xs
xsm
sm
md
lg

ก๊กมินตั๋งจะคืนสู่อำนาจในไต้หวัน?

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

คนไทยเรากำลังอยู่ในภาวะโศกเศร้าจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และเพิ่งผ่านพ้นการเลือกตั้งทั่วไปมาหยกๆ จึงแทบมิได้สนใจความเป็นไปข้างนอกประเทศ

ทั้งๆ ที่กำลังมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ นั่นคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม 2551 และการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของไต้หวัน ซึ่งกำลังมีขึ้นในวันที่ 12 มกราคม 2551

การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นไปในภูมิภาคเอเชียที่จะบ่งชี้ว่าจะเกิดสงครามหรือสันติภาพและความรุ่งเรืองขึ้นในบริเวณสองฟากฝั่งจีน-ไต้หวัน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่คนไทยควรต้องชำเลืองตามองด้วยความสนใจอย่างจริงจังสักครั้งหนึ่ง และเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องย่อมจำเป็นอยู่เองที่จะต้องสรุปสถานการณ์ล่าสุดที่เป็นอยู่

หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหนือแผ่นดินใหญ่แล้ว พรรคก๊กมินตั๋งก็ได้ล่าถอยมาตั้งหลักที่ไต้หวัน อันเป็นพื้นที่เกาะอยู่ตรงกันข้ามกับเมืองเซียะเหมิน มณฑลฮกเกี้ยนของจีนในระยะมองด้วยตาเปล่าก็เห็นลางๆ

พรรคก๊กมินตั๋งได้ครองอำนาจบนเกาะไต้หวันต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน แต่ในที่สุดด้วยปัญหาการทุจริต ปัญหาการแตกแยกกันเอง และปัญหาทางความคิดที่ตกค้างมาแต่เดิมที่เห็นคนต่างชาติดีกว่าพี่น้องร่วมชาติของตน จึงทำให้พรรคก๊กมินตั๋งสูญเสียอำนาจ

พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าได้เข้าครองอำนาจแทน และดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดซ้ำรอยพรรคก๊กมินตั๋งในอดีต โดยมีรากฐานความคิดที่เห็นคนต่างชาติดีกว่าพี่น้องร่วมชาติของตนเป็นสำคัญ นั่นคือนโยบายแยกไต้หวันออกจากจีน ซึ่งมีอนาคตที่จะต้องตกเป็นอาณานิคมใหม่หรือประเทศใต้การบงการของตะวันตก เหมือนกับยุค “ห้ามสุนัขและคนจีนเข้าไปในสวนสาธารณะ” ในช่วงปลายราชวงศ์ชิง

การดำเนินนโยบายแบบนี้เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงและทำให้ความเจริญรุ่งเรืองของไต้หวันชะลอตัว ชะงักงัน และเสื่อมถอยลงเป็นลำดับ

ด้านหนึ่ง เป็นเพราะการดำเนินนโยบายเช่นนี้เป็นการท้าทายและเป็นปรปักษ์กับมาตุภูมิของตนเอง ท้าทายประชาชาติจีนกว่า 1,300 ล้านคน ซึ่งจำนวนหนึ่งก็อยู่บนเกาะไต้หวันนั่นเอง อีกด้านหนึ่ง เป็นเพราะการดำเนินนโยบายเช่นนี้จึงทำให้ไต้หวันต้องมีรายจ่ายมหาศาล และมีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้น จนการบริหารแทบหมดประสิทธิภาพ

ถึงขนาดที่เกิดแผ่นดินไหว ประชาชนล้มตายเสียหายมากมาย รัฐบาลก็ไม่สามารถเข้าแก้ไขช่วยเหลือได้ทันท่วงที เผยให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารและความใส่ใจต่อประชาชนจีนบนเกาะไต้หวันเป็นที่ประจักษ์ชัด

ความจริงในห้วงเวลานั้นเศรษฐกิจไต้หวันก็หาใช่ว่าจะไม่ดีนัก แต่รายได้ของไต้หวันกลับต้องทุ่มเทไปในการซื้อหาอาวุธจากสหรัฐฯ แทนที่จะนำมาใช้เพื่อการพัฒนาสร้างสรรค์บ้านเกิดเมืองนอนของตน

กลายเป็นว่าคนไต้หวันทำมาหากินได้เงินมาเท่าใดกลับเอาไปมอบให้กับนักค้าอาวุธเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้เกิดการบั่นทอนความเจริญเติบโตและความเจริญก้าวหน้าของไต้หวันในสาระสำคัญยิ่ง

ตรงกันข้ามกับจีน หลังจากสหายเติ้งเสี่ยวผิงได้ประกาศทฤษฎีสังคมนิยมที่สำคัญๆ หลายเรื่อง โดยเรื่องหนึ่งนั้นน่าจะมีนัยสำคัญที่สุด คือหลักทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิงที่ว่า “สังคมนิยมไม่ได้หมายถึงความยากจน”

พลังแห่งความถูกต้องของพัฒนาการแห่งลัทธิมาร์กเลนินและความคิดเหมาเจ๋อตงอันตกผลึกก่อตัวเป็นทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิงโดยคำประกาศนี้ มีผลต่อสถานการณ์และหยุดสถานการณ์ที่โลกสังคมนิยมกำลังจะล่มสลายลงไปอย่างได้ผล

ประเทศจีนแห่งสังคมนิยมได้พัฒนาก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว พิสูจน์ความถูกต้องว่าสังคมนิยมนั้นไม่ใช่ความยากจนที่ทัดเทียมกันอีกต่อไป

ความจริงบนแผ่นดินใหญ่ของประเทศจีนได้ปรากฏต่อชาวโลกโดยไม่อาจมีข้อทักท้วงโต้แย้งสงสัยใดๆ ได้ว่าลัทธิสังคมนิยมแบบจีนเป็นวิทยาศาสตร์ ถูกตรงตามลัทธิมาร์กเลนินและความคิดเหมาเจ๋อตง บนพัฒนาการใหม่ของความเป็นจริงของจีนนั้น สามารถสร้างความเจริญรุ่งเรือง ความเสมอภาค ความอยู่เย็นเป็นสุข และความมั่นคงอย่างยั่งยืนได้ ทั้งบนผืนแผ่นดินใหญ่ และทั้งภูมิภาค ตลอดจนประชาคมทั่วโลกด้วย

ความรุ่งเรืองและความถดถอยที่ปรากฏชัดบนสองฝั่งฟากจีน-ไต้หวัน เป็นความจริงที่ประชาชาติจีนทั้งบนแผ่นดินใหญ่และในมณฑลไต้หวันต่างรู้เห็นกันทั่ว เช่นเดียวกับประชาคมโลกทั้งปวง

ปฏิบัติการที่เป็นจริงจากทฤษฎีของเติ้งเสี่ยวผิงอีกเรื่องหนึ่งก็คือการรวมฮ่องกงและมาเก๊าเข้ากับจีนอย่างสันติบนหลักทฤษฎี “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ของเติ้งเสี่ยวผิงนั้น ได้พิสูจน์ต่อชาวโลกแล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

ลัทธิมาร์กเลนิน ความคิดเหมาเจ๋อตง และทฤษฎีของเติ้งเสี่ยวผิง ในเรื่อง “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ได้เปิดปรากฏการณ์ใหม่ทางรัฐศาสตร์ ทางการปกครองและการบริหารจัดการขึ้นในโลก ประเทศหนึ่งมีสองระบบ มีความสัมพันธ์และความสัมพัทธ์ตามหลักทฤษฎีเอกภาพแห่งความขัดแย้งนั้น ไม่เพียงแต่สามารถดำรงความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้านเอาไว้ได้เท่านั้น หากยังสามารถพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้าและความมั่นคงอย่างมีพลังยิ่ง

บทเรียนของฮ่องกง มาเก๊า ย่อมส่งผลสะเทือนต่อประชาชนจีนบนเกาะไต้หวันโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเมื่อประกอบเข้ากับการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของเฉินสุยเปี่ยนและพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา จึงทำให้สถานการณ์บนเกาะไต้หวันเปลี่ยนแปลงไป

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2550 มีการเลือกตั้งผู้บริหารการปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วทั้งเกาะไต้หวัน ปรากฏว่าพรรคก๊กมินตั๋งได้รับชัยชนะถึง 14 เขต และพรรคพันธมิตรของพรรคก๊กมินตั๋งได้รับชัยชนะอีก 2 พื้นที่ เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่กินพื้นที่กว่า 2 ใน 3 ของไต้หวัน เป็นปรากฏการณ์ที่สะเทือนขวัญของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

มันไม่ใช่เรื่องน่าสะเทือนขวัญหรือน่าแปลกใจอะไร เพราะมันเป็นความจริงที่จะต้องเกิดขึ้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว มันเป็นแค่ผลของเหตุที่ก่อตัวมาอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

และแน่นอนว่ามันย่อมเป็นปรากฏการณ์ของผลที่จะเกิดขึ้นในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติและประธานาธิบดีของไต้หวันด้วย

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวันที่ 12 มกราคม 2551 นั้นได้มีการทำโพลสำรวจ ก็ปรากฏว่าพรรคก๊กมินตั๋งได้รับชัยชนะเหนือพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าอย่างเด็ดขาด

แม้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 22 มีนาคม 2551 ก็ได้มีการทำโพลสำรวจเช่นเดียวกัน ปรากฏว่านายหม่าอิงจิ่ว และนายเสี่ยวว่านฉาง ผู้สมัครเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีของพรรคก๊กมินตั๋งได้รับความนิยมสูงถึง 45% เหนือกว่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า

สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น มีผู้ที่จะสมัครรวม 4 คน คือ นายซูเจงชาง นายกรัฐมนตรีปัจจุบัน, นายแฟรงเซียะ, นายหยูฉีกุน และนายหม่าอิงจิ่ว

สามคนแรกเป็นพวกพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ซึ่งจะต้องแข่งกันเองก่อนว่าใครจะได้รับการสนับสนุนให้เป็นผู้สมัครประธานาธิบดี โดยนายหม่าอิงจิ่วเป็นอดีตผู้นำพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งคงจะเป็นตัวเก็งของพรรคก๊กมินตั๋ง

ดังนั้นแนวโน้มคู่แข่งที่สำคัญก็คงเป็นพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้ากับพรรคก๊กมินตั๋ง โดยมีตัวบุคคลคือนายชูเจงชาง หรือนายหยูฉีกุน จากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า แข่งกับนายหม่าอิงจิ่วจากพรรคก๊กมินตั๋ง

ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นจะส่งผลต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และย่อมส่งผลต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นลำดับไปด้วย ดังนั้นจึงส่อแนวโน้มว่าพรรคก๊กมินตั๋งซึ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศแล้ว น่าจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและประธานาธิบดีด้วย

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้ายังคงเสนอนโยบายที่ผิดพลาดอยู่เหมือนเดิมที่แม้จะไม่พูดชัดๆ แต่ความหมายก็คือแยกประเทศ พร้อมทำสงคราม และสวามิภักดิ์ต่อสหรัฐฯ

ในขณะที่พรรคก๊กมินตั๋งก็ได้เสนอ “นโยบาย 3 ไม่” คือ ไม่รวมประเทศ ไม่ประกาศเอกราช ไม่ทำสงคราม โดยมีแนวทางนโยบายว่าปัญหาสองฟากฝั่งจีน-ไต้หวันเป็นเรื่องที่คนจีนต้องแก้ไขกันเอง สหรัฐอเมริกาไม่เกี่ยว

นโยบายหลักของทั้งสองพรรคในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ประจักษ์ชัดเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่คนไต้หวันจะเลือกอนาคตของตนเอง

คือเลือกอนาคตที่จะสงบสุขสันติ เจริญรุ่งเรือง และมีความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของประชาชาติจีน หรือว่าจะเลือกอนาคตที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เสื่อมทรุด และสงคราม

มีแต่พวกเฉินสุยเปี่ยนและพวกบ้าคลั่งที่ไม่คำนึงถึงประเทศชาติและประชาชนเท่านั้นที่ยังคงเพ้อฝันว่าไต้หวันจะทำสงครามชนะจีนได้ หรือว่าสหรัฐจะคุ้มกะลาหัวตัวเองได้

รายได้ประชาชาติไต้หวันเท่าใดต่อเท่าใดเข้าไปแล้วที่ถูกทับถมเข้าไปเป็นเศษเหล็กแห่งคลังอาวุธ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประหัตประหารพี่น้องร่วมชาติของตนเอง ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่พวกพรรคก๊กมินตั๋งทั้งบนเกาะไต้หวันและในประเทศไทยก็เข้าใจเป็นอันดีแล้ว จึงไม่มีทางที่ไต้หวันจะทำสงครามชนะจีนได้

และเวลานี้สหรัฐอเมริกาก็ไม่บ้าตามเฉินสุยเปี่ยนอีกแล้ว จึงได้คัดค้านกลอุบายหลอกลวงประชาชนบนเกาะไต้หวันที่จะให้ลงประชามติเพื่อให้ไต้หวันสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติจนเกิดความขัดแย้งที่หนักหน่วงขึ้นอีกทางหนึ่ง

เฉินสุยเปี่ยนพยายามที่จะแยกประเทศมาโดยลำดับ และหนึ่งในกลวิธีก็คือการสมัครเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ซึ่งไม่เคยประสบความสำเร็จ และจะไม่มีทางประสบความสำเร็จ

มาคราวนี้รู้ตัวดีว่าจะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทุกระดับ จึงหลอกคนไต้หวันให้มีการลงประชามติว่าจะสมัครเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติหรือไม่ ควบคู่ไปกับการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยหวังจะดึงเอาความอยากเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติมาหลอกลวงและช่วงชิงคะแนนเสียง

ความจริงประเทศจีนก็เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติอยู่แล้ว ไม่จำเป็นเลยที่ไต้หวันจะต้องไปสมัครเป็นสมาชิกอีก และไม่มีทางที่ประเทศเดียวกันจะเป็นสมาชิกถึงสองที่นั่ง นี่เป็นลูกไม้หรือความบ้าบอคอแตกของพวกเฉินสุยเปี่ยนเท่านั้น

นโยบาย 3 ไม่ ของพรรคก๊กมินตั๋ง ในการเลือกตั้งคราวนี้และแนวทางที่ปัญหาจีน-ไต้หวันเป็นเรื่องที่คนจีนต้องจัดการกันเอง คือปรากฏการณ์ใหม่ของความปรองดองสมานฉันท์ของสองพรรค

และมีแนวโน้มว่าน่าจะประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อเรื่องของคนจีนแล้วคนจีนเห็นพ้องต้องกันที่จะจัดการกันเองโดยไม่ให้คนนอกเข้ามาเกี่ยวข้องแทรกแซง เรื่องของสายเลือด มาตุภูมิ ย่อมมีข้อยุติที่ดีและสันติอย่างแน่นอน

เราจึงหวังที่จะเห็นคนไต้หวันเลือกอนาคตที่จะเกิดความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง ของประชาชาติจีน ของชาวเอเชีย และของชาวโลกในการเลือกตั้งคราวนี้

นโยบาย 3 ไม่ คือ ไม่รวมประเทศ ไม่ประกาศเอกราช ไม่ทำสงคราม สามารถถอดสมการออกมาได้เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น คือ “หนึ่งร่วม” นั่นคือพัฒนาการใหม่ของทฤษฎี “หนึ่งประเทศ สองระบบ” แต่จะร่วมกันแบบไหน อย่างไร คนไทยเราเป็นคนนอก ไม่มีสิทธิ์เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของคนจีนที่ต้องว่ากันเอง

เคยฟังนายพลหลิวหัวชิงอดีตรองประธานคณะกรรมการการทหาร กองทัพปลดแอกประชาชนจีน พูดให้ฟังครั้งหนึ่งว่าเรื่องจีน-ไต้หวันนั้น ถ้าสหรัฐอเมริกาไม่เข้ามาแทรกแซงแล้ว คนจีนก็สามารถแก้ไขปัญหาของตนเองได้ภายในวันเดียวเท่านั้น

ในวันนั้นไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างไร แต่วันนี้จากนโยบาย 3 ไม่ ที่จะกลายเป็นหนึ่งร่วมของพรรคก๊กมินตั๋งได้เปิดแนวโน้มใหม่ว่าคำพูดของนายพลหลิวหัวชิงกำลังจะปรากฏเป็นจริงขึ้นมาแล้ว.
กำลังโหลดความคิดเห็น