรือไม่
สำหรับการพิจารณาก่อนหน้าของคณะกรรมการฯ ได้ข้อสรุปว่า จะใช้วิธีการเก็บค่าเช่าจากรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย ซึ่งคิดในอัตรา 5% ของรายได้ในปีแรก และจะปรับเพิ่มปีละ 3%ของค่าเช่าที่จัดเก็บในปีก่อนหน้า ซึ่งการจัดเก็บค่าเช่าตามวิธีนี้จะทำให้ ปตท.มีภาระที่ต้องเสียค่าเช่าตลอดอายุสัญญา 30 ปี ที่ 7,888 ล้านบาท และการจัดเก็บค่าเช่าจะเริ่มจัดเก็บตั้งแต่ 44 ซึ่งเป็นที่ปตท.แปลงสภาพ เป็นปีแรก
โดยจะจัดเก็บในอัตรา 5% ของรายได้จำนวน 3,600 ล้านบาท ซึ่งจะมีมูลค่า 180 ล้านบาท หลังจากนั้นจะปรับเพิ่มทุก 3 % ของค่าเช่าดังกล่าว ซึ่งปตท.มีภาระจะต้องจ่ายค่าเช่าย้อนหลังพร้อมกับอัตราดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ให้กับกรมธนารักษ์ ตั้งแต่ปี 44-50 โดยได้มีการคำนวณแล้วในเบื้องต้นจะมีจำนวนทั้งสิ้น 1,600 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าเช่า จำนวน 1,324 ล้านบาท และดอกเบี้ย จำนวน 276 ล้านบาท และจะต้องจ่ายทันที่เมื่อ รมว.คลังออกประกาศ
นางสาวรสนา โตสิตระกูล กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการติดตามการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของ ปตท. ตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวแทนสหพันธ์ฯและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้เข้าพบนายฉลองภพ สุสังกาญจน์ รมว.คลัง เพื่อเสนอข้อคิดเห็นต่อการจัดการทรัพย์สินฯ ตามคำสั่งศาล ซึ่งทางกระทรวงการคลัง เป็นผู้ทำหน้าที่แทนรัฐ โดยทางสหพันธ์ฯ มีข้อเสนอต่อคลังใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ
1.สหพันธ์ฯ และมูลนิธิฯ ได้จัดทำบัญชีรายการทรัพย์สินที่น่าจะเข้าข่ายเป็นของรัฐพร้อมกับอธิบายเหตุผล เสนอให้กระทรวงการคลัง พิจารณา ซึ่งประเด็นรายการทรัพย์สินฯ ที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินฯ ตามคำสั่งศาลฯ มีบางส่วนที่ผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องเห็นร่วมกัน แต่มีบางรายการที่เห็นแย้งกันอยู่
“สหพันธ์ฯ เรียกร้องให้คลังทำหน้าที่ ทำบัญชีขึ้นมาพิจารณาควบคู่ไปกับรายการที่ทางปตท.จัดทำขึ้นมา ไม่ใช่ปล่อยให้ ปตท.คิดเอาตามใจชอบ ส่วนไหนที่เห็นตรงกันก็ไม่มีปัญหา แต่ส่วนไหนที่มีข้อโต้แย้ง ได้เสนอให้คลังนำเรื่องสู่ศาลฯ เป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ยืนยันว่าจะติดตามเรื่องนี้จนกว่าจะหาข้อยุติที่เป็นที่ชัดเจนว่าผลประโยชน์ตกอยู่กับประเทศชาติและประชาชน”
นางสาวรสนา กล่าวต่อว่า การคำนวณของกรมธนารักษ์ ที่ตัดสินว่าระบบท่อที่ ปตท.ต้องจ่ายค่าเช่ามีเพียงประมาณ 400 กม.เท่านั้น ไม่น่าจะสมเหตุสมผล ประเด็นใหญ่ที่ทางสหพันธ์ฯ และมูลนิธิฯ มีความเห็นแย้ง เช่น ท่อส่งก๊าซฯ ทางทะเล ที่ทาง รมว.กระทรวงพลังงาน มีความเห็นว่า ไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่ทางสหพันธ์ฯ เห็นว่า เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
2.โครงการท่อก๊าซฯ ไทย – มาเลย์ ซึ่งทางสหพันธ์ฯ และมูลนิธิฯ มีความเห็นว่า ท่อก๊าซฯ เส้นนี้ต้องเป็นสมบัติของชาติ และ 3.การคำนวณอัตราค่าผ่านท่อฯ ปัจจุบัน ปตท. ไม่ใช้มูลค่าทางบัญชีในการคำนวณ แต่ใช้มูลค่า Replacement Value หรือ ROE แทน ซึ่งเท่ากับต้นทุนในการสร้างท่อใหม่ทดแทนท่อเก่า เวลานี้ ปตท. คิด ROE 18% ซึ่งมาจากดอกเบี้ยเงินกู้ 12% และประกันกำไรให้ผู้ถือหุ้น 6% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ได้ลดต่ำลงเหลือเพียงประมาณ 8% การใช้ฐานคิดดังกล่าวทำให้มูลค่าการลงทุนสูง ค่าผ่านท่อมีอัตราสูง สร้างกำไรงามให้ บมจ. ปตท. ขณะที่ผู้บริโภคต้องรับภาระอย่างไม่เป็นธรรม คลังควรต้องเข้าไปรื้อระบบการคิดค่าผ่านท่อฯเสียใหม่
นางสาวรสนา กล่าวว่า ท่อเส้นที่ 3 และ 4 ในอนาคต อำนาจผูกขาดในการใช้ท่อฯ ไม่น่าจะอยู่ที่ปตท.เพียงเจ้าเดียวอีกต่อไป รัฐมีอำนาจและสิทธิในการบริหารจัดการสิทธิส่วนนี้ในทางที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศโดยรวม ซึ่งรวมถึงสิทธิในการได้ค่าผ่านท่อ ในกรณีที่รัฐเห็นควรให้รัฐ/รัฐวิสาหกิจ เป็นผู้ดำเนินการกิจการนี้เอง เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ทางสหพันธ์ฯ และมูลนิธิฯ จะเสนอต่อรัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารประเทศด้วย
สำหรับรายละเอียดรายการทรัพย์สินฯ และการแยกอำนาจสิทธิฯ ที่สหพันธ์ฯ และมูลนิธิผู้บริโภค เสนอต่อรมว.กระทรวงการคลังนั้น ในส่วนที่ ครม.ได้มีมติให้ปตท.คืนแก่รัฐ รวมมูลค่า 15,139 ล้านบาท คือ 1) ที่ดินที่ได้มาโดยการใช้อำนาจเวนคืน จำนวน 32 ไร่ ในเขต จ.สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง มูลค่าทางบัญชี ณ 30 ก.ย. 44 เท่ากับ 7 ล้านบาท
2) สิทธิเหนือที่ดินของเอกชนซึ่ง ปตท. ได้มาโดยใช้อำนาจมหาชน มูลค่าทางบัญชี ณ 30 ก.ย. 44 เท่ากับ 1,124 ล้านบาท และ 3) ระบบท่อส่งก๊าซ/น้ำมันส่วนที่อยู่ในที่ดินของเอกชนตาม (2) ข้างต้น ซึ่งรวมถึง โครงการท่อบางปะกง –วังน้อย โครงการท่อชายแดนไทย-พม่า – ราชบุรี และโครงการท่อราชบุรี – วังน้อย มูลค่าทางบัญชีของทั้ง 3 โครงการ ณ วันที่ 30 ก.ย. 44 เท่ากับ 14,008 ล้านบาท นั้น ทางสหพันธ์ฯ และมูลนิธิฯ เห็นพ้องกับมติ ครม. ข้างต้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนท่อก๊าซฯ ท่อน้ำมันนั้น สหพันธ์ฯ และมูลนิธิฯ เห็นว่าควรจะรวมถึงระบบท่อทั้งหมดทั้งท่อส่ง และท่อจำหน่ายที่ได้มาโดยใช้พื้นที่สาธารณะ และ/หรือใช้อำนาจมหาชน โดยมีส่วนประกอบ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 คือ
1.ระบบท่อส่งก๊าซฯบนบกความยาว 1,384 กม. สอง ระบบท่อส่งก๊าซฯในทะเลความยาว 1,369 กม. และ สาม ระบบท่อจัดจำหน่ายความยาว 770 กม. รวมทั้งสิ้น 3,523 กม. โดยท่อก๊าซฯและระบบท่อจัดจำหน่ายดังกล่าวมีมูลค่าทางบัญชี ณ 31 ธ.ค. 44 รวม 47,593 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีระบบท่อก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นตามแผนแม่บทฉบับที่ 3 ซึ่งบางส่วนอยู่ระหว่างการก่อสร้างรวมมูลค่าทั้งหมด 157,102 ล้านบาท
นอกจากนั้น ในส่วนระบบท่อก๊าซไทย-มาเลย์ ของบริษัท TTM ในส่วนที่อยู่ในประเทศไทยก็อยู่ในข่ายเช่นเดียวกัน เพราะอาศัยอำนาจรอนสิทธิ/มหาชน และรัฐมอบหมายให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ดำเนินการในฐานะองค์การของรัฐ คือท่อก๊าซฯจากแปลง A18 ใน JDA – อ.จะนะ 227 กม. และท่อก๊าซฯ จาก อ. จะนะ – ชายแดนรัฐเคดาห์ 98 กม. รวมระยะทางทั้งสิ้น 325 กม.
อีกทั้ง ยังมีส่วนของโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 1 และ 2 ของบริษัท TTM ที่ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยได้รับมอบหมายให้ดำเนินการลงทุนร่วมทุนใน TTM ในฐานะองค์การของรัฐ และโรงแยกก๊าซตั้งคร่อมพื้นที่สาธารณะ รวมมูลค่าทรัพย์สิน (เฉพาะในส่วนของ ปตท. 50%) ในส่วนของระบบท่อของบริษัท TTM และโรงแยกก๊าซฯ เท่ากับ 15,062 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัท TTM (บริษัททรานส์ไทย มาเลเซีย จำกัด เป็นการร่วมทุน 50: 50 ระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และเปโตรนาสของมาเลเซีย โดย ปตท. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลไทยให้กระทำการแทนรัฐในฐานะองค์กรของรัฐในการแสวงประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนในเขตไหล่ทวีปบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง (พื้นที่ JDA) และดำเนินการร่วมทุนกับมาเลเซียและโครงการโรงแยกก๊าซฯไทย-มาเลเซีย โดยโครงการทั้ง 2 ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และบริษัท TTM ได้เริ่มแยกก๊าซที่ได้จากพื้นที่ JDA มาเป็นก๊าซหุงต้ม และส่งออกทั้งก๊าซธรรมชาติและก๊าซหุงต้มทั้งหมดไปยังประเทศมาเลเซียแล้ว แม้บริษัท TTM จะมีสภาพเป็นบริษัทเอกชน (ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ) แต่ได้ใช้อำนาจมหาชนในการวางท่อและสร้างโรงแยกก๊าซผ่าน ปตท. และบมจ. ปตท. ดังนั้นระบบท่อและโรงแยกก๊าซของบริษัท TTM จึงเป็นทรัพย์สินที่ต้องโอนกลับคืนสู่รัฐ
ส่วนการประกาศกำหนดเขตและดำเนินการในระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อในพื้นที่สาธารณะสมบัติ ต้องใช้อำนาจมหาชนตามมาตรา 29, 30, 31, 33 และ 34 ในกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ดังนั้น การวางท่อโดยใช้สิทธิเหนือที่ดินของเอกชนและโดยใช้สาธารณะสมบัติของแผ่นดินล้วนถือเป็นการใช้อำนาจมหาชนทั้งสิ้น ทรัพย์สินของระบบท่อส่วนใหญ่หรือทั้งหมดจึงควรต้องโอนกลับมาเป็นของรัฐเช่นกัน
สำหรับค่าเช่าท่อก๊าซฯ ที่ผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าเช่าฯ และเสนอต่อรมว.กระทรวงคลัง เพื่อเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันนี้ (8 ม.ค.) ได้ข้อสรุปว่า รูปแบบการคิดอัตราค่าเช่าที่ดินและท่อส่งก๊าซบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ตามระยะเวลาสัญญา 30 ปี ด้วยวิธีการหักส่วนแบ่งรายได้สุทธิ (Revenue Sharing) ในอัตราขั้นต่ำ 5% หลังจากนั้นทุกๆ 5 ปี จะปรับเพิ่ม 15% คาดว่ามูลค่าค่าเช่าทั้งหมดตลอดอายุสัญญาอยู่ที่ 7.8-7.9 พันล้านบาท
โดยปีแรก ปตท.จะต้องจ่ายค่าเช่า 180 ล้านบาท แต่ค่าเช่าค้างย้อนหลังตั้งแต่ 1 ต.ค. ปี44 จนถึงปัจจุบันที่ ปตท.ต้องจ่ายรวมอัตราดอกเบี้ย 7.5% ประมาณ 1,600 ล้านบาท ซึ่งต้องจ่ายในทันที ส่วนต่อจากนี้ ปตท.ก็จะต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่มอีก 3% จากฐานรายได้ของปีล่าสุด ส่วนแนวท่อที่ต้องมีการคิดค่าเช่านั้น มีระยะทางประมาณ 400 กม. เป็นแนวท่อบนบกทั้งสิ้น ไม่รวมท่อก๊าซในทะเล
คลังยืดเวลา ปตท.แจงรายละเอียด
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง แจ้งว่า ภายหลังจากคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ค่าเช่าค่าผ่านท่อก๊าซ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)PTT ได้เข้าเสนอผลสรุปค่าเช่าค่าผ่านท่อก๊าซ ปตท. ต่อนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยระบุตัวเลขการจัดเก็บค่าเช่าตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งเป็นที่ปตท.แปลงสภาพ เป็นปีแรก โดยจะจัดเก็บในอัตรา 5% ของรายได้จำนวน 3,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่ปตท.ระบุไว้นั้น ว่าถือเป็นข้อมูลที่ยังไม่ครบถ้วน
โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลรายได้ที่ปตท.แสดงแต่เพียงฝ่ายเดียว ขาดเหตุผลที่จะชี้แจงต่อสาธารณชนว่าเป็นมาอย่างไร เนื่องจากจะต้องแสดงให้เห็นทั้งหมดทั้งรายได้จากค่าเช่าท่อก๊าซ ดอกเบี้ย รายจ่ายต่างๆ จึงจะขยายเวลาให้อีก 2 สัปดาห์ เพื่อคณะทำงานฯได้ไปศึกษาและหาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงจะต้องเรียกข้อมูลเพิ่มจากปตท.ด้วย อีกทั้งจะนำผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งผ่านประสบการณ์คิดค่าเช่ากับมาบุญครองมาร่วมทำงานด้วย
"เมื่อได้รายงานต่อรมว.คลัง ท่านก็ไม่เห็นด้วยกับรายได้ที่ปตท.เสนอมาว่าตั้งแต่ปี 44 ค่าเช่าท่อคิดเป็นรายได้ 3,600 ล้านบาท เพราะไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน เพื่อสามารถตอบคำถามประชาชนได้ว่ารายได้ดังกล่าวจริงหรือไม่ คิดจากอะไร ยังจะมีค่าดอกเบี้ย และรายจ่ายอื่นๆ ฉะนั้นจึงต้องเรียกทีมงานจากจุฬาฯมาเสริมทัพเพราะเขาเคยคิดค่าเช่ามาบุญครองเพื่อจะได้ข้อมูลที่รอบด้าน ไม่รับฟังข้อมูลแต่เพียงฝั่งเดียว"รายงานข่าว ระบุ
รายงานข่าว แจ้งเพิ่มว่า ทั้งนี้ในที่ประชุมก็มีการกล่าวถึงว่าการคิดค่าเช่าค่าผ่านท่อก๊าซ ปตท.จะไม่ง่ายเช่นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคิดกับศูนย์การค้ามาบุญครอง เนื่องจากที่ดินและสินทรัพย์บริเวณดังกล่าวมีความแน่นอน ขณะที่ท่อก๊าซมีความซับซ้อนและรายละเอียดมากกว่านั้น อีกทั้งในอนาคตก็ต้องคิดเผื่อไว้ด้วยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับรัฐและประเทศชาติ ซึ่งแม้จะขยายเวลาออกไปแต่รมว.คลังก็ให้กรอบไว้ว่าจะต้องเสร็จก่อนรัฐบาลชุดนี้หมดวาระ
ทั้งนี้ ในส่วนของการโอนท่อก๊าซของปตท. คืนมายังกระทรวงการคลัง ถือเป็นอีกเรื่อง ซึ่งจะมีการเสนอเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาตีความว่าจะต้องโอนแค่บางส่วนหรือทั้งหมดและครองคลุมท่อก๊าซในทะเลและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ด้วยหรือไม่
สำหรับการพิจารณาก่อนหน้าของคณะกรรมการฯ ได้ข้อสรุปว่า จะใช้วิธีการเก็บค่าเช่าจากรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย ซึ่งคิดในอัตรา 5% ของรายได้ในปีแรก และจะปรับเพิ่มปีละ 3%ของค่าเช่าที่จัดเก็บในปีก่อนหน้า ซึ่งการจัดเก็บค่าเช่าตามวิธีนี้จะทำให้ ปตท.มีภาระที่ต้องเสียค่าเช่าตลอดอายุสัญญา 30 ปี ที่ 7,888 ล้านบาท และการจัดเก็บค่าเช่าจะเริ่มจัดเก็บตั้งแต่ 44 ซึ่งเป็นที่ปตท.แปลงสภาพ เป็นปีแรก
โดยจะจัดเก็บในอัตรา 5% ของรายได้จำนวน 3,600 ล้านบาท ซึ่งจะมีมูลค่า 180 ล้านบาท หลังจากนั้นจะปรับเพิ่มทุก 3 % ของค่าเช่าดังกล่าว ซึ่งปตท.มีภาระจะต้องจ่ายค่าเช่าย้อนหลังพร้อมกับอัตราดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ให้กับกรมธนารักษ์ ตั้งแต่ปี 44-50 โดยได้มีการคำนวณแล้วในเบื้องต้นจะมีจำนวนทั้งสิ้น 1,600 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าเช่า จำนวน 1,324 ล้านบาท และดอกเบี้ย จำนวน 276 ล้านบาท และจะต้องจ่ายทันที่เมื่อ รมว.คลังออกประกาศ