ครม.อนุมัติขยายเวลาหาข้อสรุปค่าเช่าท่อก๊าซ ปตท. ออกไปอีก 2 สัปดาห์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เนื่องจากข้อมูลยังไม่ครบถ้วน อาจเกิดความผิดพลาดเสียหายได้ ข้อมูลลึกระบุ ปตท.แอบงุบงิบไม่คืนแนวท่อในทะเลและป่าสงวน ขณะที่ขาใหญ่ในรัฐบาลกดดัน รมว.คลังหนัก เพราะเกรงกระทบฐานะและราคาหุ้น
วันนี้(8 ม.ค.) นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบให้ขยายกำหนดเวลาการหาข้อสรุปการคิดอัตราค่าเช่าท่อก๊าซกับ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT ออกไปอีก 2 สัปดาห์ ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เนื่องจกาข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจยังมีไม่ครบถ้วน
ทั้งนี้ รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า ตัวเลขการจัดเก็บค่าเช่าตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งเป็นปีที่ ปตท.แปลงสภาพ เป็นปีแรก โดยจะจัดเก็บในอัตรา 5% ของรายได้จำนวน 3,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่ ปตท.ระบุไว้นั้น ถือเป็นข้อมูลที่ยังไม่ครบถ้วน เพราะเป็นข้อมูลรายได้ที่ปตท.แสดงแต่เพียงฝ่ายเดียว ขาดเหตุผลที่จะชี้แจงต่อสาธารณชนว่าเป็นมาอย่างไร เนื่องจากจะต้องแสดงให้เห็นทั้งหมดทั้งรายได้จากค่าเช่าท่อก๊าซ ดอกเบี้ย รายจ่ายต่างๆ จึงจะขยายเวลาให้อีก 2 สัปดาห์ เพื่อคณะทำงานได้ไปศึกษาและหาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงจะต้องเรียกข้อมูลเพิ่มจากปตท.ด้วย อีกทั้งจะนำผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งผ่านประสบการณ์คิดค่าเช่ากับศูนย์การค้ามาบุญครองมาร่วมทำงานด้วย
ก่อนหน้านี้ คณะทำงานพิจารณาหลักเกณฑ์กำหนดค่าเช่าที่ราชพัสดุและท่อส่งก๊าซ ซึ่งกรมธนารักษ์เป็นประธานได้สรุปค่าเช่าท่อก๊าซจาก ปตท. จากความยาวท่อก๊าซประมาณ 360 กิโลเมตรที่โอนคืนให้คลังตามคำสั่งศาล ปีละ 180 ล้านบาท โดยให้เริ่มคิดตั้งแต่ปี 2544 ที่ราคาเช่าเริ่มต้น 180 ล้านบาท หลังจากนั้นให้คิดค่าเช้าเพิ่มขึ้นอีกปีละ 3% โดยตลอดระยะเวลาของสัญญา 30 ปี (ตั้งแต่ปี 2544-2574) จะรวมเป็นเงินประมาณ 7,888 พันล้านบาท
รายงานข่าวยังระบุอีกว่า นายฉลองภพ ได้พยายามส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความเรื่องการโอนคืนท่อก๊าซของ ปตท. ตามคำสั่งศาลปกครองถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ เพราะเห็นว่าเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป เนื่องจากในช่วงท้ายของคำพิพากษาได้ระบุไว้ทรัพย์ที่เป็นของแผ่นดินต้องโอนคืนให้คลังทั้งหมด ซึ่งน่าจะรวมถึงท่อก๊าซที่ผ่านป่าสงวน และในทะเล ที่ทางปตท. ไม่โอนคืนให้คลังโดยอ้างว่าไม่ได้เป็นที่ราชพัสดุ
แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า เหตุผลที่นายฉลองภพ ได้ถอนเรื่องดังกล่าว โดยมีแรงกดดันจากรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล เพราะเกรงว่าการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับฐานะและราคาหุ้นของ ปตท. และเรื่องนี้ไม่ได้เป็นหน้าที่ของคลังที่ต้องถาม เพราะเป็นเรื่องของมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค ที่ฟ้อง ปตท. กับศาลปกครอง ดังนั้นควรให้ศาลปกครองพิจารณาว่า ปตท. ได้ดำเนินการตามคำพิพากษาครบสมบูรณ์หรือไม่ โดยคลังได้กำชับให้กรมธนารักษ์ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาค่าเช่าท่อก๊าซ ให้เข้มงวดกับรายการทรัพย์สินที่ทาง ปตท. โอนคืนให้กับคลัง โดยให้ ปตท. ระบุให้ชัดเจนว่าทรัพย์สินที่ต้องโอนคืนตามคำสั่งศาลปกครองมีอะไรบ้างเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับกระทรวงการคลังที่หลัง
