คงไม่ต้องยกคำพูดวันต่อวันนาทีต่อนาทีมาอ้างนะครับว่าก่อนหน้าการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 คุณบรรหาร ศิลปอาชาแสดงจุดยืนทางการเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่จะไม่เข้าร่วมกับอดีตพรรคไทยรักไทยอย่างไรบ้าง ที่สำคัญที่สุดก็คือประโยคที่พูดซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง
“ผมจะไม่ทำให้ผู้ใหญ่ที่คบกันมากว่า 30 ปีต้องผิดหวัง”
คงไม่ต้องอ้อมค้อมกันให้มากความหรอกนะว่าหัวหน้าพรรคชาติไทยหมายถึงใคร ถ้าไม่ใช่หนึ่งเดียวคนนี้...
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ !
ผมเคยคิดว่าเพราะท่านเข้าใจสถานการณ์วิกฤตของบ้านเมืองดีพอ ถึงออกมาพูดจาทำนองนี้ตั้งแต่ก่อนวันรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยแสดงตนเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรชัดเจนพอควร แม้จะไม่มากนัก แต่สำหรับนักการเมืองที่มาจากคหบดีพ่อค้ารับเหมาเก่าอย่างท่านที่ผู้คนไม่เคยคาดหวังสารัตถะลึกซึ้งอะไรนักมาก่อน ต้องบอกว่ามากถึงมากที่สุดแล้ว
คำว่า “เข้าใจสถานการณ์วิกฤตของบ้านเมืองดีพอ” ที่ผมใช้ในย่อหน้าก่อน หมายถึงวิกฤตต่อระบอบ(ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) และวิกฤตต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ผมเคยพูดทั้งในสภา ใน ASTV และเคยเขียนในคอลัมน์นี้มาแล้วหลายครั้งว่าสถานการณ์วิกฤตของบ้านเมืองนับตั้งแต่ยุคปลายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรื่อยมาจนถึงการลุกขึ้นวิ่งชนกำแพงของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อมาจนถึงการรัฐประหารครั้งล่าสุด และความพยายามก่อการจลาจลย่อยของ นปก. ระหว่างปี 2548 – 2550 คือการเป็นพันธมิตรกันของ “ทุนเหิมเกริม” กับ “ซ้ายอารมณ์ค้าง” ท่ามกลางความตกต่ำและไร้ประสิทธิภาพของระบอบอมาตยาธิปไตยภายใต้การนำของพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์
การต่อสู้ทางการเมืองช่วงนี้จึงถือเป็นสถานการณ์พิเศษ ไม่ใช่แค่แข่งขันกันตามปกติเท่านั้น
ความเชื่อว่าคุณบรรหาร ศิลปอาชา “เข้าใจสถานการณ์วิกฤตของบ้านเมืองดีพอ” ถูกตอกย้ำซ้ำด้วยการที่พรรคชาติไทยกับพรรคเพื่อแผ่นดินเสนอหลักการ 5 ข้อออกมาเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะพิจารณาว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนหรือไม่ เพราะ 2 ใน 5 ข้อนั้นมีประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และประธานองคมนตรี ที่ทำให้พรรคพลังประชาชนและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรมีอันต้อง “เต้น” ออกแถลงการณ์ชี้แจงภายในวันเดียวกัน
ท่าทีเช่นนี้ เมื่อผสานกับการทำงานทางฝั่ง กกต. -- โดยเฉพาะทีมของพล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล – ทำให้สถานการณ์ของพรรคพลังประชาชนไม่แน่นอนทันที
น่าเสียดาย...ที่เมื่อถึงที่สุดแล้วคุณบรรหาร ศิลปอาชาไม่สามารถยืนหยัดท่าทีดังกล่าวไว้ได้ !
คนที่ทำทีทำท่าว่า “เข้าใจสถานการณ์วิกฤตของบ้านเมืองดีพอ” กลับมาเป็นนักการเมืองดาด ๆ ที่คิดตื้น ๆ เพียงแค่ขอให้ได้ร่วมรัฐบาลเท่านั้นเป็นพอ
เหตุผลที่ยกมาอ้างต่อสาธารณะนั้นก็ “โหล่ยโท่ย” สิ้นดี เพียงแค่ว่าพอใจในท่าทีที่น่ารักของคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ทั้ง ๆ ที่จนถึงวันนี้พรรคพลังประชาชนไม่ได้ตอบรับหลักการ 5 ข้อเลย !
คุณสมัคร สุนทรเวช ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ไม่เพียงแต่ตอกกลับเจ็บ ๆ ในวันที่โชว์ภาพถ่ายตนเองแต่งเครื่องแบบเต็มยศที่แสดงให้เห็นว่าได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงกว่า แล้วเรียกร้องให้คุณบรรหาร ศิลปอาชา “แหงนหน้าขึ้นมามอง” เท่านั้น ในวันต่อมาที่พรรคพลังประชาชนประกาศชิงจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ 3 พรรคการเมืองขนาดเล็ก 21 เสียง ยังได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมพูดจาเป็นนัยอย่างน่ารังเกียจกระทบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ที่ไม่มีช่องทางตอบโต้อีกต่างหาก
คุณสมัคร สุนทรเวชพูดถึง “มือที่มองไม่เห็น” ก่อน แล้วโยงด้วยชั้นเชิงไปอีกเรื่องว่าขณะไปหาเสียงต่างจัดหวัดเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางขายอยู่ ขนลุก ไม่กล้าเปิดดู
“ก้อนกรวดในรองพระบาท”
คุณบรรหาร ศิลปอาชาไม่รู้หรอกหรือว่านี่เป็นหนังสือผิดกฎหมายที่กลุ่มต่อต้านคมช.สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรพิมพ์เผยแพร่แล้วแจกจ่ายไปทั่ว โดยก่อนหน้านี้เป็นบทความมินิซีรีส์ขนาด 8 – 10 ตอนเผยแพร่อยู่ในเว็บไซด์ “ไฮ - ทักษิณ” เนื้อหานั้นมุ่งโจมตีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์โดยตรง ว่าเป็นผู้ที่แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมเสีย
ใครเขียนผมไม่รู้ เพราะใช้นามปากกาว่า “ประดาบ” แต่ต้องยอมรับในลีลา ชั้นเชิง และความพลิกพลิ้ว
ปรมาจารย์นักเขียนอย่าง เปลว สีเงิน” ยังยอมรับในอันตราย !
คุณบรรหาร ศิลปอาชาควรจะรับรู้ไว้ด้วยว่า คนกลุ่มนี้ยังคงแสดงความอาฆาตมาดร้อยต่อพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์อยู่แม้จนทุกวันนี้ !
ผมมีประจักษ์พยาน
ข้อเขียนของ “ประดาบ” ผู้เขียน “ก้อนกรวดในรองพระบาท” ที่ปรากฏในเว็บไซด์ “ไฮ – ทักษิณ” ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2550 ทันทีที่พรรคชาติไทยกับพรรคเพื่อแผ่นดินยื่นเงื่อนไข 5 ข้อคือประจักษ์พยานที่ว่า ตอนหนึ่งเขาเขียนว่า...
“...พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ถือเป็นรัฐบุรุษที่สูงสุดในบรรดาผู้คนทั้งหลายและเป็นที่เคารพของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งตรงนี้เราต้องรักษาไว้ และเราจะต้องไม่ก้าวล่วง... เงื่อนไขข้อนี้ของนายบรรหาร ดูจะเป็นเงื่อนไขเฉพาะตัวของนายบรรหารเพียงคนเดียว ไม่ใช่ของคนทั้งประเทศ
“...อย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่ยอมรับ และรับไม่ได้ อีกทั้งไม่เคารพ ไม่เทิดทูน ไม่คิดว่าพล.อ.เปรม เป็นรัฐบุรุษสูงสุด และเคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่หยุดตรวจสอบพฤติกรรมของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
“...แม้แต่สิ้นลมหายใจไปแล้ว ก็ต้องขุดเบื้องหลังมาตรวจสอบกัน และต้องตรวจสอบให้หนักและลึกกว่าที่พรรคประชาธิปัตย์เคยขุดศพเตี่ยนายบรรหารมาตรวจสอบสัญชาติ และวันเดินทางมาถึงแผ่นดินสยาม หลายเท่า
“...พล.อ.เปรมเป็นคนที่นายบรรหารเคารพมา 30 ปี ก็เป็นเรื่องของนายบรรหาร ประชาชนไม่เกี่ยว ในฐานะประชาชนที่ร่วมต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ผมยืนยันอีกครั้งว่าพล.อ.เปรม คือ ศัตรูตัวสำคัญของระบอบประชาธิปไตย และประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ที่จะต้องตายจากกันไปข้าง ไม่สามารถอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันได้...”
นี่คัดมาเฉพาะถ้อยคำที่พอคัดได้นะครับ
จากวาทะ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรขณะอยู่ในอำนาจ มาจนธงนำของ นปก. ที่พุ่งเป้าการโจมตีไปที่ประธานองคมนตรี การพยายามยกพลบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ รวมทั้งคำพูด “อีแอบผมขาว”, “มือที่มองไม่เห็น” และ “ก้อนกรวดในรองพระบาท” ของคุณสมัคร สุนทรเวช ล้วนเป็นเรื่องเดียวกันมีความต่อเนื่องกัน
คุณบรรหาร ศิลปอาชาวันนี้อายุเลย 70 มาพอสมควรแล้ว
อยู่ได้อีกไม่นานก็จะจากโลกนี้ไปตามอายุขัย ก็อยู่ที่ท่านแหละว่าต้องการให้ผู้คนจดจำในฐานะอะไร
หรือท่านไม่กังวลกับการถูกจดจำในลักษณะนี้...
“บรรหาร...ผู้ทรยศ !”