xs
xsm
sm
md
lg

8นายกฯฟันธง“ปีหนู”เศรษฐกิจยังรำไร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ส่องเศรษฐกิจผ่านมุมมองการวิเคราะห์ 8 นายกสมาคมใหญ่ แม้นว่าจะมีหลายมุมมอง ทั้งดีและไม่ดีต่างกันไปตามแต่ละธุรกิจ แต่สรุปได้ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2551 ยังไม่สดใสเท่าใดนัก อย่างเก่งแค่ประคองตัว ดีกว่านั้นคือการฝันว่าจะเห็นแสงสว่างขึ้นมาบ้าง

ปี 2551 ยังเป็นปีที่ผู้ประกอบการธุรกิจภาคเอกชนทั้งหลาย ยังคงหวั่นวิตกถึง อุปสรรคและวิบากกรรมต่างๆที่ยังคงต้องเผชิญไม่รู้จบสิ้น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจปีนี้ ใช่ว่าจะดีขึ้น ยังไม่มีสัญญาณดีที่ปรากฏเลย
แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งเรียบร้อยไปแล้ว และมีรัฐบาลชุดใหม่ก็ตาม แต่ก็ใช่ว่า เศรษฐกิจไทยจะเข้ารูปเข้ารอยเหมือนเดิม เพราะยังต้องการเวลาเยียวยาอีกนาน
จึงเกิดคำถามขึ้นว่า ปีหนู จะเป็นปีหนูไฟ ที่เผาจริง หรือไม่

“ผู้จัดการรายวัน” ฉบับนี้ ได้สัมภาษณ์พิเศษ นายกสมาคมฯหลายสมาคม ที่มีบทบาทต่อวงการธุรกิจของไทย เพื่อวิเคราะห์ และให้มุมมองต่อภาพรวมของเศรษฐกิจในปี 2551 นี้ รวมทั้ง แนะวิธีการปรับตัวเพื่อรับมือกับ สิ่งที่ต้องเผชิญหน้าในปี 2551 นี้

** “นลินี ไพบูลย์”  
นายกสมาคมการขายตรงไทย
แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์  นายกสมาคมการขายตรงไทย และประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2551 นี้ คาดว่าคงจะไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงหรือดีขึ้นไปกว่าปี 2550 ที่ผ่านมาเท่าใดนัก แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือผลกระทบที่ยังมีต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่ยังแก้ไขไม่เสร็จ เพราะว่ามีหลายปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข จึงหมักหมมตกต่อมาถึงปีนี้
โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาตลอด ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวไม่หยุด รวมถึงปัญหาทาวด้านการส่งออกของภาครัฐและเอกชนด้วย า ซึ่งยังคงเป็นปัญหาหลักต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในส่วนของอุปสรรคหรือปัญหาใหม่ๆที่จะเกิดอีกนั้น คงไม่ได้มองตรงนั้นแล้ว เพราะที่มีอยู่นี้ก็ถือว่าเต็มที่แล้ว
“มีคนพูดว่าปีนี้จะเผาจริงหรือเผาหลอก เราไม่รู้ แต่ก็มีส่วนที่ถูกเหมือนกันว่าจะเผาจริงแล้ว แต่ถ้ามองอย่างนั้นก็อาจจะรุนแรงไปหน่อย แต่คิดว่าปีหน้ากำลังซื้อยังไม่กระเตื้องมากเท่าใด”
อย่างไรก็ตาม การที่จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งกว่าที่จะเข้ารูปเข้ารอยลงตัวและเริ่มงานได้อย่างจริงจังก็คงไม่พ้นไตรมาสที่หนึ่งปีนี้ คงต้องจับตาดูว่าจะเป็นอย่างไรส่วนของนโยบายหลักๆ
นายกสมาคมการขายตรงไทย มองว่า สิ่งที่รัฐบาลจะทำก่อนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของนโยบายต่างๆที่หาเสียงกับประชาชนโดยเฉพาะเรื่องประชานิยมทั้งหลาย คิดว่าในส่วนของภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ คงจะเป็นส่วนถัดมาที่รัฐบาลจะเข้ามาแก้ไขหรือมากระตุ้น ส่วนใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นก็ต้องขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองอาชีพหรือคนที่เคยเป็นนักธุรกิจมาก่อนก็ตาม
“ตอนนี้เอกชนต้องดูตัวเองก่อน อะไรที่เราสามารถทำได้ก็ทำไปก่อน ทำได้เองช่วยตัวเองไว้ก่อน เราต้องพึ่งตัวเองให้มากขึ้นในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการลดต้นทุนดำเนินการ การปรับปรุงการผลิตต่างๆ การขยายตลาดใหม่ๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ และควรจะต้องทำการวิเคราะห์ตลาดและลูกค้าให้มากขึ้น พยายามยืนในจุดที่แตกต่างจากคู่แข่งให้มากที่สุด” นายกสมาคมการขายตรงไทย กล่าว
i. สำหรับธุรกิจขายตรงนั้น ก็ยังคงคาดว่าจะมีอัตราเติบโตประมาณ 10% ได้ในปีนี้ เช่นเดียวกับปีที่แล้ว สถานการณ์ตลาดขายตรงโดยรวมยังมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่จะเป็นตลาดที่มีผู้สนใจเข้ามาสมัครเป็นนักขายตรงมากขึ้น เนื่องมาจากการบีบรัดทางเศรษฐกิจ ที่จะทำให้ธุรกิจขายตรงดีขึ้น เพราะคนต้องการหารายได้เสริมมากขึ้น

** สมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล”
นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย
นายสมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจใน 2551 นี้ว่า หลังจากที่ประเทศไทยได้รัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ สิ่งที่ควรดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือ เรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับคืนมา อีกทั้งภาครัฐควรเร่งผลักดันโครงการเมกะโปรเจกต์ให้เร็วที่สุด ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับกำลังการซื้อของผู้บริโภคของคนไทย มองว่ายังมีกำลังการซื้อที่ดีอยู่ แม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ได้ดีมากนักก็ตาม แต่ปัญหาคือผู้บริโภคไม่กล้านำเงินออกมาจับจ่ายใช้สอย แม้ว่าจะมีการจัดโปรโมชันจากห้างสรรพสินค้า หรือลด แลก แจก แถม ของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นจำนวนมากก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะคนไทยขาดความมั่นใจเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจไทยในอนาคตว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไรมากกว่า
นายสมบุญ กล่าวเพิ่มเติมถึงทิศทางราคาน้ำมันในปีหน้านี้ว่า โอกาสที่ราคาจะปรับเพิ่มขึ้นมีสูง ซึ่งหากปรับขึ้นก็จะมีผลต่อราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้น เชื่อว่าผู้บริโภคน่าจะปรับตัวและยอมรับได้ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ สำหรับในปีหน้านี้การดำเนินธุรกิจการตลาด เพื่อให้มีผลกำไรเพิ่มมากขึ้นเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทางผู้ประกอบการจะต้องปรับองค์กรให้มีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการลดต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มว่าจะปรับเพิ่มขึ้น
“แนวโน้มสินค้าดาวรุ่งในปี 2551 ที่คาดว่าจะได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคไทยไม่ว่าทิศทางเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีก็ตาม ก็คือ สินค้ากลุ่มเพื่อความสวยความงามทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอาง สกินแคร์ ส่วนสินค้าเพื่อสุขภาพก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าจับตามอง เพราะกระแสสุขภาพในปี 2551 เชื่อว่ายังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากคนไทยหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น”
นายสมบุญ กล่าวในฐานะเป็นนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย โดยแสดงวิสัยทัศน์ว่ากรณีที่ภาวะเศรษฐกิจประเทศไทยปี 2551 ไม่ได้ดีมากนัก ดังนั้นการมุ่งเน้นการดำเนินการตลาด Red Ocean หรือการแข่งขันกันในตลาดที่มีอยู่ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของผู้ประกอบการที่มีอยู่แล้ว แต่หันมาเน้นการพัฒนาและปรับปรุงสินค้าให้มีประสิทธิภาพให้ดีขึ้นน่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ดีและเป็นคำตอบหนึ่งให้กับผู้ประกอบการ
แต่ที่ผ่านนักการตลาดโดยมากจะหันไปมุ่งเน้น Blue Ocean หรือการมุ่งหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ได้เป็นคำตอบเสมอ อีกทั้งการสร้างตลาดใหม่ๆ บางครั้งยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไปสำหรับผู้บริโภคได้ และประการสำคัญ คือ ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี พฤติกรรมของผู้บริโภคไม่ต้องการทดลองสินค้าใหม่ๆ
         
** “สมชาย พรรัตนเจริญ”
นายกสมาคมค้าปลีกและค้าส่งไทย
นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย กล่าวกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ในปี 2551 ยังมองไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ดีขึ้นในภาคเศรษฐกิจ แม้ว่าจะเลือกตั้งแล้วก็ตาม เพราะราคาน้ำมันยังขยับตัวขึ้นอยู่ ภาคการเมืองก็ยังไม่ลงตัว หากมองในภาคของอุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่ง ก็ยังคงเหมือนเดิม ผู้ประกอบการของไทยยังคงถูกรุกรานจากผู้ประกอบการค้าปลีกต่างชาติยักษ์ใหญ่เหมือนเช่นที่ผ่านมา โมเดิร์นเทรดยังคงครอบงำตลาดในไทยอยู่ ซึ่งธุรกิจค้าปลีกค้าส่งถือเป็นภาคที่ทำเม็ดเงินให้กับประเทศไม่ต่ำกว่า 20% ของรายได้รวมในประเทศ
ส่วนร่างพ.ร.บ.ค้าปลีกฯ นั้นก็ยังไม่แล้วเสร็จ ต้องรอรัฐบาลใหม่ ซึ่งตรงนี้ อยู่ที่ว่า ผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาต่อไป จะเห็นความสำคัญมากน้อยแค่ไหน จะพิจารณาสานต่อหรือจะเริ่มกันใหม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไป
ทางด้านธุรกิจค้าปลีกค้าส่งนั้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภครวมทั้งสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป เนื่องจากผู้บริโภคจะหันมาซื้อสินค้าที่ร้านค้าปลีกใกล้บ้านมากขึ้น เพื่อเป็นการประหยัด ขณะที่ปี 2551 นี้สินค้าก็เรียงหน้าปรับราคาขึ้นกันจำนวนมาก ยิ่งสร้างภาระใหกับผู้บริโภคหนักขึ้นไปอีก

** “เกษม อินทร์แก้ว”
นายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย
นายเกษม อินทร์แก้ว นายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย กล่าวกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า หลังจากที่การเลือกตั้งได้ผ่านพ้นไปแล้ว สถานการณ์ทางการเมืองจะออกหัวหรือก้อย ก็ไม่สำคัญ ใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็แล้วแต่ เพียงหวังว่าจะไม่เกิดการแทรกแซงในรัฐบาลชุดใหม่นี้ก็พอ ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้เศรษฐกิจ ให้กลับมาสู่ภาวะปกติได้เร็ววัน
สำหรับกลุ่มธุรกิจเคเบิลทั้งหมด มองว่าแนวโน้มที่พรบ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ จะถูกนำมาใช้ คาดว่าไม่เกิน 3 เดือนนับจากนี้ หลังจากที่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้ผ่านวาระที่ 2 และ 3 ในที่ประชุม ครม.แล้ว ซึ่งหากมีการนำกฎหมายนี้ออกมาใช้จริง จะเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจเคเบิลทีวีเป็นอย่างมาก ยิ่งสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีแบบนี้ด้วยแล้ว คาดว่าธุรกิจเคเบิลทีวีจะเติบโตสูงขึ้นอีก 1-2 เท่าตัว จากปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่ารวมกว่า 7,000 ล้านบาท (ไม่รวม ทรู วิชั่นส์)
“ผมหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะหันมาให้ความสำคัญและส่งเสริมธุรกิจเคเบิลทีวีมากยิ่งขึ้น เพราะในอนาคตหากมีกฎหมายมารองรับแล้ว ตลาดนี้จะมีมูลค่ามหาศาลทีเดียว หรือ ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพราะเมื่อมีกฎหมายเข้ามารองรับ ก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ในการที่จะเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้มีสูงขึ้นด้วย ซึ่งปัจจุบันเคเบิลทีวี ในระดับเทศบาล มีมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงานตามมาด้วย จึงอยากให้รัฐบาลชุดใหม่ผลักดันธุรกิจเคเบิลทีวี สู่ระดับภาคอุตสาหกรรมต่อไป”

*** “เสริมคุณ คุณาวงศ์”
นายกสมาคมสร้างสรรค์การจัดงาน
นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ นายกสมาคมสร้างสรรค์การจัดงาน กล่าวกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ปัญหาใหญ่ของปีนี้ก็ยังเป็นเรื่องของการเมืองเป็นหลัก เพราะการเมืองเป็นหัวใจของทุกอย่าง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจด้วย เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ก็อยู่กับการเมือง หากการเมืองมีเสถียรภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติได้ ก็จะเกิดการลงทุนตามมา ซึ่งหากการเมืองสามารถรอมชอมกันได้ก็จะเป็นผลดี
“ผมมองว่า ปีที่แล้วคือปี 2550 ถือเป็นปีที่ตกต่ำหนักที่สุดแล้ว ใกล้เคียงกับเมื่อช่วงปี 2540 ที่เกิดฟองสบู่แตก ธุรกิจรายเล็กรายย่อยปิดตัวกันไปเป็นแถว ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่ ก็พอประคองตัวไปได้ ส่วนปีนี้ไม่อยากมองว่าเผาหลอกหรือว่าเผาจริง แต่คาดว่ามันน่าจะดีขึ้นมาบ้างกว่าปีที่แล้ว”
สิ่งเร่งด่วนที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องรีบดำเนินการ นายเสริมคุณระบุว่า การสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา โดยต้องเร่งแก้ไขปัญหาการเมืองไปพร้อมๆกับปัญหาเศรษฐกิจ
ขณะที่ภาคเอกชนนั้น แม้ว่าจะต้องหนักและเหนื่อยไม่แพ้ปีที่แล้ว แต่นายเสริมคุณได้ชี้แนวทางไว้ว่า สิ่งที่ธุรกิจภาคเอกชนต้องคำนึงถึงปีนี้คือ ต้องมองดูตัวเองว่า บริษัทมีศักยภาพขององค์กรมากน้อยแค่ไหน สามารถรับงานได้ปริมาณและมูลค่ามากน้อยเท่าใด มีความสัมพันธ์กับยอดขายที่ตั้งไว้หรือไม่
นอกจากนั้นแล้วยังไม่ควรไปหวังเงินจากรัฐบาลโดยเฉพาะในธุรกิจจัดอีเว้นต์ เพราะว่านโยบาและการใช้งประมาณยังไม่ชัดเจน และ 3. ผู้ประกอบการอีเวนท์ต้องทำตลาดแบบนิชมาร์เก็ต ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เพราะจะทำให้เกิดศักยภาพมากขึ้น
โดยปีนี้ แนวโน้มที่ภาคเอกชนจะจัดงานอีเวนต์มากกว่านั้นมีแน่นอน ดังนั้นเงินและรายได้จะไหลมาจากภาคเอกชนเป็นหลักที่จะมีการเปิดตัวสินค้าและจัดกิจกรรมใหม่ๆ

** “ริสรวล อร่ามเจริญ”
นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย

นางริสรวล อร่ามเจริญ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในความคิดเห็นส่วนตัว หลังจากที่ผ่านพ้นการเลือกตั้งในวันที่ 23ธ.ค.ที่ผ่านมา ยอมรับว่าจนถึงวินาทีนี้ รู้สึกสถานการณ์ทางการเมืองดูจะน่ากลัวกว่า ก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเสียอีก เพราะก่อนหน้านั้นยังมีให้ได้ลุ้นว่า จะออกหัวหรือออกก้อย พรรคใดจะมาเป็นรัฐบาล แต่หลังการเลือกตั้งจบลง รู้สึกเหมือนเจอทางตัน เพราะยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะจัดตั้งออกมาอย่างไร ถึงแม้ว่าพรรคพลังประชาชนจะชนะการเลือกตั้งก็ตาม แต่อีกพรรคก็เชื่อมั่นในพรรคของตัวเองเช่นกัน
เมื่อมองออกไปในภาพรวมของประเทศด้วยแล้ว จะยิ่งรู้สึกว่าคนไทยในวันนี้ ไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อีกต่อไป ดูจากคนกรุงเทพก็มีใจให้พรรคประชาธิปัตย์เสียเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ต่างจังหวัดพรรคพลังประชาชนครองใจได้เกือบหมด จึงมองเห็นความขัดแย้งได้ชัดเจน ถึงแม้ทุกคนจะต้องการให้สถานการณ์ทางการเมืองมีความนิ่งเหมือนกัน
แน่นอนว่าปัญหาที่จะตามมา โดยเฉพาะในส่วนของภาคธุรกิจสิ่งพิมพ์ ที่ตนเกี่ยวข้องโดยตรง สามารถกล่าวได้ว่า ปีหน้าภาพรวมการเติบโตของธุรกิจสิ่งพิมพ์จะค่อนข้างลำบาก จากเดิมที่เคยทำได้ปีละ 15-20% ปีหน้าอาจจะไม่ถึง 10% ซ้ำ หรือสามารถสร้างการเติบโตได้เพียงหลักเดียวเท่านั้น ขณะเดียวกัน มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้าจะยิ่งแย่กว่าปีนี้อีกด้วย จากสาเหตุหลักที่มาจากการปัญหาทางการเมืองที่ดูแล้วมีแต่จะเลวร้ายลงกว่าเดิม
ในส่วนของธุรกิจสิ่งพิมพ์ เชื่อว่าแต่ละสำนักพิมพ์ จะต้องมีการปรับตัวกันมากขึ้น ต้องมีความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจอย่างสูง ถึงแม้ว่าตัวเลขการออกหนังสือใหม่คาดว่าจะเท่ากับปีนี้ เฉลี่ยเดือนละ 30 เล่มก็ตาม แต่หนังสือที่จะออกมาจะต้องมีคุณภาพจึงจะอยู่ได้ ในสถานการณ์แบบนี้
** “เจริญ วังอนานนท์”
นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.)
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทย ในปี 2551  น่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะ ความตึงเครียดจากปีก่อนเริ่มผ่อนคลายลง เพราะ มีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจการลงทุน จึงทำให้คนไทยหมดความกังวล และ หันมาจับจ่ายใช้เงินเพื่อการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้นในส่วนของภาคราชการ ก็สามารถออกมาใช้เงินงบประมาณ ในส่วนของการจัดสัมมนา ซึ่งตรงนี้ถือเป็นตลาดสำคัญที่จะเข้ามากระตุ้นการเดินทางภายในประเทศให้คึกคักขึ้น ก่อให้เกิดการกระจายรายได้อย่างแท้จริง
โดยส่วนตัวมีความเห็นว่า รัฐบาลชุดใหม่ ควรให้ความสำคัญกับการกระตุ้นตลาดการเดินทางภายในประเทศให้มากขึ้น เพราะจะช่วยในเรื่องของการหมุนเวียนเงินตราภายในประเทศอย่างแท้จริง และเป็นการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน แม้มีเหตุที่เป็นปัจจัยลบภายนอกเกิดขึ้น คนไทยก็ยังเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ เศรษฐกิจมีการหมุนเวียน  ซึ่งต้องเข้าใจว่าท่องเที่ยว เป็นอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวกับทุนสถานการณ์ จึงต้องสร้างฐานภายในประเทศให้แข็งแกร่ง
“เห็นได้ว่า ประเทศที่เจริญและมีการพัฒนาแล้ว จะส่งเสริมให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศให้มากขึ้น เช่น ญี่ปุ่น แม้จะเป็นประเทศไฮเทคโนโลยี  เขาก็ยังส่งเสริมให้ประชากรเขาเที่ยวในประเทศ เงินตราก็ไม่รั่วไหล และ ยังสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศให้เกิดการหมุนเวียน” นายเจริญ กล่าว

** “อภิชาติ สังฆอารี”
นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า )
นายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า ) กล่าวว่า  สถานการณ์นักท่องเที่ยว ปี 2551จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา หากรัฐบาลใหม่ สามารถยุติปัญหาเรื่องการชุมนุม โดยจะต้องไม่เกิดความวุ่นวายต่างๆขึ้นในประเทศไทยอีก สำหรับปัจจัยบวกในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปี 2551 นี้  ยังคงเป็นเรื่องของความรู้สึกของนักท่องเที่ยวที่รู้สึกว่ามีความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ทั้งเรื่องการบริการ อาหาร และที่พัก เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อัตราค่าที่พักโรแงรมของไทย ยังถูกกว่าของประเทศเพื่อนบ้าน
กำลังโหลดความคิดเห็น