ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – กระแสฟื้นประชานิยมในภาคใต้ตอนล่างคล้อยตามเห็นด้วย หวังเห็นโครงการที่เอื้อประโยชน์ให้ประชาชนอย่างทั่วถึง และปราศจากการทุจริตคอร์รัปชั่น ชี้บทเรียนที่ได้จากรัฐบาลชุดเก่าต้องเอากลับมาพิจารณาผลดี-ผลเสีย และปรับปรุงก่อนใช้ซ้ำ
กรณีที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้นำนโยบายประชานิยมกลับมาใช้อีกครั้ง นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า การฟื้นฟูประชานิยมเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจอะไรเลย เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาได้เคยได้นำมาใช้และได้รับความนิยมจากประชานิยม จนกระทั่งรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำก็มาจากรัฐบาลชุดเก่า ซึ่งรวบรวมคนจากไทยรักไทย
อย่างไรก็ตาม อยากให้กลับไปประเมินผลดีผลเสียของนโยบายเรื่องของประชานิยมก่อน ว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมามีข้อผิดพลาดตรงไหนอย่างไร ก่อนจะนำมาปรับปรุงแก้ไขแล้วค่อยเลือกใช้ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า นโยบายบริหารประเทศ 4 ปีนั้น ใช้เวลายกร่างพูดคุย 2 ชั่งโมง โดยมีพรรคพลังประชาชนกำหนดฝ่ายเดียว ทำกันไปได้อย่างไร ฝากถามเรื่องนี้ไปถึงพรรคร่วมอื่นๆ ด้วย
ด้านนายพจน์ ไพบูลย์เกษมสุทธิ์ ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดยะลา กล่าวว่า นโยบายประชาชานิยมบางข้อเป็นสิ่งที่ดีหากนำกลับมาใช้ อาทิ 30 บาท รักษาทุกโรค เนื่องจากจะช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึง เช่นเดียวกับในส่วนกองทุนหมู่บ้านนั้น คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน แต่ต้องมีการควบคุมการนำเงินที่ประชาชนกู้ไปใช้ในถูกทาง เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลได้บทเรียนแล้วว่า กองทุนหมู่บ้านเกือบทั้งหมดประสบความล้มเหลว เนื่องจากประชาชนนำเงินกู้ไปใช้ในการซื้อของฟุ่มเฟือย แทนนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ ต่อทุนให้ตัวเอง จนกลายเป็นดาบสองคมให้ประชาชนติดนิสัยฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยโดยไม่รู้ตัว
“หากรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช จะนำกองทุนหมู่บ้านมาใช้อีกรอบ ก็ควรมีการวางระบบที่ดี มีการตรวจสอบประวัติผู้แลกองทุนหมู่บ้านอย่างละเอียด ทั้งนี้เพื่อป้องกันการทุจริตในระดับรากหญ้า ซึ่งรัฐบาลจะเสียงบประมาณไปโดยไม่ได้ประโยชน์ใดๆกลับมา” นายพจน์กล่าว
เช่นเดียวกับนายสุรชัย จิตภักดีบดินทร์ ประธานหอหอการค้าจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่าโดยส่วนตัวแล้วตนเห็นด้วยกับการนำนโยบายประชานิยมกลับมาใช้ เพราะทำให้ประชาชนได้รับสวัสดิการที่จำเป็นอย่างทั่วถึง
เช่น บริการด้านการแพทย์ แต่ต้องเป็นโครงการที่โปร่งใสและใช้อย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์ เพราะในสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองนี้ถ้านำเงินที่ได้จากนโยบายไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ก็จะเป็นเหมือนดาบสองคมได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น อยากจะขอบอกประชาชนที่ได้ประโยชน์ในส่วนนี้ ให้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และต้องเป็นโครงการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งทำให้โครงการต่างๆ มีประสิทธิภาพน้อยลง
กรณีที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้นำนโยบายประชานิยมกลับมาใช้อีกครั้ง นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า การฟื้นฟูประชานิยมเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจอะไรเลย เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาได้เคยได้นำมาใช้และได้รับความนิยมจากประชานิยม จนกระทั่งรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำก็มาจากรัฐบาลชุดเก่า ซึ่งรวบรวมคนจากไทยรักไทย
อย่างไรก็ตาม อยากให้กลับไปประเมินผลดีผลเสียของนโยบายเรื่องของประชานิยมก่อน ว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมามีข้อผิดพลาดตรงไหนอย่างไร ก่อนจะนำมาปรับปรุงแก้ไขแล้วค่อยเลือกใช้ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า นโยบายบริหารประเทศ 4 ปีนั้น ใช้เวลายกร่างพูดคุย 2 ชั่งโมง โดยมีพรรคพลังประชาชนกำหนดฝ่ายเดียว ทำกันไปได้อย่างไร ฝากถามเรื่องนี้ไปถึงพรรคร่วมอื่นๆ ด้วย
ด้านนายพจน์ ไพบูลย์เกษมสุทธิ์ ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดยะลา กล่าวว่า นโยบายประชาชานิยมบางข้อเป็นสิ่งที่ดีหากนำกลับมาใช้ อาทิ 30 บาท รักษาทุกโรค เนื่องจากจะช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึง เช่นเดียวกับในส่วนกองทุนหมู่บ้านนั้น คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน แต่ต้องมีการควบคุมการนำเงินที่ประชาชนกู้ไปใช้ในถูกทาง เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลได้บทเรียนแล้วว่า กองทุนหมู่บ้านเกือบทั้งหมดประสบความล้มเหลว เนื่องจากประชาชนนำเงินกู้ไปใช้ในการซื้อของฟุ่มเฟือย แทนนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ ต่อทุนให้ตัวเอง จนกลายเป็นดาบสองคมให้ประชาชนติดนิสัยฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยโดยไม่รู้ตัว
“หากรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช จะนำกองทุนหมู่บ้านมาใช้อีกรอบ ก็ควรมีการวางระบบที่ดี มีการตรวจสอบประวัติผู้แลกองทุนหมู่บ้านอย่างละเอียด ทั้งนี้เพื่อป้องกันการทุจริตในระดับรากหญ้า ซึ่งรัฐบาลจะเสียงบประมาณไปโดยไม่ได้ประโยชน์ใดๆกลับมา” นายพจน์กล่าว
เช่นเดียวกับนายสุรชัย จิตภักดีบดินทร์ ประธานหอหอการค้าจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่าโดยส่วนตัวแล้วตนเห็นด้วยกับการนำนโยบายประชานิยมกลับมาใช้ เพราะทำให้ประชาชนได้รับสวัสดิการที่จำเป็นอย่างทั่วถึง
เช่น บริการด้านการแพทย์ แต่ต้องเป็นโครงการที่โปร่งใสและใช้อย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์ เพราะในสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองนี้ถ้านำเงินที่ได้จากนโยบายไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ก็จะเป็นเหมือนดาบสองคมได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น อยากจะขอบอกประชาชนที่ได้ประโยชน์ในส่วนนี้ ให้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และต้องเป็นโครงการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งทำให้โครงการต่างๆ มีประสิทธิภาพน้อยลง
