ผู้จัดการรายวัน - แบงก์-จับตานโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ เตือนหากเน้นประชานิยมอาจสร้างปัญหาระยะยาวให้ประเทศด้านแหล่งเงินทุนที่มาจากเงินกู้ แนะเร่งเคลียร์กฎเกณฑ์ที่ยังไม่ชัดเจนเพื่อดึงความเชื่อมั่น-การลงทุน คาดผู้ที่มานั่งรมว.คลังมาจากคนนอก ระบุควรเป็นผู้มีความรู้สามารถดูแลเศรษฐกิจมหภาคและประสานงานระหว่างกระทรวงเศรษฐกิจต่างๆได้เป็นอย่างดี
นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นรายละเอียดที่ชัดเจนในนโยบายของพรรคที่คาดว่าจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่เท่าที่ดูจากการหาเสียงของทุกพรรคแล้ว จะมีจุดที่เหมือนกันอยู่จุดหนึ่งก็คือจะมีนโยบายประชานิยมซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากต้องใช้เงินทุนสูง ขณะที่รัฐบาลคงจะไม่มีแนวทางที่ปรับขึ้นภาษี ดังนั้น แหล่งเงินทุนก็อาจจะมาจากเงินกู้ ซึ่งจะสร้างปัญหาระยะยาวให้ประเทศ
"ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดของนโยบายเศรษฐกิจของพรรคพลังประชาชนที่คาดว่าจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แล้วก็ยังต้องดูถึงตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกด้วย แต่นโยบายหนึ่งที่ทุกพรรคมีและได้หาเสียงกันไว้ก็คือนโยบายประชานิยม ที่จะต้องทำให้ได้ตามที่บอกไว้ แล้วก็ต้องระวังในเรื่องแหล่งที่มาของเงินทุนที่จะนำมาใช้ด้วย"นายบันลือศักดิ์กล่าว
สำหรับในระยะสั้นนโยบายที่คาดว่าจะต้องดำเนินการแน่นอนเป็นเรื่องการแก้ไขงประมาณประจำปี 2551 ซึ่งน่าจะต้องมีการเพิ่มวงเงินขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก เพื่อเพิ่มเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มการใช้จ่ายในการลงทุนของภาครัฐ ทดแทนการส่งออกที่ชะลอตัวลง
นอกจากนี้ รัฐบาลชุดใหม่ควรให้ความชัดเจนในหลักเกณฑ์ต่างๆที่ยังค้างอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกรณีกันสำรอง 30% การแก้ไขพ.ร.บ.ธุกริจต่างด้าว และพ.ร.บ.ค้าปลีก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน ซึ่งในเรื่องดังกล่าวภายในครึ่งปีแรกน่าจะมีความชัดเจนให้สังคมแล้ว
นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ รองคณบดีฝ่ายวางแผน คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตบริหารศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหาหรือภาระของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดใหม่นั้น คือจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับ 3 ส่วนที่เกี่ยวข้องก็คือ ภาคประชาชน จะต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่นจึงจะมีการใช้จ่ายมากขึ้น ภาคเอกชน รวมถึงภาคต่างประเทศ จะต้องมีความชัดเจนด้านนโยบายและกฎเกณฑ์ต่างๆเพื่อให้ความมั่นใจและเอื้อต่อการลงทุน
"จากปีนี้เรายังคงต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงทั้งจากภายนอกก็คือเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจนถึงไตรมาสแรกปีนี้ ขณะที่ปัจจัยภายในยังมีปัญหาด้านความเชื่อมั่นที่ทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนชะลอตัว ซึ่งในส่วนนี้ภาครัฐจะเป็นผู้นำร่องในการลงทุนผ่านเครื่องมือที่มีก็คืองบประมาณ รวมทั้งยังต้องระมัดระวังปัญหาด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ด้วย"นายมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลใหม่ควรจะเร่งดำเนินการเป็นส่วนของการลงทุนในโครงการใหญ่ ที่ต้องเร่งผลักดันให้เกิดผล เพื่อกระจายการลงทุนที่จะต่อเนื่องไปถึงภาคเอกชนด้วย ขณะเดียวกันก็จะต้องประกาศทิศทางนโยบายทางเศรษฐกิจและการกำกับดูแลให้ชัดเจนทั้งในระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาว รวมทั้งมีความชัดเจนในหลักเกณฑ์ต่างๆกรณีกฎหมายค้าปลีก กฎหมายธุรกิจต่างด้าว และควรมีการผลักพ.ร.บ.การร่วมทุน ที่จะทำให้เกิดการลงทุนทั้งในภาครัฐและเอกชน
สำหรับการดำเนินนโยบายประชานิยมนั้น นายมนตรีกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านไหนสุดท้ายเป้าหมายก็จะมาลงที่ประชาชนอยู่ดี แต่ขึ้นอยู่กับว่าวิธีการที่นำมาใช้ เมื่อใช้แล้วประชาชนจะสามารถนำสิ่งที่ได้ไปขับเคลื่อนต่อไปได้หรือเปล่า ขณะที่นโยบายในกึ่งสวัสดิการก็จะต้องดูถึงกลไกและการเก็บภาษีที่จะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้นโยบายเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"เรื่องของนโยบายประชานิยมนั้น ที่จริงแล้วก็มีหลายประเทศนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนฟรี รักษาฟรี แต่จะต้องมีการทำระบบให้ดี ในเรื่องของเงินทุนที่จะนำมาใช้ มีการเก็บภาษีในระดับที่สูง ก็จะทำให้ระบบสวัสดิการมีประสิทธิภาพ แต่ของบ้านเราตอนนี้ยังทำในระดับนั้นไม่ได้”นายมนตรีกล่าว
กรณีผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น ควรเป็นผู้มีความรู้ความสามารถด้านเศรษฐกิจมหภาค ขณะเดียวกันก็ต้องมีความเข้าใจในธุรกิจของภาคเอกชนพอสมควรด้วย เพราะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะต้องมีความเชื่อมโยงกันทั้งสองฝ่าย เพื่อผลักดันให้การขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นอย่างมีคุณภาพ หลังจากที่หยุดนิ่งมาเกือบ 2 ปี อัตราการเติบโตของจีดีพีอยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆในภูมิภาคเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผู้ที่จะเข้ามานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังน่าจะไม่ใช่ผู้ที่เป็นสส.แต่น่าจะเป็นบุคคลจากภายนอกที่อยู่ในโควต้าของพรรคพลังประชาชน เนื่องจากเท่าที่ดูแล้วผู้ที่สส.ในสังกัดพรรคดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นแบบแบ่งเขตหรือสัดส่วนยังไม่มีคนที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะมาดำรงตำแหน่งดังกล่าว
"คนที่จะมาเป็นรมว.คลังขณะนี้ นอกจากจะต้องดูเรื่องเศรษฐกิจมหภาคแล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่ประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะกระทรวงการคลังจะเกี่ยวข้องกับกระทรวงเศรษฐกิจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นพาณิชย์ อุตสาหกรรม รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ซึ่งหากสามารถกระตุ้นด้านการท่องเที่ยวได้ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่หนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยวัดจากเม็ดเงินแล้วในส่วนทั้งการท่องเที่ยวในและนอกประเทศมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาท”นายมนตรีกล่าว
นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นรายละเอียดที่ชัดเจนในนโยบายของพรรคที่คาดว่าจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่เท่าที่ดูจากการหาเสียงของทุกพรรคแล้ว จะมีจุดที่เหมือนกันอยู่จุดหนึ่งก็คือจะมีนโยบายประชานิยมซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากต้องใช้เงินทุนสูง ขณะที่รัฐบาลคงจะไม่มีแนวทางที่ปรับขึ้นภาษี ดังนั้น แหล่งเงินทุนก็อาจจะมาจากเงินกู้ ซึ่งจะสร้างปัญหาระยะยาวให้ประเทศ
"ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดของนโยบายเศรษฐกิจของพรรคพลังประชาชนที่คาดว่าจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แล้วก็ยังต้องดูถึงตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกด้วย แต่นโยบายหนึ่งที่ทุกพรรคมีและได้หาเสียงกันไว้ก็คือนโยบายประชานิยม ที่จะต้องทำให้ได้ตามที่บอกไว้ แล้วก็ต้องระวังในเรื่องแหล่งที่มาของเงินทุนที่จะนำมาใช้ด้วย"นายบันลือศักดิ์กล่าว
สำหรับในระยะสั้นนโยบายที่คาดว่าจะต้องดำเนินการแน่นอนเป็นเรื่องการแก้ไขงประมาณประจำปี 2551 ซึ่งน่าจะต้องมีการเพิ่มวงเงินขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก เพื่อเพิ่มเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มการใช้จ่ายในการลงทุนของภาครัฐ ทดแทนการส่งออกที่ชะลอตัวลง
นอกจากนี้ รัฐบาลชุดใหม่ควรให้ความชัดเจนในหลักเกณฑ์ต่างๆที่ยังค้างอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกรณีกันสำรอง 30% การแก้ไขพ.ร.บ.ธุกริจต่างด้าว และพ.ร.บ.ค้าปลีก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน ซึ่งในเรื่องดังกล่าวภายในครึ่งปีแรกน่าจะมีความชัดเจนให้สังคมแล้ว
นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ รองคณบดีฝ่ายวางแผน คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตบริหารศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหาหรือภาระของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดใหม่นั้น คือจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับ 3 ส่วนที่เกี่ยวข้องก็คือ ภาคประชาชน จะต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่นจึงจะมีการใช้จ่ายมากขึ้น ภาคเอกชน รวมถึงภาคต่างประเทศ จะต้องมีความชัดเจนด้านนโยบายและกฎเกณฑ์ต่างๆเพื่อให้ความมั่นใจและเอื้อต่อการลงทุน
"จากปีนี้เรายังคงต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงทั้งจากภายนอกก็คือเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจนถึงไตรมาสแรกปีนี้ ขณะที่ปัจจัยภายในยังมีปัญหาด้านความเชื่อมั่นที่ทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนชะลอตัว ซึ่งในส่วนนี้ภาครัฐจะเป็นผู้นำร่องในการลงทุนผ่านเครื่องมือที่มีก็คืองบประมาณ รวมทั้งยังต้องระมัดระวังปัญหาด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ด้วย"นายมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลใหม่ควรจะเร่งดำเนินการเป็นส่วนของการลงทุนในโครงการใหญ่ ที่ต้องเร่งผลักดันให้เกิดผล เพื่อกระจายการลงทุนที่จะต่อเนื่องไปถึงภาคเอกชนด้วย ขณะเดียวกันก็จะต้องประกาศทิศทางนโยบายทางเศรษฐกิจและการกำกับดูแลให้ชัดเจนทั้งในระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาว รวมทั้งมีความชัดเจนในหลักเกณฑ์ต่างๆกรณีกฎหมายค้าปลีก กฎหมายธุรกิจต่างด้าว และควรมีการผลักพ.ร.บ.การร่วมทุน ที่จะทำให้เกิดการลงทุนทั้งในภาครัฐและเอกชน
สำหรับการดำเนินนโยบายประชานิยมนั้น นายมนตรีกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านไหนสุดท้ายเป้าหมายก็จะมาลงที่ประชาชนอยู่ดี แต่ขึ้นอยู่กับว่าวิธีการที่นำมาใช้ เมื่อใช้แล้วประชาชนจะสามารถนำสิ่งที่ได้ไปขับเคลื่อนต่อไปได้หรือเปล่า ขณะที่นโยบายในกึ่งสวัสดิการก็จะต้องดูถึงกลไกและการเก็บภาษีที่จะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้นโยบายเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"เรื่องของนโยบายประชานิยมนั้น ที่จริงแล้วก็มีหลายประเทศนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนฟรี รักษาฟรี แต่จะต้องมีการทำระบบให้ดี ในเรื่องของเงินทุนที่จะนำมาใช้ มีการเก็บภาษีในระดับที่สูง ก็จะทำให้ระบบสวัสดิการมีประสิทธิภาพ แต่ของบ้านเราตอนนี้ยังทำในระดับนั้นไม่ได้”นายมนตรีกล่าว
กรณีผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น ควรเป็นผู้มีความรู้ความสามารถด้านเศรษฐกิจมหภาค ขณะเดียวกันก็ต้องมีความเข้าใจในธุรกิจของภาคเอกชนพอสมควรด้วย เพราะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะต้องมีความเชื่อมโยงกันทั้งสองฝ่าย เพื่อผลักดันให้การขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นอย่างมีคุณภาพ หลังจากที่หยุดนิ่งมาเกือบ 2 ปี อัตราการเติบโตของจีดีพีอยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆในภูมิภาคเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผู้ที่จะเข้ามานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังน่าจะไม่ใช่ผู้ที่เป็นสส.แต่น่าจะเป็นบุคคลจากภายนอกที่อยู่ในโควต้าของพรรคพลังประชาชน เนื่องจากเท่าที่ดูแล้วผู้ที่สส.ในสังกัดพรรคดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นแบบแบ่งเขตหรือสัดส่วนยังไม่มีคนที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะมาดำรงตำแหน่งดังกล่าว
"คนที่จะมาเป็นรมว.คลังขณะนี้ นอกจากจะต้องดูเรื่องเศรษฐกิจมหภาคแล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่ประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะกระทรวงการคลังจะเกี่ยวข้องกับกระทรวงเศรษฐกิจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นพาณิชย์ อุตสาหกรรม รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ซึ่งหากสามารถกระตุ้นด้านการท่องเที่ยวได้ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่หนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยวัดจากเม็ดเงินแล้วในส่วนทั้งการท่องเที่ยวในและนอกประเทศมีมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาท”นายมนตรีกล่าว