กระทรวงการคลังรวบรวมข้อมูลโครงการต่างๆ เตรียมเสนอขุนคลังคนใหม่ประกอบการพิจารณาในนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล หวั่นตั้งสำนักงานคุ้มครองเงินฝาก อาจมีการเมืองแทรกแซง อาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ประชาชนได้
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้หน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงการคลัง ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อนำเสนอให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ รับทราบว่า กระทรวงการคลังได้ดำเนินโครงการอะไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา และมีโครงการใดที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ เนื่องจากเรื่องต่างๆ ที่ดำเนินการโดยกระทรวงการคลังถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเป็นการใช้เงินของประเทศ
ซึ่งหนึ่งในโครงการที่ได้เตรียมข้อมูลเพื่อเสนอให้กับ รมว.คลังคนใหม่ คือ โครงการอยู่ดีมีสุขเนื่องจากเป็นโครงการที่มีวงเงินงบประมาณสูงถึง 15,000 ล้านบาท แต่มียอดการเบิกจ่ายจริงเพียงหลักพันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธุ์ จุลานนท์ และอดีตรองนายกรัฐมนตรี นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ได้กำชับให้มีการเร่งรัดเบิกจ่ายเงินในโครงการนี้ในช่วงก่อนที่จะหมดวาระ
“งบประมาณสำหรับโครงการอยู่ดีมีสุข ถือเป็นวงเงินที่สูงมากเป็นหลักหมื่นล้าน แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ในรัฐบาลที่แล้ว จึงน่าเป็นห่วงว่าหากมีเงินเหลือมากรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศอาจใช้ประโยชน์จากเงินส่วนนี้ที่ยังไม่ได้มีการเบิกจ่ายออกไปมาใช้เป็นเครื่องมือสานต่อนโยบายประชานิยมได้ แต่อย่างไรก็ตาม จะมีเงินบางส่วนที่ทยอยเบิกจ่ายออกมามากพอสมควรในปีนี้”
นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2551 ที่จะถึงนี้ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันคุ้มครองเงินฝาก จะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง จะต้องคณะกรรมการกองทุนคุ้มครองเงินฝาก ตั้งสำนักงานคุ้มครองเงินฝาก โดยการจัดตั้งหน่วยงานต่างๆ ตามกฎหมายเหล่านี้ขึ้นมาจะต้องมีความละเอียดรอบคอบ
ทั้งนี้ หากให้ ธปท.แต่งตั้งคนของ ธปท.เข้ามาเป็นบอร์ด หรือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานมากเกินไปการดำเนินงานของสำนักงานคุ้มครองเงินฝาก หรือนโยบายที่ออกจากบอร์ดอาจออกมาเป็นมุมมองเดียวกันกับ ธปท.มากเกินไป หรือหากกระทรวงการคลังแต่งตั้งคนเข้าไป โดยมีการเมืองแทรกแซงมากจนเกินไป ก็อาจทำให้หน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาได้
“หน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายฉบับนี้ เชื่อได้ว่า ทั้งฝั่งแบงก์ชาติ และกระทรวงการคลังจะต้องส่งคนของตนเองเข้ามาควบคุมอย่างแน่นอน จึงน่าเป็นห่วงว่าหากหน่วยงานไม่สามารถทำงานได้อย่างอิสระผลประโยชน์ที่ควรตกสู่ประชาชนก็อาจไม่ถึงมือประชาชนอย่างเต็มที่” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้หน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงการคลัง ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อนำเสนอให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ รับทราบว่า กระทรวงการคลังได้ดำเนินโครงการอะไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา และมีโครงการใดที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ เนื่องจากเรื่องต่างๆ ที่ดำเนินการโดยกระทรวงการคลังถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเป็นการใช้เงินของประเทศ
ซึ่งหนึ่งในโครงการที่ได้เตรียมข้อมูลเพื่อเสนอให้กับ รมว.คลังคนใหม่ คือ โครงการอยู่ดีมีสุขเนื่องจากเป็นโครงการที่มีวงเงินงบประมาณสูงถึง 15,000 ล้านบาท แต่มียอดการเบิกจ่ายจริงเพียงหลักพันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธุ์ จุลานนท์ และอดีตรองนายกรัฐมนตรี นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ได้กำชับให้มีการเร่งรัดเบิกจ่ายเงินในโครงการนี้ในช่วงก่อนที่จะหมดวาระ
“งบประมาณสำหรับโครงการอยู่ดีมีสุข ถือเป็นวงเงินที่สูงมากเป็นหลักหมื่นล้าน แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ในรัฐบาลที่แล้ว จึงน่าเป็นห่วงว่าหากมีเงินเหลือมากรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศอาจใช้ประโยชน์จากเงินส่วนนี้ที่ยังไม่ได้มีการเบิกจ่ายออกไปมาใช้เป็นเครื่องมือสานต่อนโยบายประชานิยมได้ แต่อย่างไรก็ตาม จะมีเงินบางส่วนที่ทยอยเบิกจ่ายออกมามากพอสมควรในปีนี้”
นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2551 ที่จะถึงนี้ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันคุ้มครองเงินฝาก จะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง จะต้องคณะกรรมการกองทุนคุ้มครองเงินฝาก ตั้งสำนักงานคุ้มครองเงินฝาก โดยการจัดตั้งหน่วยงานต่างๆ ตามกฎหมายเหล่านี้ขึ้นมาจะต้องมีความละเอียดรอบคอบ
ทั้งนี้ หากให้ ธปท.แต่งตั้งคนของ ธปท.เข้ามาเป็นบอร์ด หรือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานมากเกินไปการดำเนินงานของสำนักงานคุ้มครองเงินฝาก หรือนโยบายที่ออกจากบอร์ดอาจออกมาเป็นมุมมองเดียวกันกับ ธปท.มากเกินไป หรือหากกระทรวงการคลังแต่งตั้งคนเข้าไป โดยมีการเมืองแทรกแซงมากจนเกินไป ก็อาจทำให้หน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาได้
“หน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายฉบับนี้ เชื่อได้ว่า ทั้งฝั่งแบงก์ชาติ และกระทรวงการคลังจะต้องส่งคนของตนเองเข้ามาควบคุมอย่างแน่นอน จึงน่าเป็นห่วงว่าหากหน่วยงานไม่สามารถทำงานได้อย่างอิสระผลประโยชน์ที่ควรตกสู่ประชาชนก็อาจไม่ถึงมือประชาชนอย่างเต็มที่” แหล่งข่าวกล่าว